โฆษกเพื่อไทยปากปราศรัยไม่รู้จบ ยืนยัน รัฐบาลเชิญ “อันนัน-แบลร์” เข้าร่วมวงไม่ใช่ละคร อ้างไม่มีใครยอมตกเป็นเครื่องมือ คิดมาได้ระวังตกขบวนรถไฟสันติภาพเที่ยวสุดท้าย ด้านรองโฆษกฯ โวละลายงบปฏิรูปคุ้มค่ากว่าโครงการสมัยมาร์ค เหน็บ “มัลลิกา” เลอะเทอะ วอนอย่าทำจดหมายใส่ร้ายรัฐบาล
วันนี้ (12 ส.ค.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่ม 40 ส.ว.ไม่เข้าร่วมปฏิรูปประเทศไทย ว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำรัฐบาล ได้เชิญทุกฝ่ายมาร่วมปฏิรูปการเมือง ซึ่งขณะนี้ได้รับการตอบรับจากบุคคลสำคัญของประเทศจำนวนมาก รวมถึงในระดับนานาชาติ เช่น นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ นายโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ สิ่งเหล่านี้แปลว่าทุกภาคส่วนต้องการเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า และยินดีให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีในฐานผู้นำประเทศ เมื่อบริหารประเทศมาได้สองปี ก็ต้องตอบโจทย์การแก้ปัญหาของประเทศให้ได้ ทั้งนี้การที่พรรคประชาธิปัตย์ ให้ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ มากล่าวหารัฐบาลว่า การเชิญอดีตบุคคลสำคัญ และอดีตผู้นำประเทศ มาร่วมหารือปฏิรูปการเมืองไทยเป็นการใช้บุคคลเหล่านั้นเป็นเครื่องมือ และโดยเฉพาะการกล่าวหา นายโคฟี อันนัน ว่าจะเป็นเครื่องมือของรัฐบาลไปด้วยนั้น พรรคประชาธิปัตย์เล่นการเมืองใจคับแคบเกินไป การกล่าวหาเช่นนี้ พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยมองประโยชน์ของชาติบ้านเมือง วันนี้การที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินสายเชิญบุคคลสำคัญเข้าร่วม แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับมองว่าเป็นละครการเมือง ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เพราะผู้ใหญ่ที่ตอบรับไม่ว่าจะเป็นนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีและบุคคลสำคัญ คงไม่มีใครยอมตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาล แต่บุคคลเหล่านี้เขามองเรื่องประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
“อยากให้พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ รวมถึงบรรดาแนวร่วมกลุ่ม 40 ส.ว.และกลุ่มการเมืองอื่นๆ ที่คัดค้านเรื่องนี้ อยากให้คนเหล่านี้มองเรื่องผลประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลัก อยากให้ลดอคติ งดเล่นการเมือง หันมาร่วมมือกันแก้ปัญหาของชาติ อย่างท่านพิชัย ที่ท่านตอบรับมา ท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านไม่ได้มองเรื่องประโยชน์ทางการเมือง แต่มองเรื่องประโยชน์ของบ้านเมือง รวมถึง นายโคฟี อันนัน อยากให้คนไทยได้ประโยชน์ ซึ่งวันนี้หากพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ และกลุ่ม 40 ส.ว.เห็นต่าง ก็สามารถเอาความคิดที่เห็นต่างมาพูดคุยกันในเวทีปฏิรูปได้ ดังนั้นอยากถามความจริงใจจากนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มแนวร่วม หากเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ขออย่าสร้างเงื่อนไข ควรหันหน้ากันมาร่วมมือหาทางออกให้ประเทศ” นายพร้อมพงศ์ กล่าว
ต่อข้อถามว่ากลุ่มที่ขัดแย้งปฏิเสธไม่เข้าร่วมการปฏิรูปการเมืองจะสำเร็จได้อย่างไร โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้หากใครไม่เข้าร่วมเหมือนตกขบวนรถไฟสันติภาพเที่ยวสุดท้าย ซึ่งจะทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยว่าที่ไม่เข้าร่วม เพราะได้ประโยชน์จากความขัดแย้งใช่หรือไม่ และทางฝ่ายค้านเอง จะต้องตอบสังคม ประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย วันนี้สังคมมองว่าการปลุกม็อบของพรรคประชาธิปัตย์ และม็อบแช่แข็งสอง ไม่ได้รับการตอบรับจากประชาชน เนื่องจากประชาชนเห็นว่าความขัดแย้งที่ผ่านมาเกือบสิบปี บ้านเมืองเดินหน้าไปไม่ถึงไหน ประชาชนวันนี้อยากเห็นทางออกของประเทศ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องลดละเลิกยึดประโยชน์ส่วนตัวมายึดประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
“อยากให้นายอภิสิทธิ์ และแนวร่วมพรรคประชาธิปัตย์ ทบทวนหันมาใช้เวทีปฏิรูปประเทศไทยในการหาทางออกร่วมกัน หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่เข้าร่วมประชาชนคงตัดสินได้ว่า น่าจะคิดใหม่ทำใหม่หันมายึดประโยชน์ของชาติ มากกว่ามุ่งเอาเรื่องนี้มาเป็นเกมการเมือง” นายพร้อมพงศ์ กล่าว
ด้าน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโจมตีรัฐบาลที่เชิญบุคคลสำคัญเข้าร่วมสภาปฏิรูปการเมือง เป็นปาหี่ ผลาญงบประมาณ และภาษีของประชาชน ว่า สภาปฏิรูปที่รัฐบาลจัดขึ้น คงมีงบประมาณในการบริหารจัดการอยู่บ้าง แต่งบประมาณที่เราจะสูญเสียเมื่อเทียบเคียงกับสิ่งที่เราจะได้รับนั้น ถือว่าคุ้มค่าเกินราคา พรรคประชาธิปัตย์ใจดำมากที่ยึดถือเรื่องเงินเป็นที่ตั้ง โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประเทศชาติและประชาชน ข้อสังเกตนี้จึงเป็นความใจแคบ ใจดำ ของพรรคประชาธิปัตย์ และลืมความหลังของตัวเองที่เคยทำโครงการไทยเข้มแข็ง สร้างความสมานฉันท์ ระดมประชาชนมาร้องเพลงชาติตอน 6 โมงเย็นทุกวัน ใช้งบ 60 ล้านบาท วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ลืมสิ่งที่เคยทำ เพราะรัฐบาลนี้มีวิสัยทัศน์มากกว่า นี่คือการดีแต่พูด ดีแต่ด่า ถือว่าใจดำมาก ทั้งที่ถ้าจะเอาเรื่องเงินมาวัด โครงการประเภทผลาญงบ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ยังมีอีกหลายโครงการ ทั้ง ผลาญเงินสร้างเสาธงยักษ์ ผลาญเงินสร้างโรงพักได้แต่เสา ผลาญเงินจัดซื้อครุภัณฑ์ ซึ่งเงินที่สูญเสียไปกับโครงการต่างๆ นั้นมากมายกว่าการจัดเวทีสภาปฏิรูป และไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย เพราะฉะนั้นเงินที่เรากำลังจะจ่ายไป พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลขอยืนยันว่าประเทศชาติและพี่น้องประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างยั่งยืน ไม่มีการสูญเปล่า และสภาปฏิรูปจะเป็นเวทีในการสร้างทางออกของประเทศของประเทศอย่างแท้จริง
นายอนุสรณ์ ยังเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ดูแลพฤติกรรมของลูกพรรค และขออย่าเล่นการเมืองเลอะเทอะ ซึ่งกรณีของ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงออกมามอบโล่ให้กับนายกรัฐมนตรีนั้น พฤติกรรมดังกล่าวไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ยังมีการโพสต์ภาพที่บิดเบือน สร้างความเสียหายให้แก่นายกรัฐมนตรี ซึ่งตนไม่แน่ใจว่าการกระทำแต่ละครั้ง ได้มีผู้ใหญ่สนับสนุนเห็นดีเห็นงามหรือให้ท้ายหรือไม่ จึงปล่อยให้แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหลายครั้ง พรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทนของประชาชน ควรปฏิบัติหน้าที่ให้อยู่ในกรอบอย่างพอดี เที่ยงตรง เพื่อให้ประชาชนไว้วางใจในกระบวนการการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ไม่ใช่ใส่อารมณ์ เลอะเทอะไปหมด เพราะสะท้อนให้เห็นถึงภาวะความเป็นผู้นำของหัวหน้าพรรคอีกด้วย หากนายอภิสิทธิ์ยังนิ่งนอนใจกับพฤติกรรมดังกล่าวของ น.ส.มัลลิกา ให้ระวังตัวไว้เพราะอาจจะถูกถอนหงอกอีกคน เพราะขนาดผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์เธอยังเล่นมาแล้ว
นอกจากนี้ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายอภิสิทธิ์ ได้มอบหมายให้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 5 คนของพรรค ร่วมกันเป็นคณะทำจดหมายเปิดผนึกถึงองค์กรภาคประชาชน สมาคมผู้สื่อข่าว และหน่วยงานระหว่างประเทศ ให้ทราบว่ารัฐบาลกำลังใช้อำนาจรัฐในทางที่มิชอบ ว่า นายอภิสิทธิ์ควรทบทวนบทบาทและพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์อย่างจริงจังว่าสิ่งที่ทำเหมาะสมหรือไม่ เพราะการทำจดหมายเปิดผนึกของพรรคประชาธิปปัตย์ หรือการขอเข้าพบ นายโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และ นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ นอกจากจะเป็นความพยายามในการใส่ร้ายรัฐบาลแล้ว ยังเป็นการขัดขวางหนทางสู่ความปรองดองของประเทศชาติและประชาชนอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยเดินหน้าเชิญทุกส่วนเข้าร่วมสภาปฏิรูปเต็มสูบ แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับเดินหน้าแช่งทุกคนที่เข้าร่วม จึงขอให้พรรค ปชป.ช่วยสำรวจตัวเองด้วย ที่ว่าคนแก่หูตึง เอาเข้าจริง คนใน ปชป. อาจจะหนักกว่า ถึงขั้น หูหนวก ตาบอด เลยก็ได้