รายงานการเมือง
แม้จะมีข้อตกลงร่วมกันลดเหตุรุนแรงช่วงเดือนรอมฎอนระหว่างตัวแทน “รัฐบาลไทย” กับ “กลุ่มบีอาร์เอ็น” เพื่อกำหนดเป้าหมายร่วมกันในการนับหนึ่งสร้างสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่ก็ทำได้แค่ช่วง 15 วันแรกของเดือนรอมฎอน ส่วนอีก 15 วันหลัง ความถี่ของการเกิดเหตุความรุนแรงเพิ่มสูงขึ้นมาก
และหากหันหลังกลับไปมองสถิติการเกิดเหตุความรุนแรงช่วงเดือนรอมฎอนแล้ว ช่วง 15 วันแรก จำนวนเหตุเกิดขึ้นน้อยอยู่แล้ว ส่วน 15 วันหลัง สถิติการก่อเหตุมากกว่าเป็นปกติ
สัญญาใจ “หยุดยิง” ระหว่าง “รัฐบาลไทย” กับ “กลุ่มบีอาร์เอ็น” จึงเป็นแค่ “ลมปาก” ไม่ใช่สัญญาที่จะปฏิบัติตามกันจริงๆจังๆ
ที่สำคัญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวลือหนาหูว่า “ฮัสซัน ตอยิบ” ตัวแทนบีอาร์เอ็นในการพูดคุยสันติภาพกับ “รัฐบาลไทย” ถูกปลดออกจากตำแหน่ง จึงไม่สามารถเป็นตัวแทนพูดคุยสันติภาพต่อไปได้
ผนวกกับมี “บางคน” ใน “กลุ่มบีอาร์เอ็น” ออกมายืนยันผ่านเว็บไซต์ยูทิวบ์ว่า “สภาซูรอ” ไม่เห็นด้วยกับแนวทาง “การเจรจา” ต่อไป จึงมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่จะต้อง “ล้มโต๊ะเจรจา”!!!
ตรงกันข้ามกับความเคลื่อนไหวของ “ฮัสซัน ตอยิบ” ที่ให้สัมภาษณ์กับ “นักข่าวมุสลิม” ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า พร้อมจะเดินหน้าพูดคุยสันติภาพกับ “รัฐบาลไทย” ต่อไป
นี่จึงสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ภายใน “กลุ่มบีอาร์เอ็น” เอง ยังมีความแตกแยกอยู่มาก โดยเฉพาะ “แกนนำอาวุโส” (เห็นด้วยกับแนวทางของ “ฮัสซัน ตอยิบ”) กับ “แกนนำรุ่นใหม่” (ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มก่อเหตุในพื้นที่) ที่ยังมองข้อดี-ข้อเสีย ขอการพูดคุยสันติภาพต่างกัน
“แกนนำอาวุโส” มองว่า ความฝันสูงสุดที่จะแบ่งแยกดินแดนออกจาก “รัฐไทย” คงยาก
เพราะยังไง “รัฐไทย” คงไม่ยอม และถ้าแยกออกไปอย่างไรเสียทางภูมิศาสตร์ก็ไม่อาจแยกออกได้ ดังนั้น “เขตปกครองพิเศษ” คือคำตอบ
“แกนนำรุ่นใหม่” มองว่า “รัฐไทย” ไม่มีความจริงจังในการแก้ปัญหา การแยกตัวออกไปเพื่อประกาศ “เอกราช” คือคำตอบสุดท้าย
เมื่อความคิดที่ขัดแย้ง-แตกต่าง เกิดขึ้นกับ “กลุ่มบีอาร์เอ็น” เอง การเดินหน้าพูดคุยสันติภาพจึงสะดุด จากเดิมที่เคยมีการตกลงกันไว้ว่าจะจัดการพูดคุยสันติภาพในวันที่ 18 สิงหาคม
และแว่วมาว่า “ฮัสซัน ตอยิบ” ได้ส่งเงื่อนไขในการต่อรองก่อนขึ้นโต๊ะพูดคุยสันติภาพ ไปยัง “มาเลเซีย” แล้ว ซึ่งทาง “มาเลเซีย” ก็ได้ส่งรายละเอียดมาให้ไทยทั้งหมดแล้ว
โดยคำถามของ “ฮัสซัน ตอยิบ” คือต้องการเร่งให้ “รัฐบาลไทย” ทำตามเงื่อนไข 5 ข้อที่ได้ประกาศไว้ และยังกล่าวหา “รัฐบาลไทย” ว่าเป็นผิดสัญญาจนเกิดความรุนแรงขึ้นในเดือนรอมฎอน
แต่ทั้งหมดก็ต้องผับเก็บไว้ในลิ้นชัก รอให้ “กลุ่มบีอาร์เอ็น” เคลียร์ปัญหาของตัวเองเสียก่อน
ข้ามฝั่งที่ “รัฐบาลไทย” โดยเฉพาะทีมงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่ของ “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” (สมช.) เริ่มส่อเคล้าแตกแยกกันหนัก
เพราะก่อนที่ “พล.ท.ภราดร พัฒนาถาบุตร” เลขาธิการสมช. จะเข้ามารับตำแหน่ง “ทีมงาน” แก้ปัญหาภาคใต้ของสมช.ที่ทำงานมาอย่างนมนาม ลงพื้นที่ทำงานจนได้ใจ “ประชาชน”
และได้ใจ “ทีมงาน” ของ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
แต่เมื่อ “เสธ.แมว” เปลี่ยน “ทีมงาน” นำ “นายทหาร” ยศใหญ่โตหลายคน ที่ว่างงานจากตำแหน่งหลักของ “ทหาร” จึงเข้ามาขอ “ส่วนบุญ” ทำงานในสมช.
เรียกได้ว่าไล่ “คนเก่า” ยกเซ็ต “คนใหม่” มาทำงานกันเลยทีเดียว
วิธีคิดแบบ “ทหาร” เมื่อมาทำงาน “บริหาร” จึงมีปัญหาเกิดขึ้น อีกทั้งประสบการณ์ทำงานในพื้นที่ยังน้อย เมื่อลงไปทำงานจึงเกิดปัญหาการ “สั่งการ” เพราะจะใช้วิธีแบบ “ทหาร” คนอื่นเขาไม่เอาด้วย
โดยเฉพาะชื่อของ “พ.อ.จรูญ อำภา” ที่ปรึกษา สมช. ที่คนในพื้นที่ค่อนแคะว่าทำงานแบบสุกเอาเผากิน ไม่ได้มีความจริงใจจะแก้ปัญหาแต่อย่างใด
ชื่อของ “นายทหาร” ที่พ่วงท้ายตำแหน่งของ สมช. จึงถูกต่อต้านอย่างหนัก
ระยะหลังจึงปรากฎชื่อของ “สมเกียรติ บุญชู” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อดีตรองเลขาฯสมช. (ยุคนายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นเลขาฯสมช.) เข้าไปนั่งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการตรวจสอบเหตุความรุนแรงในช่วงเดือนรอมฏอน ซึ่งตั้งขึ้นโดยศอ.บต.
ปรากฏชื่อ “ดนัย มูส่า”ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงจังหวัดชายแดนใต้และชนต่างวัฒนธรรม เข้าไปนั่งเป็นทีมงานคอยประสานงานระหว่าง “ประชาชน” กับ “หน่วยงานรัฐ” อีกครั้งหนึ่ง
ลือกันให้แซดว่า “บิ๊กวี” เป็นคนโทรสายตรงมายัง “เสธ.แมว” ด้วยตัวเองว่าขอให้ “สมเกียรติ-ดนัย” กลับไปทำงานภาคใต้ เพราะคนในพื้นที่-ศอ.บต. เรียกร้อง
บางกระแสขู่ว่าหากไม่เปลี่ยนตัว “ทีมงาน เสธ.แมว” ออกไป จะไม่เข้าร่วมสังฆกรรมอะไรทั้งสิ้น
ดูเหมือนการทำงานของ “เสธ.แมว” จะไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือมีราคามากมาย เหมือนกับที่คุยกับ “สื่อมวลชน” เอาไว้ การทำงานของ “เสธ.แมว” จะมีดีก็เห็นแค่ “การพูด” เสียมากกว่า
หน่ำซ้ำระยะหลังยังถูก “หน่วยงานความมั่นคง” ออกมาท้วงติงให้ “เสธ.แมว” ทำงานอย่างอื่นด้วย เพราะโดยเนื้องานแล้ว “สมช.” ไม่ได้มีแค่ดูแลปัญหาภาคใต้อย่างเดียว
ที่เห็นเป็นตัวอย่างคือปัญหา “ชาวโรฮิงญา” ที่ “หน่วยงานความมั่นคง” ประเมินแล้วส่งรายงานมายังสมช.แล้วว่า ที่อยู่อาศัยชั่วคราวของ “โรฮิงญา” ที่หลบหนีมายังประเทศไทยไม่เพียงพอ ขอให้สมช.เสนอเรื่องเข้าครม.เพื่อหารือในการแก้ปัญหา
แต่สมช.ของ “เสธ.แมว” ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรให้เป็นรูปธรรม จนเกิดปัญหา “ชาวโรงฮิงญา” ล้นที่พักพิงชั่วคราว จนหลุดรอดออกมาได้หลายคน
ทั้งหมดสะท้อนชัดเจนว่า “เสธ.แมว” เด็กของ “นายใหญ่” ทำงานไม่เป็น สะท้อนถึง “นายใหญ่” ด้วยว่าเลือกคนทำงานไม่เป็น เอาแต่พรรคพวกพี่น้องของตัวเอง ไม่ได้ยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง
แม้จะมีข้อตกลงร่วมกันลดเหตุรุนแรงช่วงเดือนรอมฎอนระหว่างตัวแทน “รัฐบาลไทย” กับ “กลุ่มบีอาร์เอ็น” เพื่อกำหนดเป้าหมายร่วมกันในการนับหนึ่งสร้างสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่ก็ทำได้แค่ช่วง 15 วันแรกของเดือนรอมฎอน ส่วนอีก 15 วันหลัง ความถี่ของการเกิดเหตุความรุนแรงเพิ่มสูงขึ้นมาก
และหากหันหลังกลับไปมองสถิติการเกิดเหตุความรุนแรงช่วงเดือนรอมฎอนแล้ว ช่วง 15 วันแรก จำนวนเหตุเกิดขึ้นน้อยอยู่แล้ว ส่วน 15 วันหลัง สถิติการก่อเหตุมากกว่าเป็นปกติ
สัญญาใจ “หยุดยิง” ระหว่าง “รัฐบาลไทย” กับ “กลุ่มบีอาร์เอ็น” จึงเป็นแค่ “ลมปาก” ไม่ใช่สัญญาที่จะปฏิบัติตามกันจริงๆจังๆ
ที่สำคัญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวลือหนาหูว่า “ฮัสซัน ตอยิบ” ตัวแทนบีอาร์เอ็นในการพูดคุยสันติภาพกับ “รัฐบาลไทย” ถูกปลดออกจากตำแหน่ง จึงไม่สามารถเป็นตัวแทนพูดคุยสันติภาพต่อไปได้
ผนวกกับมี “บางคน” ใน “กลุ่มบีอาร์เอ็น” ออกมายืนยันผ่านเว็บไซต์ยูทิวบ์ว่า “สภาซูรอ” ไม่เห็นด้วยกับแนวทาง “การเจรจา” ต่อไป จึงมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่จะต้อง “ล้มโต๊ะเจรจา”!!!
ตรงกันข้ามกับความเคลื่อนไหวของ “ฮัสซัน ตอยิบ” ที่ให้สัมภาษณ์กับ “นักข่าวมุสลิม” ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า พร้อมจะเดินหน้าพูดคุยสันติภาพกับ “รัฐบาลไทย” ต่อไป
นี่จึงสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ภายใน “กลุ่มบีอาร์เอ็น” เอง ยังมีความแตกแยกอยู่มาก โดยเฉพาะ “แกนนำอาวุโส” (เห็นด้วยกับแนวทางของ “ฮัสซัน ตอยิบ”) กับ “แกนนำรุ่นใหม่” (ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มก่อเหตุในพื้นที่) ที่ยังมองข้อดี-ข้อเสีย ขอการพูดคุยสันติภาพต่างกัน
“แกนนำอาวุโส” มองว่า ความฝันสูงสุดที่จะแบ่งแยกดินแดนออกจาก “รัฐไทย” คงยาก
เพราะยังไง “รัฐไทย” คงไม่ยอม และถ้าแยกออกไปอย่างไรเสียทางภูมิศาสตร์ก็ไม่อาจแยกออกได้ ดังนั้น “เขตปกครองพิเศษ” คือคำตอบ
“แกนนำรุ่นใหม่” มองว่า “รัฐไทย” ไม่มีความจริงจังในการแก้ปัญหา การแยกตัวออกไปเพื่อประกาศ “เอกราช” คือคำตอบสุดท้าย
เมื่อความคิดที่ขัดแย้ง-แตกต่าง เกิดขึ้นกับ “กลุ่มบีอาร์เอ็น” เอง การเดินหน้าพูดคุยสันติภาพจึงสะดุด จากเดิมที่เคยมีการตกลงกันไว้ว่าจะจัดการพูดคุยสันติภาพในวันที่ 18 สิงหาคม
และแว่วมาว่า “ฮัสซัน ตอยิบ” ได้ส่งเงื่อนไขในการต่อรองก่อนขึ้นโต๊ะพูดคุยสันติภาพ ไปยัง “มาเลเซีย” แล้ว ซึ่งทาง “มาเลเซีย” ก็ได้ส่งรายละเอียดมาให้ไทยทั้งหมดแล้ว
โดยคำถามของ “ฮัสซัน ตอยิบ” คือต้องการเร่งให้ “รัฐบาลไทย” ทำตามเงื่อนไข 5 ข้อที่ได้ประกาศไว้ และยังกล่าวหา “รัฐบาลไทย” ว่าเป็นผิดสัญญาจนเกิดความรุนแรงขึ้นในเดือนรอมฎอน
แต่ทั้งหมดก็ต้องผับเก็บไว้ในลิ้นชัก รอให้ “กลุ่มบีอาร์เอ็น” เคลียร์ปัญหาของตัวเองเสียก่อน
ข้ามฝั่งที่ “รัฐบาลไทย” โดยเฉพาะทีมงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่ของ “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” (สมช.) เริ่มส่อเคล้าแตกแยกกันหนัก
เพราะก่อนที่ “พล.ท.ภราดร พัฒนาถาบุตร” เลขาธิการสมช. จะเข้ามารับตำแหน่ง “ทีมงาน” แก้ปัญหาภาคใต้ของสมช.ที่ทำงานมาอย่างนมนาม ลงพื้นที่ทำงานจนได้ใจ “ประชาชน”
และได้ใจ “ทีมงาน” ของ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
แต่เมื่อ “เสธ.แมว” เปลี่ยน “ทีมงาน” นำ “นายทหาร” ยศใหญ่โตหลายคน ที่ว่างงานจากตำแหน่งหลักของ “ทหาร” จึงเข้ามาขอ “ส่วนบุญ” ทำงานในสมช.
เรียกได้ว่าไล่ “คนเก่า” ยกเซ็ต “คนใหม่” มาทำงานกันเลยทีเดียว
วิธีคิดแบบ “ทหาร” เมื่อมาทำงาน “บริหาร” จึงมีปัญหาเกิดขึ้น อีกทั้งประสบการณ์ทำงานในพื้นที่ยังน้อย เมื่อลงไปทำงานจึงเกิดปัญหาการ “สั่งการ” เพราะจะใช้วิธีแบบ “ทหาร” คนอื่นเขาไม่เอาด้วย
โดยเฉพาะชื่อของ “พ.อ.จรูญ อำภา” ที่ปรึกษา สมช. ที่คนในพื้นที่ค่อนแคะว่าทำงานแบบสุกเอาเผากิน ไม่ได้มีความจริงใจจะแก้ปัญหาแต่อย่างใด
ชื่อของ “นายทหาร” ที่พ่วงท้ายตำแหน่งของ สมช. จึงถูกต่อต้านอย่างหนัก
ระยะหลังจึงปรากฎชื่อของ “สมเกียรติ บุญชู” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อดีตรองเลขาฯสมช. (ยุคนายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นเลขาฯสมช.) เข้าไปนั่งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการตรวจสอบเหตุความรุนแรงในช่วงเดือนรอมฏอน ซึ่งตั้งขึ้นโดยศอ.บต.
ปรากฏชื่อ “ดนัย มูส่า”ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงจังหวัดชายแดนใต้และชนต่างวัฒนธรรม เข้าไปนั่งเป็นทีมงานคอยประสานงานระหว่าง “ประชาชน” กับ “หน่วยงานรัฐ” อีกครั้งหนึ่ง
ลือกันให้แซดว่า “บิ๊กวี” เป็นคนโทรสายตรงมายัง “เสธ.แมว” ด้วยตัวเองว่าขอให้ “สมเกียรติ-ดนัย” กลับไปทำงานภาคใต้ เพราะคนในพื้นที่-ศอ.บต. เรียกร้อง
บางกระแสขู่ว่าหากไม่เปลี่ยนตัว “ทีมงาน เสธ.แมว” ออกไป จะไม่เข้าร่วมสังฆกรรมอะไรทั้งสิ้น
ดูเหมือนการทำงานของ “เสธ.แมว” จะไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือมีราคามากมาย เหมือนกับที่คุยกับ “สื่อมวลชน” เอาไว้ การทำงานของ “เสธ.แมว” จะมีดีก็เห็นแค่ “การพูด” เสียมากกว่า
หน่ำซ้ำระยะหลังยังถูก “หน่วยงานความมั่นคง” ออกมาท้วงติงให้ “เสธ.แมว” ทำงานอย่างอื่นด้วย เพราะโดยเนื้องานแล้ว “สมช.” ไม่ได้มีแค่ดูแลปัญหาภาคใต้อย่างเดียว
ที่เห็นเป็นตัวอย่างคือปัญหา “ชาวโรฮิงญา” ที่ “หน่วยงานความมั่นคง” ประเมินแล้วส่งรายงานมายังสมช.แล้วว่า ที่อยู่อาศัยชั่วคราวของ “โรฮิงญา” ที่หลบหนีมายังประเทศไทยไม่เพียงพอ ขอให้สมช.เสนอเรื่องเข้าครม.เพื่อหารือในการแก้ปัญหา
แต่สมช.ของ “เสธ.แมว” ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรให้เป็นรูปธรรม จนเกิดปัญหา “ชาวโรงฮิงญา” ล้นที่พักพิงชั่วคราว จนหลุดรอดออกมาได้หลายคน
ทั้งหมดสะท้อนชัดเจนว่า “เสธ.แมว” เด็กของ “นายใหญ่” ทำงานไม่เป็น สะท้อนถึง “นายใหญ่” ด้วยว่าเลือกคนทำงานไม่เป็น เอาแต่พรรคพวกพี่น้องของตัวเอง ไม่ได้ยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง