xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ”ย้ำเสนอ ปชป.ลาออกเพื่อเปลี่ยนแปลงการเมือง มัวสู้รายประเด็นในสภามีแต่แพ้กับแพ้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรุ่นที่ 2
“ปานเทพ”ย้ำเหตุ “สนธิ” ยื่นข้อเสนอ ปชป.ลาออกจาก ส.ส.เพื่อเสียสละอำนาจผลประโยชน์ส่วนตัว นำมวลชนแกการเมืองล้มเหลว ขณะที่ฟากพื่อไทยไม่มีวันเสียสละแน่นอน ชี้ ปชป.มีศักยภาพความพร้อมมากกว่ากลุ่มอื่น ทั้งฐานคะแนนและสื่อในมือ แต่ต้องสู้เพื่อปฏิรูปทั้งระบบ ไม่ใช่สู้รายประเด็นที่มีแต่แพ้กับแพ้ ขณะแกนนำ พมธ.ยังติดพันธนาการ หากออกมาสู้เปรียบเหมือนยิงธนูดอกสุดท้าย ต้องชนะเท่านั้น

เมื่อเวลา 9.37 น. วันนี้( 17 ส.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2 ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ในหัวข้อเรื่อง “ทำไม ส.ส.ประชาธิปัตย์ควรลาออกมาสู้กับประชาชน?”

นายปานเทพระบุว่า เวลาจะคุยกับใครเพื่อการปฏิรูปประเทศต้องคุยกับคนที่พร้อมเสียสละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายที่มีอำนาจรัฐหรือฝ่ายที่จะมีอำนาจรัฐต่อไปยิ่งต้องเสียสละให้เห็นก่อนเพื่อส่งสัญญาณว่าการปฏิรูปประเทศต่อไปนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไมีใช่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน แต่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ทั้งในมิติของอำนาจและผลประโยชน์ และอาจหมายรวมถึงความพร้อมเสียสละที่จะให้มีผลกระทบในทางลบต่ออำนาจและผลประโยชน์ของนักการเมืองในยุคปัจจุบันด้วย

ฝ่ายรัฐบาลไม่ยอมเสียสละที่จะถอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมออกจากสภา การพูดคุยของฝ่ายที่ขัดแย้ง การพูดคุยกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลก็ต้องจบลง เพราะถือว่าขนาดเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมยังเสียสละไม่ได้แล้วจะเสียสละอำนาจหรือผลประโยชน์ส่วนตนที่จะปฏิรูปประเทศเพื่อประโยชน์ประชาชนได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนั้นพันธมิตรฯ จึงไม่สามารถเข้าร่วมวงตามคำเชิญของพรรคเพื่อไทยได้ เพราะ "การเสียสละ" ของผู้มีอำนาจและกอดผลประโยชน์ของฝ่ายผู้ชนะซึ่งก็คือฝ่ายรัฐบาลเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง

ข้อเสนอของนายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงยื่นไปยัง "ผู้แพ้ในระบบปัจจุบัน" คือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีศักยภาพและความพร้อมมากที่สุดในการนำมวลชนออกมาเพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะในยามที่แกนนำพันธมิตรฯ ผู้ปราศรัย และ ศิลปิน มีข้อจำกัดด้วยคำสั่งศาลในเรื่องเงื่อนไขในการประกันตัว การนำโดยพรรคประชาธิปัตย์เพื่อการปฏิรูปประเทศไทยจึงเป็นไปได้มากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ

พรรคประชาธิปัตย์มีจำนวนผู้หย่อนบัตรลงคะแนนถึง 12 ล้านคะแนน มีศรัทธาจากประชาชนอยู่มาก มีทีวีที่สนับสนุนตัวเอง 2 ช่อง มีนักปราศรัยฝีปากกล้าชั้นยอดที่ไม่มีเงื่อนไขจากคำสั่งศาลมากที่สุด มีงบประมาณและนายทุนหนุนหลัง มีนักการเมืองท้องถิ่นที่จะสามารถเชื่อมโยงจัดตั้งมวลชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีนักกฎหมายที่พร้อมจะเป็นทนายสู้คดีความอีกมากมาย

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2555 ในเวลาที่พันธมิตรฯไม่ได้มีพันธนาการจากคำสั่งศาล ก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วในช่วงเดือนพฤษภาคม 2555 ที่ขัดขวาง พรบ.ปรองดองแห่งชาติ (ฉบับ พลเอกสนธิ) ได้อย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ก่อนลงมติวาระที่ 1 ซึ่งเวลานั้นพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถยับยั้งในสภาผู้แทนราษฎรได้ ที่ทบทวนตรงนี้ก่อนเพราะมักจะมีคนกล่าวหาใส่ร้ายว่าพันธมิตรฯไม่ออกมาชุมนุมเพราะได้ประโยชน์จาก พรบ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ ซึ่งตรงนี้ย่อมแสดงว่าคนเหล่านี้ "ความจำสั้น" หรือเลวร้ายกว่านั้นคือ "ตั้งใจใส่ร้ายตามสันดานเดิม"เท่านั้น

“ผมเข้าใจคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า สถานภาพที่โดนคำสั่งศาลที่เป็นข้อจำกัดในการชุมนุมนั้น การที่จะเคลื่อนไหวในเรื่องใดๆในการชุมนุมอีกครั้งหนึ่งจึงย่อมมีความเสี่ยงในการถูกถอนประกันจากคำสั่งศาล

ดังนั้นการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ อีกครั้งหนึ่งจึงเปรียบเมือน "ลูกธนูดอกสุดท้าย" ที่ตัองยิงออกไปแล้วต้องไม่ใช่แค่ได้รับชัยชนะเท่านั้น แต่ชัยชนะนั้นจำเป็นต้องคุ้มค่ากับเดิมพันด้วย "การเสียสละ"ที่จะเกิดขึ้นต่อไป

และคุณสนธิ ลิ้มทองกุลได้เลือกแล้วว่าจะใช้ลูกธนูดอกสุดท้ายเดิมพัน กับ "การปฏิรูปประเทศเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองครั้งใหญ่" เท่านั้น จึงจะคุ้มค่าในการเสียสละครั้งนี้”นายปานเทพระบุ

นายปานเทพกล่าวอีกว่า สิ่งที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศมาตั้งแต่ปี 2551 ว่าปัญหาประเทศชาติในขณะนี้ไม่ใช่แค่ระบอบทักษิณ แต่การเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมันเป็นระบบการเมืองที่ล้มเหลว ต่อให้ฝ่ายค้านมีเหตุผลดีอย่างไรในการอภิปราย ตั้งกระทู้ คำตอบก็จะกลับมาอยู่ที่จุดเดิม คือฝ่ายเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งก็คือฝ่ายรัฐบาลก็จะชนะอยู่ร่ำไป ฝ่ายค้านก็จะแพ้อยู่ร่ำไป ตามจำนวนคณิตศาสตร์ที่นักการเมืองในสภาไม่ได้ฟังการอภิปรายเพราะรอเล่นไอแพดเปิดรูปโป๊ เล่นเกม เพื่อรอการแสดงตนในยามที่มีการนับองค์ประชุม หรือลงมติตามที่พรรคสั่งมา ที่เป็นหลักคณิตศาสตร์ที่ว่าฝ่ายรัฐบาลจะชนะอยู่วันยังค่ำ ฝ่ายค้านก็จะแพ้ไปเรื่อย โดยไม่มีใครใช้หลักการเหตุผลถึงความถูกต้อง ดีงาม ศีลธรรม และคุณธรรม

ดังนั้นถ้าประชาธิปัตย์ยังคงคิดว่าจะใช้สิทธิ์จำกัดหัวข้อการต่อสู้การคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต่อไปในสภา โดยใช้มวลชนเป็นเพียงแค่กิจกรรมส่งเสริมการขาย พรรคประชาธิปัตย์ย่อมรู้อยู่แล้วว่าจะต้องพ่ายแพ้ทั้งในวาระที่ 2 หรือ 3 ต่อไปอย่างแน่นอน และความจริงนอกจาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะเป็นปัญหาแล้ว ต่อไปก็มีกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยึดองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็จะใช้หลักคณิตศาสตร์จำนวน ส.ส.เพื่อยึดอำนาจประเทศไทยแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในที่สุด

บางคนหวังพึ่งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ก็ดูเอาเถิดว่าประเทศชาติประชาชนทั้งประเทศเราจะไปหวังพึ่งคนไม่ถึง 10 คน ได้อย่างไร บางคนก็ถูกข่มขู่คุกคามจนอยู่ไม่ได้ บางคนก็ถูกซื้อ แถมบางคนยังกลัวฝ่ายอำนาจรัฐที่สามารถแก้ไขกฎหมายเพื่อกำจัดองค์กรอิสระได้อีก

ดังนั้นภาวะนี้ไม่ใช่ภาวะปกติ แต่เป็นภาวะวิกฤติ ที่เปิดโอกาสให้เผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งได้ขนาดนี้ ขอย้ำว่า "ข้อเสนอของคุณสนธิ" ช่วงเวลานี้ไม่ใช่ภาวะปกติ แต่เป็นภาวะวิกฤติในการชิงบ้านชิงเมือง ที่พรรคประชาธิปัตย์ที่มีศักยภาพสูงสุดในเวลานี้ต้องตัดสินใจ

อ่านแบบเต็มๆ ในแฟนเพจ “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์”
กำลังโหลดความคิดเห็น