xs
xsm
sm
md
lg

สภาไทยในยุคยิ่งลักษณ์ เลวร้ายกว่ายุคเผด็จการ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

ในยุคทักษิณ “รัฐสภาไทย” ถูกสื่อมวลชนตั้งฉายาว่า “สภาทาส” มาถึงยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ใครจะดูถูกดูแคลนว่าเธอ “เอ๋อ” “ไร้สมอง” หรือบางคนอาจให้ค่าเป็นได้แค่ “ตุ๊กตาเสียกบาล”

แต่ต้องขอบอกว่า “พิษสง” และ “ความรอบจัด” ทางการเมือง มิได้แตกต่างจาก พี่ชายนักโทษแต่อย่างใด

แม้ว่ากลเกมเหล่านั้นเธออาจจะไม่มีมันสมองมากพอที่จะคิดเอง แต่ทีมงานที่มีกรอบความคิดดูถูกระบอบประชาธิปไตย คิดใช้การปกครองนี้เป็นเพียงเครื่องมือสู่อำนาจ ทำลายกลไกอันศักดิ์สิทธิ์ และศักดิ์ศรีของระบบรัฐสภาไทยจนย่อยยับนั้น ยังคงเป็น “พวกเชิ้อชั่วไม่ยอมตาย”

กลุ่มเดียวกัน ที่กำลังจะทำให้ “ประชาธิปไตยของไทยตายผ่อนส่ง”

การวางหมากเกมในสภาเกี่ยวกับการผลักดัน ร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ฉบับ วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ดันเข้าสู่สภาเป็นวาระแรกในสมัยประชุมนี้ โดยไม่แคร์เสียงคัดค้านจากภาคประชาชน

หรือแม้แต่กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตที่นำโดย นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของนางสาวกมนเกด อัคฮาด อาสาพยาบาลที่เสียชีวิตระหว่างการชุมนุมที่คนเสื้อแดงก่อจลาจลเผาเมืองเมื่อปี 2553 ก็ยังถูกเขี่ยทิ้งง่าย ๆ ไม่รักษาน้ำใจคนที่รักทักษิณ สุดจิตสุดใจ อย่างนางพะเยาว์ ที่ถึงกับเคยโผเข้ากอดนักโทษหนีคดีด้วยความคิดถึงเมื่อครั้งที่เดินทางเร่ร่อนมาสิงสถิตย์อยู่ที่เขมรในช่วงสงกรานต์ปี 2554

แถมยังอภัยให้ได้เมื่อทักษิณ พูดบาดใจว่า “นิรโทษกรรมเพื่อคนส่วนใหญ่ต้องเสียสละส่วนน้อย” หมายถึงว่า ลูกสาวของนางพะเยาว์มิได้มีคุณค่าใด ๆ ที่จะต้องทวงถามหาความยุติธรรมให้กับร่างอันไร้วิญญาณของเธอให้นอนตายตาหลับ

แต่จะจบลงง่าย ๆ ด้วยการได้เงิน 7.75 ล้านบาทจากภาษีของประชาชนไม่ใช่การควักกระเป๋าของนักโทษแม้แต่สตางค์แดงเดียว

เมื่อยิ่งลักษณ์เล่นบทโศกเล็ก ๆ น้อย ๆ กอดคอร้องได้ไปกับกลุ่มญาติแล้วบอกว่าจะให้พงษ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ไปศึกษาดูรายละเอียด โดยไม่มีการถอนร่างของนายวรชัยออกมา เพื่อผลักดันร่างของญาติอย่างจริงจัง

ก็ยังทำให้ญาติคนเสื้อแดงกลุ่มนี้ซาบซึ้งกับนำตามารยาของ ยิ่งลักษณ์ จนไม่รู้ตัวว่าถูกหลอก หรืออาจจะรู้ตัวแต่ว่าเต็มใจ ไม่มีใครออกมาวิจารณ์

แย่ไปกว่านั้น คือเพียงเพื่อจะผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมของนายวรชัย ซึ่งอย่ามาพูดให้เหม็นขี้ฟันว่า นักโทษชายหนีคดีจะไม่ได้ประโยชน์ เพราะ ทักษิณ คือผู้ต้องหาเบอร์ 1 ในคดีก่อการร้าย ตามสำนวนของดีเอสไอยุคที่ ธาริต ยังไม่เปลี่ยนสี ถือเป็นผู้บงการการเผาเมืองเมื่อปี 2553 เลยทีเดียว

ดังนั้นร่างกฎหมายนี้จึงเอื้อประโยชน์ต่อ ทักษิณและพวกอย่างแน่นอน

จึงทำให้ต้องทำทุกทางที่จะผลักดันกฎหมายนี้ออกมาให้ได้ ซึ่งน่าจะมีขั้นตอนยัดไส้ล้างผิดคนปล้นชาติตามติดมาด้วยอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น คงไม่ลงทุนถึงขนาดต้องประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคง จัดงบกว่า 400 ล้าน เพื่อกำราบ “ม็อบกองทัพประชาชนฯ” ที่นักโทษหนีคดีดูถูกเอาไว้

และเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนอย่างราบรื่น ไม่ให้ใครได้เห็นความชั่วช้าเลวทรามของตัวเองในการใช้เสียงข้างมากลากระบบยุติธรรมไปชำเรา ประธานรัฐสภาถึงขนาดกล้าที่จะไม่ถ่ายทอดสดการอภิปรายร่างกฎหมายนี้

โดยครั้งแรกจะไม่ให้ช่องใดถ่ายเลยด้วยซ้ำ กระทั่งเกิดกระแสต่อต้านอย่างหนักจากสื่อมวลชนจึงยอมให้มีการรายงานสดได้ตามปกติ แต่ไม่มีการถ่ายทอดผ่านช่อง 11

หนักไปกว่านั้นคือการออกคำสั่งโดยเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาฯ ห้ามไม่ให้สื่อมวลชนประจำรัฐสภาขึ้นไปดักรอสัมภาษณ์แหล่งข่าวที่บริเวณชั้นลอยของอาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นสถานที่ที่บรรดารัฐมนตรี รวมถึงนายกรัฐมนตรี จะใช้เป็นทางเข้าอาคารรัฐสภา เท่ากับว่าปิดทางสื่อให้สัมภาษณ์คนเหล่านี้ยากขึ้นไปโดยปริยาย

แต่ที่น่าเศร้าคือสื่อมวลชนประจำรัฐสภายุคนี้กลับไม่มีท่าทีแข็งขืน ต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิการทำข่าวคืนมา นอกจากเออออห่อหมกตามกันไป โดยไม่รู้สึกว่าสื่อถูกจำกัดสิทธิเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการรับทราบข้อมูลข่าวสารของประชาชน

แม้แต่ในยุครัฐประหาร รสช. หรือช่วงรัฐประหารของ คมช. ก็ยังไม่เคยมีคำสั่งห้ามเช่นนี้

สภาไทยในยุคยิ่งลักษณ์ จึงเลวร้ายกว่า “สภาปฏิวัติ” เสียอีก

เพราะไม่ได้มีแค่การจำกัดสิทธิสื่อในการนำเสนอข่าวสาร ยังมีการตรวจสอบการใช้ WIFI ของสื่อมวลชนผ่านระบบของรัฐสภาได้แบบทุกรูขุมขนอีกด้วย ซึ่งก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลโดยสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ

แย่มากไปกว่านั้นคือ เฟซบุ๊ครัฐสภาไทย ซึ่งเคยทำเรื่องฉาวโฉ่ ด้วยการทำผลสำรวจความเห็นประชาชนเกี่ยวกับการสำรวจความเห็นกฎหมายนิรโทษกรรมโดยในขณะนั้นเป็นร่างที่ใช้ชื่อว่า “ปรองดอง” กระทั่งโดนชาวเน็ตรุมถล่มจนต้องปิดโพสต์หนีไป แต่ไม่มีคำชี้แจงใด ๆ จากปาก สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ที่เกียรติยศศักดิ์ศรีวางไว้แทบเท้านักโทษ นอกจากปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปกับสายลม

เรื่องราวก็ยังไม่จบเท่านั้น เมื่อถึงจุดไคลแมกซ์ที่นายใหญ่อยากดันให้ “สุดซอย” โดยขอพัก “กลางซอย” ที่ร่างวรชัย ก่อนจะต่อยอดไป “สุดซอย” กับอีกสารพัดร่างที่คาอยู่ในสภา เฟซบุ๊คของรัฐสภาไทยก็ทำงามหน้าถึงขนาดขึ้นปกเชียร์การออกกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูไปถึงดูไบว่า

พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทางรอด เหยื่อความขัดแย้งโดยกลไกแห่งรัฐสภา

มีโลโก้รัฐสภาโชว์หรอยู่มุมซ้ายด้านล่าง พร้อมกับข้อความว่า หน่วยงานรัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย

เอากันโจ๋งครึ่มไม่อายฟ้าเกรงดินกันเลยว่า “รัฐสภา” เป็นเพียงแค่ “หน่วยงานของรัฐบาล”

นี่คือประชาธิปไตยภายใต้ระบอบทักษิณที่ยิ่งลักษณ์เป็นทายาทสืบสานทำลายระบบรัฐสภาให้ตกต่ำลงมากขึ้นเรื่อย ๆ

เพราะไม่เพียงแค่บอกว่าเป็นหน่วยงานรัฐบาลเท่านั้น แต่พฤติกรรมส.ส.รัฐบาลไม่ใช่แค่เพื่อไทยต่างก็แสดงออกชัดว่าเป็นได้แค่”ขี้ข้าตระกูลชิน” ใช้รัฐสภาเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ต้องปฏิบัติตามความต้องการของรัฐบาลไม่ว่าความกระสันต์นั้นจะเลวทรามต่ำช้า ทำลายระบบบ้านเมืองอย่างไรก็ไม่มีใครสน

แถมเนื้อหาที่นำเสนอผ่านเฟซบุ๊ครัฐสภาไทย มิใช่เรื่องการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำานในฐานะนิติบัญญัติ แต่กลับเน้นหนักไปที่การเชลียร์เชียร์ตามธงที่รัฐบาลปักไว้ว่าต้องทำให้สำเร็จ

รัฐสภาคือฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยของระบอบประชาธิปไตย แต่วันนี้ สภาขี้ข้า เป็นได้แค่หน่วยงานรัฐบาล ถ้าไม่โง่หรือขาดความรู้ด้านประชาธิปไตยก็ต้องชั่วอย่างตั้งใจที่จะลดทอนความสำคัญของฝ่ายนิติบัญญัติให้มีไว้รองมือรองตีนฝ่ายบริหารเท่านั้น

ยิ่งลักษณ์ พูดถูกว่า มีคนที่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย และถ้าอยากรู้ว่าใครที่ทำร้ายระบอบประชาธิปไตยจนตกต่ำลงก็ให้ไปยืนส่องกระจกดูแล้วจะเห็น

ผู้หญิงที่มีแต่ความคิดเห็นแก่ตัว กับตระกูลหนักแผ่นดิน นั่นแหละ ไวรัสร้ายที่กำลังกัดกินประชาธิปไตยของไทยให้เหลือเพียงชื่อ แต่เนื้อในคือ เผด็จการของทรราช
กำลังโหลดความคิดเห็น