“ประยุทธ์” เผยไฟใต้ยังคุ แนะอย่ามองไทยมีความรุนแรง อ้างโลกก็วุ่น ยันไม่เพลี่ยงพล้ำแต่เป็นเป้านิ่ง พร้อมทบทวนทำไมโจรไม่มอบตัว ระบุต้องเจรจาภายใต้กฎหมายแม้ยังไม่เห็นรูปธรรม ลั่นทหารคุมพื้นที่ได้ 90% ย้ำคนในไม่เอาพวกก่อการร้าย บอกบีอาร์เอ็นขอคุยต่อ รอศปก.กปต.ดู 5 ข้อเสนอ เอาด้วยหรือไม่ พร้อมยอมบางเรื่องที่ไม่ขัด รธน.แต่บอกอย่าให้ความสำคัญ ขอช่วยกดดันให้หยุดบึ้ม รับจัดซื้อเครื่องบินล่องหนมีดีกว่าไม่มี แต่รับแยกแยะคนไม่ได้
วันนี้ (12 ส.ค.) ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) เมื่อเวลา 07.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าขณะนี้ยังมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในพื้นที่ต่อเนื่อง หนักบ้างเบาบ้างขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม อย่ามองว่า ประเทศไทยมีความรุนแรงเพราะจะทำให้ดูน่ากลัว เราต้องมองในภาพรวมของโลก เพราะทุกพื้นที่ในโลกมีความวุ่นวายอยู่ การวัดว่าสถานการณ์ในภาคใต้ดีขึ้นหรือไม่ หากวัดจากการเกิดเหตุรุนแรง อาจทำให้เจ้าหน้าที่ท้อแท้ อยากให้ทุกคนให้กำลังใจทหารต่อสู้ต่อไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความเพลี่ยงพล้ำของเจ้าหน้าที่ แต่หน้าที่ในการดูแลประชาชน ทำให้เราเป็นเป้าหมายที่ง่ายต่อการถูกลอบทำร้าย นี่คือจุดอ่อนที่เขาใช้เล่นงานเจ้าหน้าที่และประชาชน
“ที่ผ่านมาเราเปิดโอกาสให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ทั้งการพูดคุยสันติภาพ การให้ออกมามอบตัวตามมาตรา 21 แต่มีบางส่วนยังไม่ออกมาจึงต้องดูว่าสาเหตุคืออะไร อาจเพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กให้ต่อสู่กับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราต้องเอาคนพวกนี้กลับมา การแก้ปัญหาในพื้นที่ยังจำเป็นต้องใช้วิธีการพูดคุย แม้วันนี้จะยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับรัฐบาล ต้องตั้งหลักให้ได้ว่าจะคุยกันแค่ไหนอย่างไร เรามีคำตอบอยู่แล้วว่าจะไม่นำไปสู่เขตปกครองพิเศษ หรือการแบ่งแยกดินแดน ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญไทย รัฐบาลก็เข้าใจ ขณะนี้ยืนยันว่ายังมีผลที่น่าพอใจ ทหาร-ตำรวจยังสามารถควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ได้มากกว่าร้อยละ 90 แต่วันนี้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบพยายามเอาชนะทางความคิดว่าฝ่ายรัฐเพลี่ยงพล้ำ นี่คือยุทธศาสตร์ที่เขาเดินอยู่และเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ ทั้งที่คนในพื้นที่เกลียดชังและไม่ชอบวิธีการของเขาเพราะทำให้เกิดความสูญเสีย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่นายฮัสซัน ตอยิบ ตัวแทนพูดคุยฝ่ายบีอาร์เอ็น กดดันให้รัฐบาลรับข้อเสนอ 5 ข้อของบีอาร์เอ็น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขายืนยันแล้วว่าการพูดคุยยังคงมีต่อไป ส่วนที่เขาเรียกร้องให้รับข้อเสนอ 5 ข้อนั้น ในสัปดาห์นี้รัฐบาลจะมีการประชุมศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.)เพื่อหารือว่า จะรับข้อเสนอได้หรือไม่ แต่ในส่วนของ กอ.รมน. เราหารือกันแล้วว่าสิ่งไหนที่พอรับได้จะพูดคุยกัน และหาแนวทางปฏิบัติ โดยต้องเอา 6 กลุ่มงานเป็นตัวตั้ง และต้องนำปัจจัยที่เขาอ้างเพื่อก่อเหตุความรุนแรงมาพูดคุย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทั้งนี้ตนมองว่า หากเขายังไปไม่ถึงเป้าหมายที่ต้องการ เขาก็ไม่หยุดและนำเรื่องการลอบวางระเบิดมาเป็นข้อต่อรอง เพื่อให้เราโอนอ่อนผ่อนตาม แต่บางเรื่องทำไม่ได้ โดยเฉพาะสิ่งที่ขัดกับกฎหมายและรัฐธรรมนูญของไทย ซึ่งในสัปดาห์ที่จะถึงนี้คงมีผลสรุปที่ชัดเจน แต่อย่าไปให้ความสำคัญว่าใครจะมาพูดคุยกับเรา แต่ให้ดูว่าเราจะคุยเรื่องอะไร แก้ปัญหาอย่างไร สิ่งที่รับได้ก็รับ สิ่งไหนรับไม่ได้ก็ไม่ต้องรับ อย่าไปให้ความสำคัญกับคนๆหนึ่ง หรือข้อเสนอเขา ทุกวันนี้มีเรื่องที่จะต้องพูดคุยกันเป็น 100 เรื่อง ก่อนจะมาตกลงและยื่นข้อเสนอ พร้อมกำหนดขั้นตอนในการดำเนินการ ทุกวันนี้เราพยายามเดินไปทุกทาง แต่จะให้เขาหยุดลอบวางระเบิดวันนี้หรือพรุ่งนี้ คงเป็นไปไม่ได้ เราต้องให้ภาคสังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศกดดันให้พวกเขาหยุดการกระทำ
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงข้อเสนอของสำนักงายอัยการสูงสุดที่ให้หน่วยงานความมั่นคงจัดซื้อ เครื่องบินล่องหนหรือโดรน และดาวเทียมเพื่อช่วยติดตามการก่อเหตุของผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ว่า ต้องเป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงที่จะต้องให้ข้อเสนอแนะว่า ทำได้หรือไม่ สิ่งที่คิดว่าใช้ได้บางอย่างอาจใช้ไม่ได้ หากเรายังให้ประชาชนในพื้นที่เดินทางสัญจรทั้งกลางวันกลางคืนอย่างอิสระ ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวไม่สามารถ มองทะลุป่าไม้ ตึกราบ้านช่อง หรือแยกแยะว่าคนไหนเป็นโจร หรือเป็นคนดี แต่ต้องยอมรับว่ามีเครื่องมือดีกว่าไม่มี เพราะจะเป็นตัวช่วยติดตามผู้ร้ายหรือป้องปรามในบางพื้นที่ โดรนหรือดาวเทียม ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษที่แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ส่วนจะคุ้มค่าหรือไม่ ตนไม่ทราบ ต้องพูดคุยกันและเปรียบเทียบว่า เครื่องมือที่ทำงานคล้ายๆ กับเครื่องมือตัวนี้ เรามีอยู่แล้วหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ซื้อ แต่อย่าไปหวังว่าจะเป็นเครื่องมือที่จะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด การแก้ปัญหาต้องทำเป็นระบบ จะมาแก้ที่ปลายเรื่องคงเป็นไปไม่ได้ จากที่ได้ศึกษาและสอบถามจากประเทศมหาอำนาจทุกประเทศ เขายืนยันตรงกันว่าไม่มีเครื่องมือไหนที่จะสามารถแยกแยะโจรออกจากคนดีได้ แต่เขาแนะแนวทางแก้ปัญหา คือจำกัดการสัญจรของประชาชน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน หลัง 3 ทุ่มห้ามออกจากบ้าน ถ้าใครออกมาคนนั้นคือโจร พร้อมทั้งตั้งจุดตรวจสกัดที่เข้มงวด แต่บ้านเราไม่สามารถทำได้