ASTVผู้จัดการรายวัน - "กรณ์" เฟซบุ๊กอัดรัฐบาลบริหารประเทศล้มเหลว ทำเศรษฐกิจถดถอยทั้งที่ไม่มีวิกฤติแทรก ถือเป็นครั้งแรกหลังเกิดวิกฤติปี 51-52 ชี้นโยบายประชานิยมเงินไม่ถึงมือชาวบ้าน ผู้ว่าแบงก์ชาติเผยยังไม่กังวล เชื่อไม่รุนแรงเหมือนอินโดนีเซีย เหตุไทยไม่ต้องใช้เงินเข้าไปอุดหนุนเรื่องพลังงานมากเท่า ระบุไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดครึ่งปีแรกไม่มาก พอใจบาทอ่อนค่าตามพื้นฐานเศรษฐกิจ
นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Korn Chatikavanij แสดงความเห็นว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ครั้งแรกตั้งแต่เกิดวิกฤตในปี 2551-2552 โดยได้ชี้ให้เห็นว่า วันนี้ถือว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สร้างความตกใจให้กับนักลงทุนพอสมควร คือไตรมาส 2/2556 เศรษฐกิจไทยขยายตัวติดลบ 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2556 และไตรมาส 1/2556 ติดลบ 1.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/55 ถือว่าเป็นการเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งแรกตั้งแต่ช่วงวิกฤตปี 2551-2552
"ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ วิธีวัดทางเทคนิคคือการเปรียบเทียบอัตราการขยายตัวของ GDP ในแต่ละไตรมาสเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านั้น และถือว่าเข้าสู่ภาวะถดถอย ถ้าการเปรียบเทียบเช่นนี้ติดลบสองไตรมาสติดต่อกัน"
นายกรณ์ ชี้แจงว่า หากมองว่าเทียบกับปีที่แล้ว ภาพโดยรวมเศรษฐกิจยังเติบโตอยู่ เพียงแต่อัตราการขยายตัวชะลอลงอย่างมาก และที่เป็นเช่นนั้นเพราะตัวขับเคลื่อนทุกตัวชะลอตัวหมด ไม่ว่าจะเป็นการอุปโภคบริโภค การลงทุน การส่งออก หรือการลงทุนโดยรัฐ สถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดผลกระทบมาก โดยอันดับแรก ธุรกิจต่างๆซบเซาทำให้เงินฝืดขาดความคล่องตัว รายได้ทุกคนลดลง มนุษย์เงินเดือนขาดโอที ขาดโบนัส และเลวร้ายกว่านั้นก็คืออาจถูกลดเงินเดือนหรือถูกปลดออกจากตำแหน่ง นักศึกษาจบมาใหม่ก็จะหางานยากขึ้น ประชาชนจำนวนมากวันนี้รับภาระหนี้อยู่หนักอึ้งอยู่แล้วก็จะลำบากมากขึ้นเพราะภาระหนี้ยังคงอยู่แต่รายได้ลดลง
ส่วนในแง่ของภาครัฐ รายได้ภาษีก็จะลดลง นอกจากจะรีดภาษีหนักมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ไปลดภาษีกำไรให้ผู้ประกอบการไปแล้วปีละเกือบ 2 แสนล้านบาท นอกจากนั้นจะขาดดุลมากขึ้นก็คือต้องกู้มากขึ้น และเมื่อ GDP โตช้า ฐานคำนวนหนี้สาธารณะก็จะเล็กลง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะเพิ่มขึ้น มีผลต่อเครดิตของประเทศและระดับความเชื่อมั่น ต้นทุนการกู้ยืมของประเทศจะสูงขึ้น และขีดความสามารถในการแข่งขันก็จะลดลง
นายกรณ์ยืนยันว่า ทั้งหมดฝ่ายค้านไม่ได้มองในแง่ลบเกินไป แต่เป็นข้อเท็จจริงตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นแน่หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าที่น่าแปลกใจคือประเทศไทยเข้าสู่สภาวะนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีวิกฤตอะไรมาเป็นตัวฉุด ประกอบกับ ยังไม่ได้เห็นผลจากการถอนเงินทุนโดยต่างประเทศที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าสหรัฐฯ ส่งสัญญานยกเลิกการกระตุ้นด้วยนโยบายการเงิน(QE)
"ที่ปฏิเสธไม่ได้อีกก็คือนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ประชานิยมที่เงินไม่ถึงมือชาวบ้าน ซ้ำร้ายกลายเป็นการเพิ่มภาระหนี้และเป็นภาระมหาศาลต่องบประมาณแผ่นดิน"
นายกรณ์ ยังได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาว่าต้องหาวิธีเพิ่มรายได้และต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการกินหัวคิว เพิ่มราคาพืชผลการเกษตร พัฒนาทักษะแรงงานไทยทุกระดับ ลดภาระหนี้ของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณโดยภาครัฐ และลดเงื่อนไขขัดแย้งทางการเมืองที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม
"ประสาร" ไม่กังวล-พอใจบาทอ่อน
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงเงินบาทที่อ่อนค่าลงมากจนแตะ 31.70 บาทต่อดอลลาร์ ว่า สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทย คาดว่าเกิดจากกังวลการรายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2/56 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แต่โดยรวมแล้วมองว่าค่าเงินบาทยังไม่มีประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจากยังเคลื่อนไหวสอดคล้องพื้นฐาน
ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2/56 ที่สภาพัฒน์ระบุว่าติดลบต่อเนื่องเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส จากไตรมาส 1/56 ถือว่าเป็นภาวะถดถอยทางเทคนิค เป็นนิยามทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งปกติการปรับตัวเลขทางเศรษฐกิจจะต้องมีการคำนวณใหม่ว่าเทียบกับฐานปกติหรือไม่ แต่ถ้าเทียบกับฐานที่ไม่เป็นปกติ ก็จะพบว่าไม่ใช่ตัวเลขติดลบ ดังนั้น ตัวเลขเศรษฐกิจก็จะต้องปรับกลับมา
"เศรษฐกิจในไตรมาส 3/56 ไม่น่าจะติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/56 และแม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มการชะลอตัวตามทิศทางของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะยังไปได้ตามที่ประมาณการไว้"
นายประสารยืนยันว่า เศรษฐกิจไทยจะไม่เกิดปัญหาเหมือนกรณีของอินโดนีเซีย เพราะไทยไม่ต้องใช้เงินเข้าไปอุดหนุนเรื่องพลังงานมากเหมือนอินโดนีเซีย นอกจากนี้ไทยไม่มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดรุนแรง และตามคาดการณ์ของสำนักต่างๆ ประเมินว่าปีนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยน่าจะเข้าสู่ภาวะสมดุล จากครึ่งปีแรกอาจขาดดุลบ้าง แต่ถือว่าไม่มากและไม่ได้เป็นปัญหา คิดเป็นประมาณไม่ถึง 1% ของจีดีพี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เงินบาทวานนี้อ่อนค่าสุดในรอบ 1 ปีหรือ 31.70 ก่อนปิดตลาดช่วงเย็นที่ระดับ 31.63/65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
"โต้ง" ยัน ศก.ไทยไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวในระหว่างการประชุม ครม.วานนี้ (20 ส.ค.) ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยไม่มีภาวะที่น่าเป็นห่วง หรือเข้าสู่ภาวะถดถอยตามที่มีการเสนอข่าวแน่นอน เนื่องจากหากเทียบอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้กับไตรมาสแรกของปีก่อน พบว่าการขยายตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังเหลือเวลาในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจตามมาตรการของรัฐบาล เพื่อให้อัตราการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมาย และขึ้นกับมาตรการทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ
และการกระตุ้นการส่งออกของประเทศ.
นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Korn Chatikavanij แสดงความเห็นว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ครั้งแรกตั้งแต่เกิดวิกฤตในปี 2551-2552 โดยได้ชี้ให้เห็นว่า วันนี้ถือว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สร้างความตกใจให้กับนักลงทุนพอสมควร คือไตรมาส 2/2556 เศรษฐกิจไทยขยายตัวติดลบ 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2556 และไตรมาส 1/2556 ติดลบ 1.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/55 ถือว่าเป็นการเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งแรกตั้งแต่ช่วงวิกฤตปี 2551-2552
"ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ วิธีวัดทางเทคนิคคือการเปรียบเทียบอัตราการขยายตัวของ GDP ในแต่ละไตรมาสเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านั้น และถือว่าเข้าสู่ภาวะถดถอย ถ้าการเปรียบเทียบเช่นนี้ติดลบสองไตรมาสติดต่อกัน"
นายกรณ์ ชี้แจงว่า หากมองว่าเทียบกับปีที่แล้ว ภาพโดยรวมเศรษฐกิจยังเติบโตอยู่ เพียงแต่อัตราการขยายตัวชะลอลงอย่างมาก และที่เป็นเช่นนั้นเพราะตัวขับเคลื่อนทุกตัวชะลอตัวหมด ไม่ว่าจะเป็นการอุปโภคบริโภค การลงทุน การส่งออก หรือการลงทุนโดยรัฐ สถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดผลกระทบมาก โดยอันดับแรก ธุรกิจต่างๆซบเซาทำให้เงินฝืดขาดความคล่องตัว รายได้ทุกคนลดลง มนุษย์เงินเดือนขาดโอที ขาดโบนัส และเลวร้ายกว่านั้นก็คืออาจถูกลดเงินเดือนหรือถูกปลดออกจากตำแหน่ง นักศึกษาจบมาใหม่ก็จะหางานยากขึ้น ประชาชนจำนวนมากวันนี้รับภาระหนี้อยู่หนักอึ้งอยู่แล้วก็จะลำบากมากขึ้นเพราะภาระหนี้ยังคงอยู่แต่รายได้ลดลง
ส่วนในแง่ของภาครัฐ รายได้ภาษีก็จะลดลง นอกจากจะรีดภาษีหนักมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ไปลดภาษีกำไรให้ผู้ประกอบการไปแล้วปีละเกือบ 2 แสนล้านบาท นอกจากนั้นจะขาดดุลมากขึ้นก็คือต้องกู้มากขึ้น และเมื่อ GDP โตช้า ฐานคำนวนหนี้สาธารณะก็จะเล็กลง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะเพิ่มขึ้น มีผลต่อเครดิตของประเทศและระดับความเชื่อมั่น ต้นทุนการกู้ยืมของประเทศจะสูงขึ้น และขีดความสามารถในการแข่งขันก็จะลดลง
นายกรณ์ยืนยันว่า ทั้งหมดฝ่ายค้านไม่ได้มองในแง่ลบเกินไป แต่เป็นข้อเท็จจริงตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นแน่หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าที่น่าแปลกใจคือประเทศไทยเข้าสู่สภาวะนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีวิกฤตอะไรมาเป็นตัวฉุด ประกอบกับ ยังไม่ได้เห็นผลจากการถอนเงินทุนโดยต่างประเทศที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าสหรัฐฯ ส่งสัญญานยกเลิกการกระตุ้นด้วยนโยบายการเงิน(QE)
"ที่ปฏิเสธไม่ได้อีกก็คือนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ประชานิยมที่เงินไม่ถึงมือชาวบ้าน ซ้ำร้ายกลายเป็นการเพิ่มภาระหนี้และเป็นภาระมหาศาลต่องบประมาณแผ่นดิน"
นายกรณ์ ยังได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาว่าต้องหาวิธีเพิ่มรายได้และต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการกินหัวคิว เพิ่มราคาพืชผลการเกษตร พัฒนาทักษะแรงงานไทยทุกระดับ ลดภาระหนี้ของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณโดยภาครัฐ และลดเงื่อนไขขัดแย้งทางการเมืองที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม
"ประสาร" ไม่กังวล-พอใจบาทอ่อน
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงเงินบาทที่อ่อนค่าลงมากจนแตะ 31.70 บาทต่อดอลลาร์ ว่า สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทย คาดว่าเกิดจากกังวลการรายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2/56 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แต่โดยรวมแล้วมองว่าค่าเงินบาทยังไม่มีประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจากยังเคลื่อนไหวสอดคล้องพื้นฐาน
ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2/56 ที่สภาพัฒน์ระบุว่าติดลบต่อเนื่องเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส จากไตรมาส 1/56 ถือว่าเป็นภาวะถดถอยทางเทคนิค เป็นนิยามทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งปกติการปรับตัวเลขทางเศรษฐกิจจะต้องมีการคำนวณใหม่ว่าเทียบกับฐานปกติหรือไม่ แต่ถ้าเทียบกับฐานที่ไม่เป็นปกติ ก็จะพบว่าไม่ใช่ตัวเลขติดลบ ดังนั้น ตัวเลขเศรษฐกิจก็จะต้องปรับกลับมา
"เศรษฐกิจในไตรมาส 3/56 ไม่น่าจะติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/56 และแม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มการชะลอตัวตามทิศทางของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะยังไปได้ตามที่ประมาณการไว้"
นายประสารยืนยันว่า เศรษฐกิจไทยจะไม่เกิดปัญหาเหมือนกรณีของอินโดนีเซีย เพราะไทยไม่ต้องใช้เงินเข้าไปอุดหนุนเรื่องพลังงานมากเหมือนอินโดนีเซีย นอกจากนี้ไทยไม่มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดรุนแรง และตามคาดการณ์ของสำนักต่างๆ ประเมินว่าปีนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยน่าจะเข้าสู่ภาวะสมดุล จากครึ่งปีแรกอาจขาดดุลบ้าง แต่ถือว่าไม่มากและไม่ได้เป็นปัญหา คิดเป็นประมาณไม่ถึง 1% ของจีดีพี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เงินบาทวานนี้อ่อนค่าสุดในรอบ 1 ปีหรือ 31.70 ก่อนปิดตลาดช่วงเย็นที่ระดับ 31.63/65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
"โต้ง" ยัน ศก.ไทยไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวในระหว่างการประชุม ครม.วานนี้ (20 ส.ค.) ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยไม่มีภาวะที่น่าเป็นห่วง หรือเข้าสู่ภาวะถดถอยตามที่มีการเสนอข่าวแน่นอน เนื่องจากหากเทียบอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้กับไตรมาสแรกของปีก่อน พบว่าการขยายตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังเหลือเวลาในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจตามมาตรการของรัฐบาล เพื่อให้อัตราการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมาย และขึ้นกับมาตรการทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ
และการกระตุ้นการส่งออกของประเทศ.