ส.ส.ปชป.ชำแหละงบสำนักนายกฯ พันล้าน มีแต่ทำโพลเชลียร์รัฐ ซื้อสื่อเสื้อแดง ซัดนายกฯ ทัวร์นอกทุกเดือนคนไทยได้อะไร ถามหลับตาจิ้มหรืออยากไป เหน็บถ้าสะสมไมล์คงได้ไปดาวพูลโต เมินธนาคารที่ดินไม่เหลียวแลคนจน “สุรพงษ์” แก้ตัวอีก บอกที่ไปเพราะเสื้อแดงตาย ต่างชาติไม่เชื่อมั่น ประเทศที่ไปต้องดูจีดีพี ลั่นจ้าง “โทนี แบลร์” แค่ออกตั๋วเครื่องบินกับโรงแรม
วันนี้ (15 ส.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 วันที่ 2 โดยพิจารณามาตรา 5 งบสำนักนายกรัฐมนตรี นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายเสนอปรับลดงบประมาณลง 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีการตั้งงบประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ประเทศ จำนวน 550 ล้านบาท ปรับลดแค่ 15 ล้านบาท ขณะที่งบขับเคลื่อนยุทธศาสตร์รัฐบาล 500 ล้านบาท ไม่มีการปรับเลย มีเอกสารชี้แจงเหตุผล 3-4 ข้อ โดยข้อหนึ่งบอกศึกษาผลกระทบตามนโยบายรัฐบาล แต่กิจกรรมที่ทำมีการลงไปจัดเก็บข้อมูลภาคสนาม สงสัยกำลังไปทำโพลของรัฐบาลเพื่อเชียร์รัฐบาลหรือไม่ว่าเป็นนโยบายที่ดี โดยมีการไปจ้างที่ปรึกษา 30 คน เป็นเงินเดือน 7 ล้านกว่าบาท จ้างนักวิจัย 60 คน เดือนละ 50,000 บาท ทั้งหมด 30 ล้านบาท มีการออกแบบระบบอินเทอร์เน็ต เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ 12 ล้านบาท และจัดทำนิทรรศการเคลื่อนที่ 237 ล้านบาท มีการจ่ายค่ารถให้คนเข้ามาดูงานวันละ 400 บาท ค่าเลี้ยงอาหารว่าง ค่าวิทยากร แต่ที่หนักกว่านั้น รายการนี้มีงบจัดพีอาร์ข้อมูลต่างๆ ด้วยการซื้อสื่อทีวี 60 ล้านบาท และสื่อสิ่งพิมพ์ 16 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมามีการซื้อสื่อทีวีดาวเทียมสีเดียวกับรัฐบาล จะนำเงินไปถมพรรคพวกอีกหรือไม่ กรรมาธิการได้ซักละเอียดหรือไม่
ส่วนงบที่มีการพูดถึงกันมาก คือการเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ ตนเข้าใจว่ามีความจำเป็นที่ต้องไปร่วมงานระดับนานาชาติ แต่การไปเยือนที่อ้างว่าได้รับเชิญความจริงหลายครั้งไม่ได้มาจากการเยือนจากต่างประเทศ แต่มีการติดต่อกันว่าจะไปงบในปี 2557 มีการตั้งไว้ 55 ล้านบาท เฉพาะที่เห็นในสำนักนายกฯ 17 ล้านบาท เชื่อว่ายังมีอยู่ในอีกหลายกระทรวง รวมแล้วอาจจะถึงพันล้านบาท ซึ่งเมื่อดูตารางทัวร์ปี 2557 ของนายกฯ ที่ไปงานระดับนานาชาติ แต่มีเกือบทุกเดือน ตั้งแต่บรูไน ญี่ปุ่น อาร์เจนตินา สวิตเวอร์แลนด์ เอเชียกลาง เติร์ก อุซเบกิสถาน แคนาดา พม่า อิตาลี ตุรกี แอฟริกา สหรัฐฯ คำถามคือกรรมาธิการได้ซักถามหรือไม่ว่าปกติการใช้เงินลักษณะนี้ผิดปกติ หลายยุคที่เกิดวิกฤตประเทศ ผู้นำพิจารณาอย่างรอบคอบว่าสมควรไปหรือ คุ้มค่าหรือไม่ รัฐมนตรีบางคนไปก็ไม่มีผู้ติดตาม และไม่ถี่ขนาดนี้
“ที่สำคัญมีการประเมินผลเมื่อกลับมาหรือไม่ หรือแค่แต่งชุดประจำชาติถ่ายรูป ตกลงเจรจาได้อะไรบ้าง ประเทศไทยมีตลาดเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ประเทศที่เลือกไปเพราอะไร หลับตาจิ้ม หรืออยากไป หรือเลือกที่มีการค้า ผมว่าถ้าสะสมไมล์ของนายกฯ น่าจะไปถึงดาวอังคาร หรืออยู่ครบ 4 ปี คงยาวถึงดาวพลูโต แต่คนไทยได้อะไร ท่านบอกมีปัญหาให้มาคุยในสภา ถึงเวลาตัวเองไม่มา ไปโผล่ถ่ายรูปกับสวนสัตว์ แสดงว่ากรรมาธิการไม่ได้ตรวจสอบ พิจารณาแต่อยู่บนประโยชน์พรรคพวกตนเอง” นายสาทิตย์ กล่าว
ขณะที่งบคนจน คืองบจัดตั้งธนาคารที่ดินจำนวน 17 ล้านบาท กรรมาธิการปรับลดหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ต้องจัดตั้งขึ้นตามกฤษฎีกาบริหารจัดการที่ดิน ในปี 2554 เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน กระจุกการถือครองเพื่อเก็งกำไร โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้กระจายถือครองอย่างเป็นธรรม แต่กลับตัดทิ้ง เพราะอ้างว่ามีเงินในธนาคารเกือบ 700 ล้านบาทแล้ว เพราะไม่มีการดำเนินการอะไรที่จัดสรรที่ทำกินให้คนจน ทำไมไม่ถามว่าทำไมไม่ดำเนินการและปล่อยเงินให้เหลือ 700 ล้านบาททำไม รวมถึงโฉนดชุมชนที่สำนักงานอยู่ในสำนักปลัดสำนักนายกฯ สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มี อนุมัติงบทิ้งไว้ให้ซื้อที่ดิน 100 กว่าล้านบาท แต่วันนี้ไม่มีการเขียนไว้เลยแม้แต่บาทเดียว รัฐบาลเอาไพร่ไปไว้ที่ไหน หรือพายเรือมาส่งถึงที่แล้วเหยียบหัวส่ง
ด้าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ลุกขึ้นชี้แจงอีกครั้งว่า นายกฯ จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นการลงทุนให้ประเทศไทย หลังจากที่เกิดเหตุการณ์กระชับพื้นที่การชุมนุมในปี 2553 มีคนตายจำนวนมาก ทำให้สังคมโลกไม่ยอมรับ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องไปสร้างความเชื่อมั่น ส่วนประเทศที่ไปไม่หลับตาจิ้ม ตนเป็นคนเลือกเอง โดยเน้นประเทศที่มีศักยภาพ ต้องมีจีดีพีประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ให้เท่ากับความเจริญเติบโตของไทย หรือกลุ่มอาเซียน โดยได้นำกลุ่มลงทุนไปด้วย เช่น ปตท.เน้นประเทศที่จะลงทุนด้านถ่านหินเพื่อผลิตไฟฟ้า เพชรพลอย ปลาสด และได้พานักวิจัยไปเพื่อหาความร่วมมือเพื่อไปพัฒนาประเทศ
“เราไม่ยึดรูปแบบเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา ที่ไปแค่ประชุมอย่างเดียว แต่เราไปเน้นเรื่องนำพาเงินเข้าสู่ประเทศ ดูว่าเราได้นักท่องเที่ยวเข้ามาเท่าไหร่ ปีนี้คนจีนบอกว่าจะเที่ยว 4 ล้านคน ทำรายได้เข้าสู่คนจน นายกฯ ท่านไปก็เอาสินค้าโอทอปไปขาย เราเป็นรัฐบาลหาเงินเข้าประเทศ ส่วนกรณีการจ่ายเงินให้บุคคลสำคัญต่างชาติมาร่วมหาทางออกให้ประเทศไทย ตนเป็นผู้จัดการเอง เพราะเป็นคนเชิญ เราไม่เสียเงินค่าจ้างให้นายโทนี แบลร์ แม้แต่บาทเดียว จ่ายแค่ที่พักและค่าเดินทางเท่านั้น เพราะท่านมีความรู้ ให้มาแลกเปลี่ยนความเห็น เพื่อเป็นวิทยาทานวิชาการให้กับคนไทย” นายสุรพงษ์ กล่าว
นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมีงบประชาสัมพันธ์สูงกว่าทุกกรมในประเทศ มีงบประมาณ 502 ล้านบาท แบ่ง 450 ล้านบาทเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ ซึ่งซ้ำกับโครงการเสริมสร้างอัตลักษณ์ประเทศรวมแล้วค่าผักชีโรยหน้าให้ประเทศดูดีมีเงินจำนวนเกือบพันล้านบาท อย่างไรก็ตามงบในส่วน 450 ล้านบาทมีบริษัทขาใหญ่รายหนึ่งรับจ้างผลิตสื่อในการบริหารจัดการภาพลักษณ์รออยู่แล้ว
ขณะที่นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ส.ส.กทม. ปชป. กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ จัดทำงบประมาณซื้อรถยนต์ให้แก่รัฐมนตรีจำนวน 2 คัน คันละ 33 ล้านบาท รวมเป็น 66 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการจัดซื้อเครื่องบินให้บุคคลสำคัญ จำนวน 2 ลำ มูลค่าเกือบ 3.000 ล้านบาท ตนอยากถามว่ากรรมาธิการได้มีการสอบถามหรือไม่ว่าทำไมต้องจัดซื้อในสำนักนายกฯ เหตุใดไม่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นกองทัพอากาศเป็นผู้จัดซื้อ และบุคคลสำคัญคือใครบ้าง ซึ่งได้รับคำตอบว่าใช้ได้ทุกคนรวมพระบรมวงศานุวงศ์ด้วย จึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงปล่อยให้เว็ปหมิ่นเผยแพร่เป็นจำนวนมาก ตนมองว่าเป็นการกล่าวอ้างพระบรมวงศานุวงศ์ อยากจะบอกว่าแค่คิดก็ไม่ได้แล้ว ความเหมาะสมบังควรอยู่ที่ไหน