“อำมาตย์เต้น”ระบุแกนนำพันธมิตรฯ ประกาศยุติบทบาท มีความเป็นลูกผู้ชาย และตรงไปตรงมาเกินกว่าจะไปร่วมงานกับ ปชป. และยังเป็นการเตือน ปชป. ไม่จริงใจ เห็นแก่ได้ ทำให้มิตรและประชาชนห่างหาย ด้าน “จตุพร” เชื่อที่สุดพันธมิตรฯ จะกลับมาอีกรอบ “นพดล” อ้าง“นช.แม้ว” ไม่เคยมองพันธมิตรฯ เป็นศัตรู
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ และแกนนำ นปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศยุติบทบาทว่า ส่วนตัวคิดว่าการแถลงยุติบทบาทครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอะไรมากในภาพรวม เพราะพันธมิตรฯ ลดการเคลื่อนไหวมาระยะหนึ่งแล้ว และการประกาศยุติบทบาทก็ไม่ได้หมายความว่าแกนนำทุกคนจะยุติบทบาททางการเมือง แต่แกนนำจะยิ่งมีความคล่องตัวและเป็นอิสระในการเคลื่อนไหวมากขึ้น เกิดการรวมตัวจับมือกันเป็นกลุ่มใหม่ได้ตลอดเวลา
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ต้องมีการบ้านเพิ่มว่าทำไมการขับเคลื่อนการเมืองระยะหลังจึงไม่เป็นที่ยอมรับทั้งในและนอกสภาฯ โดยการขับเคลื่อนการเมืองในสภาฯ ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ตนได้ยินจากปากของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคที่เคยร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า ถ้ามีทางเลือกเขาไม่มีทางที่จะร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การขับเคลื่อนการเมืองนอกสภาฯ กลุ่มพันธมิตรฯ ที่เคยจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด วันนี้สิ่งที่พันธมิตรฯ เรียกร้องเพียงข้อเดียวคือความจริงใจ ก็ชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีให้ นี่คือภาพสะท้อนแนวทางการเมืองทั้งหมดของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมาว่า เดินเกมโดยไม่ยึดหลักการ ไม่จริงใจ และเห็นแต่ประโยชน์ที่ตัวเองจะได้ ทำให้วันนี้ห่างจากมิตร ห่างจากประชาชนมากขึ้นทุกที
อย่างไรก็ตามแม้ว่าตนจะไม่ยอมรับอุดมการณ์การเมืองของพันธมิตรฯ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นศัตรู เราเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองที่มีสิทธิที่จะยอมรับการตัดสินใจกันได้ การตัดสินใจของพันธมิตรฯ ครั้งนี้คิดว่ามีความเป็นลูกผู้ชาย ตรงไปตรงมาเกินกว่าที่จะไปร่วมทางกับพรรคประชาธิปัตย์
สำหรับพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงนั้น คงจะเคลื่อนไหวตามแนวทางต่อไป และไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะไปกระแนะกระแหนการตัดสินใจของพันธมิตรฯ เพราะในสนามการต่อสู้ การเคารพและให้เกียรติคู่ต่อสู้ถือว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่ง
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ว่าที่ แกนนำ นปช. หรือคนเสื้อแดงอีกคน ว่า กลุ่มพันธมิตรฯ เคยแถลงยุติบทบาทมาแล้วหนึ่งครั้ง เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2549 หรือหลังยึดอำนาจหนึ่งวัน แต่การประกาศครั้งที่ 2 เป็นคนละบริบทคือกลุ่มพันธมิตรฯ เดินมาถึงจุดหนึ่งและรู้ว่าการต่อสู้ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมา พันธมิตรฯ เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ต้องคดีก่อการร้ายอยู่ฝ่ายเดียว ตกอยู่ในสถานภาพเดียวกับคนเสื้อแดง ล่าสุดเมื่อทดสอบจิตใจพรรคประชาธิปัตย์ด้วยการยื่นเงื่อนไขให้ลาออกจาก ส.ส.มาเป็นฝ่ายนำ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ปฏิบัติตามเพราะเห็นว่าความเป็น ส.ส.คือภูมิคุ้มกัน
แต่ในฐานะนักเคลื่อนไหวการเมืองด้วยกัน และดูจากบรรยากาศการเมือง เชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะกลับมาเป็นครั้งที่สาม เพราะไม่ได้ประกาศยุติ เลิกขาด โดยระหว่างนี้แกนนำแต่ละคนก็กลับไปเคลื่อนไหวอิสระในองค์กรที่ตัวเองสังกัดอยู่ก่อนหน้า ในส่วนของคนเสื้อแดง หรือกลุ่ม นปช.ไม่จำเป็นต้องปรับแผนการเคลื่อนไหวใดๆ จะดำเนินกิจกรรมต่อไปโดยมีกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นบทเรียนสำคัญว่าจะต้องเดินอย่างไรจึงจะรักษาแนวทางไว้ได้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการยุติบทบาทของกลุ่มพันธมิตรฯจะไม่ส่งผลต่อบรรยากาศการเมืองไทยไม่ว่าจะร้อนขึ้นหรือเย็นลง
ส่วน นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ไม่ทราบนัยยะการประกาศยุติบทบาทของแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ก็เคารพการตัดสินใจ ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มองกลุ่มพันธมิตรฯคือคนไทยด้วยกัน ไม่เคยมองเป็นศัตรู และไม่มีผลต่อการต่อสู้ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย เพราะการเมืองจะนิ่งหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีกลุ่มการเมืองกี่กลุ่ม แต่อยู่ที่การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองทุกฝ่ายต้องเคารพกฎหมายและกติกา จะมีกี่กลุ่มจึงไม่ใช่ปัญหา