หัวหน้าประชาธิปัตย์ชี้ปัจจัยภายนอกและภายในไม่น่าไว้ใจส่งผลบาทอ่อน เผยรัฐแก้ของแพงไม่ได้ทำชาวบ้านไม่ได้รู้สึกว่ามีเงินเพิ่ม ซ้ำขึ้นค่าพลังงานอีก จวกหนุนประชาชนกู้แต่ไม่เพิ่มหารายได้ทำหนี้สินเพิ่ม ยันทั้งเรื่องจัดการน้ำ กู้ 2 ล้านล้าน ไม่เกี่ยวกระตุ้น ศก.
วันนี้ (23 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีจีดีพีประเทศหดตัวลดลงต่อเนื่องไตรมาสสองว่า ขณะนี้ที่น่าเป็นห่วงใยอีกเรื่อง คือ ปัญหาเรื่องของค่าเงินบาท ซึ่งตอนที่รัฐบาลนี้เข้ามาก็โวยวายว่าเงินบาทแข็งไป และกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติต้องลดดอกเบี้ย และตอนนี้ค่าเงินบาทอ่อน จนเกิดความตื่นตระหนกอีกทางหนึ่ง ก็แสดงให้เห็นว่ามีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่ไม่น่าไว้วางใจ ที่ก็ส่งผลกระทบต่อค่าเงินในขณะนี้ โดยปัจจัยภายในนั้นคือความไม่เชื่อมั่นที่เกิดขึ้นจากหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ที่ไม่ได้มากับรายได้ที่เพิ่มขึ้น แล้วก็ขีดความสามารถการแข่งขันที่ลดลง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่พยายามที่จะโฆษณาว่าเดี๋ยวจะมีเงินกู้มากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งตนย้ำอีกครั้งว่าการใช้เงินกู้ของรัฐบาล โดยเฉพาะเงิน 2 ล้านล้านบาท ใน 2 ปีข้างหน้าที่จะเอาเงินประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาทไปจ้างบริษัทที่ปรึกษานั้น ตนไม่เห็นว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร นอกจากนั้น หลายเรื่องนโยบายรัฐบาลเองทำให้เราสูญเสียความสามารถการแข่งขัน มีปัญหาต่อเนื่องเรื่องการส่งออกก็ต่ำกว่าเป้า
“ที่อาการหนักก็คือ การบริโภคภายใน เพราะเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ของรัฐบาลชุดนี้ที่อ้างว่า ถ้ามีนโยบายอย่างเช่น 300 บาท จำนำข้าวแล้ว ทุกคนจะมีรายได้เยอะ เพราะฉะนั้นก็จะใช้จ่ายกันเยอะ เศรษฐกิจก็จะหมุนเวียนดี จีดีพีก็จะโต แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ขณะนี้ประชาชนไม่ได้มีความรู้สึกว่า ตัวเองมีรายได้มากขึ้น เพราะรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาของแพงได้ อีกทั้งซ้ำเติมประชาชนในการบริหารนโยบาย เช่นเรื่องของพลังงาน ทำให้เศรษฐกิจนั้นไม่หมุนเวียน ประชาชนมีหนี้มากขึ้น ขณะที่การกระตุ้นโดยประชานิยมของรัฐบาลก็หนักไปในทางที่ให้ประชาชนนั้นไปกู้เงินมากขึ้น แต่ว่าการกู้เงินมากขึ้น เมื่อไม่ได้มากับศักยภาพที่เพิ่มขึ้น หรือความสามารถที่เพิ่มขึ้นในการหารายได้ก็นำไปสู่ภาวะ และภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ชี้แจงว่าขณะนี้เศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย หรือชะลอตัว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เห็นได้ชัดว่าหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานมาปรับประมาณการว่า ที่เคยคิดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว ขณะนี้ก็ปรับลงมาหมด ซึ่งตนเห็นด้วยกับนายกิตติรัตน์ที่บอกว่าอย่าตื่นตระหนก แต่ต้องยอมรับความจริงว่าภาวะเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้จะแก้อย่างไร สร้างความเชื่อมั่นอย่างไร แต่ถ้าเริ่มพยายามที่จะมานั่งเถียงว่าไม่ชะลอตัว มันไม่ถดถอย แต่ว่ามีการประเมินตัวเลขที่เป็นเทคนิค นิยาม และเริ่มปฏิเสธจะทำให้เกิดความสับสน เพราะเรื่องเศรษฐกิจแข็ง มีอ่อน แต่การที่นายกิตติรัตน์ บอกว่าต้องเอากฎหมายเงินกู้เข้ามา เพราะเศรษฐกิจต้องมีการกระตุ้น ถ้าไม่กระตุ้นจะมีเรื่องเดือดร้อน ใครค้านจะตราหน้าถือเป็นความพยายามที่จะเอาเศรษฐกิจไทย คนไทยเป็นตัวประกันในการทำในสิ่งซึ่งไม่ชอบ 3 แสน 5 หมื่นล้านบาท คือพยายามที่จะอ้างตัวนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายตามที่ศาลปกครองบอก ส่วน 2 ล้านล้านบาท ก็เช่นเดียวกัน พยายามที่จะบอกว่าจำเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่แผนการใช้จ่ายเงินคือการจ้างที่ปรึกษาอย่างเดียว ซึ่งตนยืนยันว่าทั้งเรื่องน้ำ และทั้งเรื่อง 2 ล้านล้าน ขณะนี้ไม่สามารถเป็นมาตรการที่จะมาแก้ปัญหาหรือกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้าได้เลย อย่าเอาเรื่องนี้มาอ้าง