สภาสุดวุ่น “เต้น” ต้นตอแขวะแหลก เถียงต่อเวลาเลิกอภิปราย ไร้ข้อสรุปพักประชุมซ้ำ

สภาวุ่นซ้ำซาก หลัง “ณัฐวุฒิ” จ้อ พาดพิง พธม.-ปชป. ส.ส.ฝ่ายค้าน สวนโกหก บี้ ถอน เถียงยับฝ่ายรัฐ เด็ก พท.ชงปิดอภิปราย ฝ่ายค้านไม่ยอม “มาร์ค” โวย รอง ปธ.สภา อภิปรายไม่เสร็จ กลับปิดสภา ก่อนไกล่เกลี่ยไร้ผลพักประชุมอีก กลับมาอีกรอบตกลงไปมาจ่อสรุปจ้อถึง 6 โมงเย็น “ชูวิทย์” ดันยุปิดประชุมเลย ปชป.โวย “มาร์ค” ยังไม่ใช้สิทธิพาดพิง ปิดสภาไม่ได้ ต้องพักประชุมซ้ำอีก

วันนี้ (8 ส.ค.) ที่รัฐสภา นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวถึง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับนี้ที่ถูกวิจารณ์ว่าแกนนำคนสั่งการจะได้อานิสงส์นิรโทษกรรม นั้นข้อเท็จจริงในตามกฎหมายมาตรา 3 วรรค 2 ระบุชัดเจนว่า การกระทำวรรคหนึ่งไม่รวมผู้มีอำนาจ ตัดสินใจสั่งการ และตามหลักกฎหมายเมื่อมีการตั้ง​กมธ.พิจารณาในรายละเอียด หากจะมีการไปแก้ไขบิดเบือนนั้นคงยอมไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเราเคยมี พ.ร.บ. พ.ร.ก.​นิรโทษกรรม มาหลายฉบับ ​แต่ที่บอกว่า กฎหมายนี้ทำลายนิติรัฐนั้น หากอยากให้ถูกต้องควรไปแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ชัดเจนกว่าเพื่อน ส่วนประเด็นก่อนเรื่องไม่นิรโทษกรรมการกระทำก่อนช่วงเวลา 19 ก.ย. 2549 หรือหลัง 10 พ.ค. 54 นั้น สามารถไปปรับปรุงแก้ไขใน​ มาตรา 3 ได้ในชั้นตั้ง กมธ.​พิจารณารายละเอียด ​ที่เสนอแปรญัตติขยับเวลาได้ ​ ส่วนที่บอกว่าเอกสารระบุว่ามีการนิรโทษกรรม 30 คน นั้น คือคนที่ผ่านกระบวนการส่งฟ้องถูกจองจำแล้ว แต่ยังมีอีกหลายคนอย่างเหตุการณ์ยกขบวนไปสนามบินสุวรรณภูมิ ฝ่าฝืน กม.สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือยึดทำเนียบ ซึ่งมีคนเรือนหมื่นเรือนแสนเกี่ยวข้อง

นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีเหตุผลเดียวคือ การสร้างความสามัคคีของคนในชาติ แต่วันนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งเรื่องใหม่ของคนไทย เพราะกฎหมายนิรโทษกรรมที่เราพิจารณากันอยู่ตอนนี้ ไม่เหมือนกับอดีตที่ผ่านมา ที่มีการเสนอออกกฎหมายนิรโทษกรรม 24 ครั้ง ใน 22 เหตุการณ์ โดยทุกครั้งจะไม่มีการนิรโทษกรรมให้กับคนที่เผาทรัพย์สินของราชการ ฆ่าคนตาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทุจริต ซึ่งแตกต่างจากครั้งนี้ที่เนื้อของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะนิรโทษกรรมให้กับความผิดทั้ง 5 ประเภทนี้ ถือว่าขัดต่อหลักนิติรัฐ

อีกทั้งการเคลื่อนไหวในการเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ยังมีลักษณะปิดบัง ซ่อนเร้นของเจ้าของเรื่อง เพื่อลดความรู้สึกของประชาชน หากรัฐบาลต้องการให้เกิดความปรองดองในชาติจริง รัฐบาลต้องเป็นเจ้าภาพในการเสนอกฎหมายฉบับนี้เหมือนกับรัฐบาลในอดีต ไม่ใช่นายกฯทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่สั่งให้คนอื่นดำเนินการ รัฐบาลต้องมีความจริงใจ เมื่อสมาชิกเห็นว่าร่างดังกล่าวมีปัญหาก็ควรที่จะถอนร่างออกไปก่อน พรรคประชาธิปัตย์ยินดีที่จะร่วมสภาปรองดองกับรัฐบาล แม้จะรู้ดีว่าการแก้ไขจะนำไปสู่การล้างผิดให้กับใคร แต่ถ้าไม่มีการถอนร่างนี้ออกไป ก็จะนำบ้านเมืองเดินไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงที่เราคงจะร่วมเดินไปด้วยไมได้ และคงไม่สามารถรับหลักการร่างกฎหมายฉบับนี้

นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยืนยันว่ามุ่งนิรโทษกรรมในทุกสีเสื้อที่ได้รับผลกระทบความขัดแย้งทางการเมือง เมื่อเกิดการกระทำแล้ว ยังต้องมีองค์ประกอบพิจารณาถึงมูลเหตุจูงใจด้วย ถ้าไม่มีสถานการณ์ทางการเมือง ไม่แบ่งแยกสี อาจจะเป็นคนสุจริตชน แต่เมื่อออกมาภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองและก่อเหตุต้องคดีความแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องมาพิจารณากัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการประชุมเริ่มมีการโต้เถียงกันเมื่อนายณัฐวุฒิได้กล่าวพาดพิงว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะได้ประโยชน์จากการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ด้วย และสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ทางกลุ่มพันธมิตรฯก็ยังด่าพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นไม่ควรมาแสดงความเห็นแทนกลุ่มพันธมิตรฯ ขณะที่แกนนำพันธมิตรฯเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านกฎหมายนี้ เพราะก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรฯก็เคยบุกสถานีเอ็นบีที และถูกแจ้งข้อหาซ่องโจร มีการพกปืน พกใบกระท่อม

เมื่อนายณัฐวุฒิอภิปรายมาถึงช่วงนี้ นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประท้วงว่านายณัฐวุฒิ กล่าวมานั้นไม่เป็นความจริง และขอให้ประธานวินิจฉัยและให้ถอนคำพูด แต่นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม กลับไม่วินิจฉัย ทำให้ นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เสนอนับองค์ประชุม และทันทีที่มีผลการนับองค์ประชุมออกมาว่ามีสมาชิกอยู่ครบคือ 296 คน นายพายัพ ปั้นเกตุ ส.ส.สิงห์บุรี พรรคเพื่อไทย ได้เสนอให้ปิดการอภิปราย โดยมีผู้รับรองครบถ้วน แต่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี กล่าวท้วงว่า ตนต้องการที่จะอภิปรายคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ และไม่ควรรวบรัดปิดอภิปราย เพราะเป็นการปิดโอกาสที่ตนจะทำหน้าที่ ส.ส.ให้สมกับที่ประชาชนมอบหมายมา

ด้าน นายเจริญ จึงได้หารือกับนายพายัพ ว่าถ้าทุกฝ่ายอะลุ่มอล่วยไม่ต่อล้อต่อเถียงกันมากก็จะเดินไปเรียบร้อย และสอบถามฝ่ายค้านว่ายังเหลือผู้อภิปรายกี่คน ซึ่ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ต้องถือว่ามีความสำคัญ และอยู่ในความสนใจของคนทั้งประเทศ ควรจะได้เปิดโอกาสให้ ส.ส.ตัวแทนคนไทยทั้งประเทศได้มีโอกาสแสดงความเห็นทั้งสองฝ่าย เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ในการใช้สิทธิทำหน้าที่ ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดในฐานะส.ส.ฝ่ายค้าน พวกตนควรได้รับสิทธิ์และโอกาสแสดงความเห็น ฝ่ายค้านมีผู้แจ้งความจำนวน 60 ท่าน แต่อย่างน้อยหลายคนก็ควรได้ใช้สิทธิอภิปราย ซึ่ง ส.ส.มีสิทธิเสนอปิดอภิปราย แต่ความชอบธรรมทางการเมืองมีความสำคัญยิ่งกว่าการใช้เสียงทางการเมือง อย่างให้ไตร่ตรองให้รอบคอบ

ฝ่าย นายบุญยอด ชี้แจงว่า ตนไม่ได้ตีรวน แต่เห็นว่านายณัฐวุฒิมีการพาดพิงบุคคลภายนอก จึงต้องการให้ประธานวินิจฉัย แต่ก็ไม่ดำเนินการ ขณะเดียวกัน เห็นสมาชิกไม่ถึง 250 คน จึงเสนอให้นับองค์ประชุมเพื่อให้สมาชิกเข้ามาฟังมากขึ้นเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ยังไม่ได้ข้อสรุป นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน สภาผู้แทนราษฎร ได้ถามประธานว่า สรุปแล้วนายณัฐวุฒิอภิปรายเสร็จแล้วหรือไม่ ซึ่งนายเจริญชี้แจงว่า ยังอภิปรายไม่เสร็จ เพราะมีการประท้วงก่อน ทำให้นายอภิสิทธิ์โต้กลับทันทีว่า หากยังอภิปรายไม่เสร็จแล้วจะเสนอให้ปิดการอภิปรายได้อย่างไร

ขณะที่ นายธาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวสนับสนุนให้มีการดำเนินการอภิปรายต่อ พร้อมกับตำหนินายบุญยอด ว่าไม่ควรใช้วิธีการเสนอนับองค์ประชุม เพราะเท่ากับเข้าทางโจร

อย่างไรก็ตาม แม้นายเจริญจะพยายามไกล่เกลี่ยให้สองฝ่ายอะลุ่มอล่วยต่อกัน แต่ก็ยังมีการโต้เถียงกันไปมา จนในที่สุด นายเจริญ ได้สั่งพักการประชุม 5 นาที เพื่อให้วิปสองฝ่ายไปหารือกันเมื่อเวลา 14.40 น.

และเมื่อมีการเปิดประชุมอีกครั้ง ตัวแทนฝ่ายวิปรัฐบาลได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า จากการหารือวิปฝ่ายรัฐบาลได้เสนอว่าจะเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านอภิปรายถึง 6 โมงเย็น แต่ฝ่ายค้านไม่ยอม จึงขยายออกไปถึง 2 ทุ่ม แต่วิปฝ่ายค้านก็ยังไม่ยินยอม ดังนั้น วิปรัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องทำตามข้อเสนอคือปิดอภิปราย

นายสุเทพ กล่าวว่า ตนเป็นผู้เสนอขอให้เปิดอภิปรายทั่วไป เพราะไม่เห็นด้วยที่จะออกกฎหมายล้างผิดให้คนชั่ว คนโกง ให้โจร เราจะไม่มีการร้องขอ ไม่มีประนีประนอม เพราะตนต้องการทำหน้าที่เต็มที่ จะมาจำกัดสิทธิ์ด้วยเวลา หรืออะไรก็แล้วแต่

ดังนั้น นายเจริญ จึงได้ขอมติต่อที่ประชุม แต่นายอภิสิทธ์ขอให้นายเจริญวินิจฉัยว่านายณัฐวุฒิอภิปรายจบแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่จบ ตนต้องการจะใช้สิทธิในฐานะที่ถูกพาดพิง

ขณะที่ นายอำนวย กล่าวว่า ตนเสนอให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายต่อจนถึง 6 โมงเย็น แต่วิปฝ่ายค้านไม่ยินยอม และเมื่อมีการต่อรองให้ถึง 2 ทุ่ม ก็ยังไม่รับข้อเสนอ แต่ นายไตรรงค์ ได้พยายามไกล่เกลี่ย ขอให้อภิปรายไปจนถึง 6 โมงเย็น เพื่อฝ่ายค้านจะได้อภิปรายต่อดีกว่าถูกตัดสิทธิ์ แต่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ลุกขึ้นตะโกนให้ปิดประชุมไปเลย เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

ฝ่าย นายอภิสิทธิ์ ได้พยายามทวงถามถึงสิทธิ์ที่ถูกนายณัฐวุฒิ กล่าวพาดพิง แต่นายเจริญอ้างว่า ได้วินิจฉัยไปแล้วว่าแม้นายณัฐวุฒิจะอภิปรายไม่เสร็จ แต่ได้มีสมาชิกขอให้นับองค์ประชุม ก็ได้มีการสั่งให้นับองค์ประชุม จึงถือว่ากระบวนการตรงนั้นจบไปแล้ว แต่นายอภิสิทธิ์ยังโต้แย้งว่า ขอทราบเหตุผลทำไมประธานจึงบอกว่าตนไม่มีสิทธิ์พูดในเมื่อตนขอใช้สิทธิ์ถูกพาดพิง

อย่างไรก็ตาม ส.ส.ประชาธิปัตย์ พยายามเรียกร้องสิทธิ์ที่ถูกพาดพิงให้กับนายอภิสิทธิ์ แต่ก็ไม่สามารถได้ข้อสรุป จนนายเจริญ ต้องสั่งพักการประชุม 5 นาทีอีกครั้ง