xs
xsm
sm
md
lg

รัฐภัย" คุกคามสื่อ ทุบคน-ปิดกั้นเสรีภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ว่ากันว่า 2 ปีกว่าของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มักอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย มาจากเสียงของประชาชน 15 ล้านเสียง ได้สร้างสถิติการปิดหู-ปิดตาประชาชน ปิดปากสื่อมวลชน อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งในทางตรง และทางอ้อม

ล่าสุดกับเหตุที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่บริเวณบ้านพักย่านนนทบุรีของ “ภัทระ คำพิทักษ์”บรรณาธิการบริหาร นสพ.โพสต์ทูเดย์ แถมมีแขวนระเบิดไว้ที่หน้าบ้าน เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า มีแต่โลหะห่อหุ้ม ไม่มีสารระเบิด ไม่สามารถระเบิดได้

มองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากจงใจ“ข่มขู่”

ซึ่งต้นสายปลายเหตุก็น่าจะมาจากการที่ นสพ.โพสต์ทูเดย์ เสนอข่าวการความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งตัว“บก.ภัทระ” เองก็ร่วมจัดรายการวิทยุอยู่ที่ “โพสต์ทูเดย์ เรดิโอ ทอล์ค” เอฟเอ็ม 101 ด้วยท่าทีวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแทบทุกวี่วัน

แม้ยังพิสูจน์ชี้ชัดไม่ได้ ใครเป็นคนลงมือ และมีผู้ใดอยู่เบื้องหลัง แต่“คู่ขัดแย้ง”ที่เสียประโยชน์จากสิ่งที่ “บก.ภัทระ”นำเสนอในฐานะสื่อมวลชน ก็คงจะมีแต่“รัฐบาล”

เหตุที่เกิดขึ้นกับ บก.โพสต์ทูเดย์ นั้น เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ เหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่า มีความพยายามในการคุกคาม และลิดรอนสิทธิ์ของสื่อมวลชน -ประชาชนอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน

ย้อนไปเมื่อสมัยตั้งรัฐบาลใหม่ๆ ก็มีกรณีที่ “สมจิตต์ นวเครือสุนทร”ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ที่สัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างถึงลูกถึงคน จนถูกหมายหัวแบล็กลิสต์ไม่ได้ร่วมทริปท่านผู้นำไปภารกิจต่างประเทศมาแล้ว ทั้งยังมีกรณีที่ปะทะคารมกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สมัยที่ “ขี้ข้าทักษิณ” คนนี้ยังเป็นรองนายกรัฐมนตรี ก็ถูกแบนไม่ให้สัมภาษณ์หากมี “สมจิตต์”อยู่ด้วย ซ้ำร้ายจากการทำหน้าที่ดังกล่าว กลับถูกลิ่วล้อกเฬวรากของรัฐบาลขู่ฆ่าอีกต่างหาก

เมื่อช่วงเดือน ต.ค.ปี 55 “เฉลิมชัย ยอดมาลัย”บก.ข่าวหน้า 1 และคอลัมนิสต์ หนังสือพิมพ์แนวหน้า ก็เคยถูกคนร้ายทุบกระจกรถยนต์ยับเยิน ที่หน้าบ้านพักย่านบางเขน โดยที่ไม่มีทรัพย์สินภายในรถหายไปแม้แต่ชิ้นเดียว ซึ่งสาเหตุก็น่าจะมาจากการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ผ่าน นสพ.แนวหน้า พอเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็กุลีกุจอรีบมามาตรวจสอบ เก็บลายนิ้วมือตามหน้าที่ แต่จนปัจจุบันเกือบครบปี ก็ยังให้คำตอบไม่ได้ว่า สอบสวนดำเนินคดีไปถึงไหนแล้ว

แบ๊ะๆใบ้กินแบบนี้ ก็เท่ากับเพิกเฉย ไม่ทำหน้าที่

มาดูต่อช่วงปี 2556 นี้ก็มีมาไม่รู้กี่เหตุการณ์ ไล่เรียงตั้งแต่ช่วงต้นปี ที่มีการคุกคามลามไปถึง “วงการบันเทิง” เมื่อละครหลังข่าว “เหนือเมฆ 2” ซึ่งออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 ถูกแบนกระทันหัน โดยที่ทางช่อง 3 ได้อ้างเหตุผลว่า “ละครมีความไม่เหมาะสม ทำลายภาพลักษณ์สถาบันการเมือง และบรรยากาศความปรองดอง”จึงสั่งให้หยุดแพร่ภาพทันที

มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เหตุผลที่แท้จริงมาจากการที่เนื้อหาละครพูดถึงการทุจริต คอร์รัปชันของนักการเมืองระดับชาติ อีกทั้งบทสรุปของละคร ยังมีฉากที่ตัวแสดงขอพรให้คุณงามความดีเป็นเกราะคุ้มกันปกป้องคนคิดทำประโยชน์แก่ประเทศไทย และมีประโยคเด็ดที่ว่า “ไม่ว่าอีกนานแค่ไหน ความดีจะไม่มีวันพ่ายแพ้”

ตรงนี้เองที่ทำให้ “ฝ่ายการเมือง”ถึงขั้นรับไม่ได้ ล้วงลูก สั่งแบนแบบไม่กลัวข้อครหา

ถัดมาที่รถข่าวของสถานีโทรทัศน์ เอเอสทีวี 4 คัน ที่จอดอยู่บริเวณหน้าสำนักงานริม ถ.พระอาทิตย์ ถูกคนร้ายยิงด้วยอาวุธปืนอย่างอุกอาจในยามวิกาล ซึ่งกล้องวงจรปิดจับภาพคนร้ายไว้ได้ แต่ล่วงเลยมาครึ่งค่อนปีแล้ว “ตำรวจ”ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ แถมยังปัดสวะออกลูกมั่ว โบ้ยไปอีกว่า เป็นฝีมือคนเมา-คนวิกลจริต

ต่อมาที่กรณี “สมชัย กตัญญุตานันท์”การ์ตูนนิสต์ล้อการเมืองชื่อดัง เจ้าของนามปากกา “ชัย ราชวัตร”ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวไว้ว่า “โปรดเข้าใจ กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ”ภายหลังจากที่ “ยิ่งลักษณ์”ไปปาฐกถาในการประชุมประชาคมประชาธิปไตยที่เมืองอูลันบาตอร์ สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย ซึ่งกล่าวถึงประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างผิดๆ เพี้ยนๆ

นอกจาก “ชัย ราชวัตร”จะถูก “ผู้นำประเทศ”ฟ้องหมิ่นประมาทแล้ว ขณะนี้ก็อยู่ในขั้นตอนของคดีความ ที่กำลังสืบเสาะว่า ใครเป็นกะหรี่ ? ใครเป็นหญิงชั่ว ?

ยังเหิมเกริมข่มขู่คุกคามปาระเบิดใส่ต้นสังกัด “ไทยรัฐ”อีกด้วย

ขณะที่ สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ก็ถูกถอดปลั๊กกระทันหัน เมื่อนำเสนอสกู๊ปข่าวความไม่ชอบมาพากลของ บริษัท เค วอเตอร์ แห่งเกาหลีใต้ ที่ชนะการประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน หลายโครงการ ในขณะที่ออกอากาศไปได้ไม่ถึงหนึ่งนาที แม้ผู้รับผิดชอบจะอ้างว่า ไม่มีใครมาสั่งการใดๆ แต่ก็ไม่อาจพ้นข้อครหาไปได้

ช่วงกลางปี “โสภณ องค์การณ์”คอลัมนิสต์ฝีปากกล้าแห่งเอเอสทีวี ก็เป็นอีกคนที่ตกเป็นเหยื่อถูกคนร้ายทุบกระจกรถยนต์จนพังเสียหาย ที่หน้าบ้านย่านพัฒนาการ โดยมีความพยายามเชื่อมโยงว่าเป็นฝีมือของ “โจรกระจอก”ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ
แต่ก็ไม่อาจจะตัดประเด็นการเมืองออกไปได้ เพราะ“โสภณ”ถือเป็นหนึ่งในคอลัมนิสต์ “ขาประจำ”ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะตัวของ “นายกฯยิ่งลักษณ์”ที่โดนจัดหนักอยู่เรื่อย

หรืออย่างการที่ “สมโภชน์ โตรักษา”ผู้ช่วยหัวหน้ากองบรรณาธิการ ช่อง 7 ทำสกู๊ปตรวจสอบการทุจริตเงินอุดหนุนวัด ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ ก็ถูกทายาทเจ้าพ่อปากน้ำ “เอ๋ - ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม”นายก อบจ.สมุทรปราการ สามีคนล่าของดาราสาวชื่อดัง “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” ฟ้องหมิ่นประมาทเข้าให้

ต่อเนื่องมาถึงช่วงหลังๆที่ “ฝ่ายรัฐ”จ้องจะปิดกั้นเสรีภาพอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งการไม่ถ่ายทอดสดการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฝ่ายทางช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นร่างกฎหมายที่คนทั้งชาติให้ความสนใจ

หรือฝีมืออันเอกอุของ “พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์”ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ที่แจ้งข้อหา “เสริมสุข กษิติประดิษฐ์”บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ฐานกระทำความผิดในการโพสต์ข้อความที่เป็นเท็จเป็นภัยต่อความมั่นคง หลังโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับการรัฐประหารรัฐบาล

ตลอดจนการที่ ปอท. สร้างชื่อจากหน่วยงานโลกลืมให้เป็นที่รู้จักเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อมีไอเดียบรรเจิด หาช่องเข้าตรวจสอบการสนทนาผ่านแอพพลิเคชั่น “ไลน์” รวมทั้งโปรแกรมแชทโซเชียลเนตเวิร์ก ทั้งหลาย ทำเอาคนโห่กันทั้งเมือง

จนถูกแขวะในสังคมออนไลน์ว่า ทุกวันนี้ ใครกดแชร์เป็นกบฎ กดไลค์เป็นผู้ก่อการร้าย แชตไลน์ อาจเข้าคุกไม่รู้ตัว

ยังไม่จบแค่นั้น ดูเหมือนช่วงนี้ “ฝ่ายรัฐ”จะเมามันกับการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นพิเศษ เมื่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กลัวจะน้อยหน้า ออกโรงมาขู่เรื่องการโพสต์ภาพถ่าย “ยิ่งลักษณ์”ที่ชักภาพคู่ป้ายอุทยานแห่งชาติกุยบุรี และล้อเลียนบิดเบือนข้อความที่ปรากฏในภาพ “ช้างป่า - กระทิง” เป็น “เสือ สิงห์ กระทิง (นายกฯ)” มาตั้งแท่นเป็น “คดีพิเศษ”

ยกฐานะ “แรด”จากสัตว์สงวนประเภทหนึ่ง ให้มาเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

เป็นพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ลืมบทบาทความเป็นข้าราชการ กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน จ้องจะเอาหน้ารับใช้ฝ่ายการเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ยิ่งเมื่อเกิดเรื่องทาง "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" เจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายก็ "เกียร์ว่าง" ไม่สนใจติดตามคดีความใดๆ เลย คอยแต่ทำตัวเป็น รปภ. ปกป้องพิทักษ์แต่ "อำนาจรัฐ"

ขณะเดียวกัน "องค์กรสื่อ" ก็ทำงานเหมือนแค่เอาผักชีโรยหน้า เวลาเกิดเหตุก็ออกแถลงการณ์ปกป้องสิทธิสื่อ เป็นเรื่องเป็นราว หากเคราะห์ร้ายหน่อย มีถึงหัวร้างข้าง
แตกเข้าโรงหมอ ก็อาจมีกระเช้าดอกไม้ผลไม้ไปเยี่ยมเยือน เป็นพิธีการ หลังจากนั้นก็เหมือนหมดหน้าที่ ไม่มีการติดตามสอบถาม หรือเข้าไปค้นหาความจริงใดๆ คู่ขนานไปกับการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ
หากบอกว่าตำรวจเลวที่ไม่ทำหน้าที่ ก็ต้องบอกว่า "องค์กรสื่อ" ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน

เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ถือเป็นปรากฏการณ์คุกคามสื่อ-ปิดกั้นเสรีภาพที่เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ในยุคที่เมืองไทยมีรัฐบาลมาจากประชาชน 15 ล้านเสียง และมีนายกฯชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ซึ่งพร่ำเพ้อถึงคำว่า “ประชาธิปไตย”เป็นนกแก้วนกขุนทอง ตลอดมา สวนทางกับพฤติกรรม “ลุแก่อำนาจ” ที่ทำเป็นประจำมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา

หากจะบอกว่าประชาธิปไตยยุคนี้มืดมน ยิ่งกว่ายุดเผด็จการ ก็คงจะไม่ผิดนัก
กำลังโหลดความคิดเห็น