xs
xsm
sm
md
lg

“คุยทุกเรื่องกับสนธิ-ที่นี่ไม่มีการเมือง”ยันแฉคลิปไม่กลัวถูกอุ้ม พร้อมตอบคำถามธุรกิจ-ความรัก-วิธีดัดหลังพวกชอบยืมเงิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"สนธิ"ตอบคำถามจากทางบ้าน ยันแฉคลิป-วิจารณ์"บิ๊กตู่" ไม่เคยกลัวโดนอุ้ม เผยชีวิตการทำสื่อสู้กับอำนาจเผด็จการมาโดยตลอด ตั้งแต่ยุคหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ยุคพฤษภาทมิฬ มาจนถึงปัจจุบัน ยันถ้าทำสื่อเลียคนเพื่อความร่ำรวย ทำไม่เป็น ขอดิ้นรนอยู่ด้วยตัวเอง ไม่ยอมก้มหัวให้ใครดีกว่า พร้อมเล่าประวัติ เป็นคนปฏิวัติวงการจ่ายค่าเรื่องพ็อกเก็ตบุ๊กส์จากอัตราตามใจเถ้าแก่ มาเป็นจ่ายตามเปอร์เซ็นต์ยอดพิมพ์

รายการ"คุยทุกเรื่องกับสนธิ ที่นี่ไม่มีการเมือง" ออกกาศทางเอเอสทีวี ทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน เป็นการนำคำถามจากรายการ"คุยทุกเรื่องกับสนธิ"ที่ออกอากาศทางวันศุกร์ มาตอบในรายการนี้ โดยวันอาทิตย์ที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ตอบคำถามที่น่าสนใจหลายคำถาม อาทิ กลัวจะถูกอุ้มหรือไม่ หลังจากมีการแฉเรื่องคลิปพร้อมวิจารณ์บทบาท ผบ.ทบ., ปัญหาภรรยาขอเลิกเพราะไม่ดูแลธุรกิจ, วิธีดูคนว่าจริงใจหรือไม่, วัยรุ่นสมัยนี้ต่างจากสมัยก่อนอย่างไร, การขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ, เป็นนักธุรกิจจ่ายใต้โต๊ะเพื่อให้ได้งานบาปหรือไม่,คนไทยเชื้อสายจีน มารดาเสียชีวิตจะฝังหรือเผาดี,เพลงคลาสสิกที่ควรฟัง,วิธีจัดการกับคนที่ชอบยืมเงิน ฯลฯ

กมลพร- สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่ที่นี่ไม่มีการเมืองคุยทุกเรื่องกับสนธิ อยู่กับกมลพร วรกุล และกรองทอง เศรษฐสุทธิ์ นะคะ เราเจอกันเดือนละหนึ่งครั้งอาทิตย์ที่ 4 ของเดือน เวลาประมาณนี้ค่ะ 18.30 น. ไปจนถึง 20.00 น. เราคุยทุกเรื่องยกเว้นการเมือง

กรองทอง- ใช่ค่ะ เพราะฉะนั้นช่องทางการสื่อสารของเราเหมือนเดิมนะคะ คุณผู้ชมสามารถที่จะฝากคำถามไว้ได้ทุกเรื่องจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นที่เฟซบุ๊กคุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือว่าจะเป็นช่องทางทางจดหมายก็ได้ เผื่อว่าใครจะไม่ถนัดในการที่จะใช้โซเชียลมีเดียนะคะ จดหมายส่งได้ที่ที่อยู่นี้นะคะ 102/1 อาคารบ้านเจ้าพระยา ชั้น 1 ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200

กมลพร- เริ่มต้นรายการก่อนหน้านี้ เราบอกไปแล้วว่าเราตอบทุกเรื่อง

กรองทอง- ใช่ค่ะ

กมลพร- เราตอบได้หมด จะซื้อทีวี จะทำธุรกิจ

กรองทอง- ได้ค่ะ

กมลพร- หรือว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา

กรองทอง- ใช่ปัญหาครอบครัว

กมลพร- ความรัก

กรองทอง- ความรักก็ได้

กมลพร- เขาตอบได้หมดค่ะ

กรองทอง- ได้ทุกเรื่องจริงๆ

กมลพร- ผู้ชายคนนี้ตอบได้หมดจริงๆ งั้นไปสวัสดีพร้อมกัน คุณสนธิสวัสดีค่ะ

กรองทอง- สวัสดีค่ะ

สนธิ- สวัสดีทั้งนุ้กทั้งเก๋

กมลพร- ตอบทุกเรื่องจริงๆ นะ

สนธิ- ตอบได้กระทั่งปัญหาของนุ้กกับเก๋นะ

กมลพร- แต่วันนี้ต้องยกเวลาให้กับคุณผู้ชม

กรองทอง- ใช่ค่ะ เพราะแค่ปัญหาของ

สนธิ- แต่ผมกำลังสงสัยว่าบางคำถามอาจถูกแทรกมาจากพิธีกรแอบแทรกเข้ามาเหมือนกันนะ

กรองทอง- ไม่มี

กมลพร- คิดว่าน่าจะเป็นโปรดิวเซอร์มากกว่านะไม่น่าจะใช่เรา

กรองทอง- ชีวิตเราโอเคดี

กรองทอง- ถูกค่ะ เพราะว่าถ้าเกิดว่าเอาแค่คำถาม ถ้าเป็นคำถามของคุณกมลพรชั่วโมงครึ่งอาจไม่พอ

กมลพร- ต้องนอกรอบ

สนธิ- อาจต้อง 3 วันหรือไง

กมลพร- ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาดีค่ะ เพราะฉะนั้นชีวิตไม่ค่อยมีปัญหานะคะ

กรองทอง- ใช่ค่ะ

กมลพร- คุณสนธิตอบได้ทุกเรื่องจริงๆ คำถามแรกมาจากคุณชีพก่อนเลยแล้วกัน ประเด็นนี้หลายอยากรู้อยากสงสัยมาก เขาบอกว่าคุณสนธิออกมาพูดเรื่องคลิปไม่กลัวโดนอุ้มหรือค่ะ

สนธิ- คือผมคิดว่ามันอยู่ในสายเลือดของวิชาชีพ แล้วผมเชื่อว่าทั้งเก๋และทั้งนุ้กก็เริ่มติดเชื้อนี้เข้ามาในตัวแล้ว ใครก็ตามไปอยู่ในองค์กรไหนก็ตาม เขาให้ดูหัว ถ้าหัวเหี้ยลูกน้องก็จะเหี้ยตาม แต่ถ้าหัวมีอุดมการณ์และปักหลักอย่างมั่นคงลูกน้องจะมีเหมือนกับเจ้านาย ก็เหมือนกับพ่อแม่เป็นอย่างไรลูกเป็นอย่างงั้น ถ้าเราเลี้ยงลูกเป็นยังไง โดยสันดานของเราเป็นยังไงลูกก็จะเป็นอย่างงั้นเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว โดยพื้นฐานแล้วมันไม่มันใช่เป็นนิสัยที่เราเพิ่งเป็น เก๋ต้องรู้ เป็นมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่เป็นเด็กๆ ตั้งแต่เรียนหนังสือผมเป็นคนเรียนโรงเรียนประจำอัสสัมชัญศรีราชา 1.เป็นคนรักพวก รักเพื่อน ถ้าเพื่อนโดนรังแกตัวเองจะเอาตัวเข้าไปแทน อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่งเก๋กับนุ้กมีความรู้สึกอยู่ที่นี้ว่าผมเป็นคนรักลูกน้อง ถ้าลูกน้องโดนรังแกก็ยอมไม่ได้ ผ่านมาจนกระทั่งอยู่ที่โรงเรียนประจำมันมีเรื่องมีราวกันแล้วก็ต้องหาคนรับผิดชอบไม่งั้นบราเดอร์ก็จะตีหมดเลยยกเข่ง ผมเองโผล่เข้าไปแล้วก็ยอมรับผิดชอบให้ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ผมเป็นคนก่อเรื่อง แต่ความรักเพื่อน พอมาทำวิชาชีพนี้ เรามีความรู้สึกว่าถ้าเราทำงานที่เรามีความรับผิดชอบแบบนี้และหน้าที่เรามีแบบนี้ ถ้าเราทำงานได้ไม่เต็มหน้าที่เราจะทำไม เหมือนตำรวจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสที่ชัดเจนสุดยอด พระองค์ท่านได้บอกว่าคนเราต้องรู้จักหน้าที่ตัวเองทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด นี้คือหลักธรรมขั้นสูงเลยนะ ใช้คำว่าสมมุติให้เป็น คำว่าสมมุติหมายความว่าทุกวันนี้คุณอยู่ในโลกนี้เป็นโลกแห่งสมมุติ วันนี้เก๋กับนุ้กเป็นพิธีกรของเอเอสทีวีนี้คือสมมุติที่เก๋ทำ เมื่อเป็นแล้วต้องทำหน้าที่ของพิธีกรให้ดีที่สุด คือ 1.ต้องไม่โกหก 2.ต้องมีความกล้าหาญในเรื่องที่ต้องพูด ถ้าเรื่องที่ต้องพูดเป็นธรรมเป็นความถูกต้อง และ 3.ต้องไม่มีวาระซ่อนเร้น นี่คือภารกิจ ฉันใดฉันนั้น ผมทำอาชีพนี้มาตั้งแต่สมัยกลับมาจากเมืองนอกแล้วทำเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยใหม่ๆ ช่วงประมาณ 14 ตุลาฯ ช่วงนั้นหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวที่เราสู้กับพวกเผด็จการ เราไม่กลัว แล้วตอนหลังพอเราพ้น 14 ตุลาฯ มาเราสู้กับกระทิงแดงถือเป็นหน่วยงานมวลชนที่รังแกประชาชนของ กอ.รมน.ทหาร เหมือนกับพรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพวกเสื้อแดงเหมือนกันฉันใดฉันนั้น คือไปข่มขู่คน สมัยนั้นยังจำได้เลยว่าหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเป็นหนังสือพิมพ์ที่ ผมทำมาผมจำได้ทำงานด้วยบนโต๊ะทำงานมีปืนพก 11 มม.วางอยู่บนโต๊ะพร้อมที่จะสู้กับมัน คือใจสู้มันเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นแล้ว และเด็กหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยแต่ละคนไม่ยอมคน เหมือนเก๋กับนุ้กทุกวันนี้ก็ไม่ยอมคนนะ พวกทหารที่มาประท้วงก็โดนพวกสาวๆ เราด่าซะเปิดเปิงจนกระทั่งเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ไม่กล้ามาอีก ฉันใดฉันนั้น ตรงนี้มันผ่านมาเรื่อยๆ ชื่อเสียงผมก็เลยกลายเป็นชื่อเสียงของคนที่ไม่ยอมความไม่ถูกต้อง เขาตั้งฉายาผมว่าเป็นพวกเผาแบงค์ 500 หาเหรียญสลึง

กรองทอง- เห็นภาพเลย

สนธิ- ใช่ไหม เป็นประเภทนั้น เพราะฉะนั้นแล้วสื่อมวลชนที่ผมทำมาตั้งแต่หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยมาเรื่อยๆ ในเครือของผมจนกระทั่งมาจนวันนี้ จะเป็นสื่อมวลชนที่หาโฆษณาไม่ค่อยได้ เพราะว่าเราไม่ยอมลู่ตามลม ผมยังจำได้เลยวันที่จะมีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พี่นัน คุณอนันต์ อนันตกูล ซึ่งผมรักและเคารพเหมือนพี่ชายแท้ๆ เลย อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ตอนเหตุการณ์คณะปฏิรูปการปกครอง ซึ่งรุ่น 5 พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปปฏิวัติรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็ปรากฏหนังสือพิมพ์ทุกฉบับไม่มีใครกล้าจะมาหือกับพวกนี้ มีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับเดียวที่สู้ตอนนั้น

กรองทอง- ค่ะ

สนธิ- จนกระทั่งวันหนึ่งพี่นันขอนัดกินกาแฟกันที่โรงแรมรีเจ้นท์ผมยังจำได้ สมัยก่อนโรงแรมโฟร์ซีซั่นคือโรงแรมรีเจ้นท์ พี่นันบอกสนธิพี่ได้รับคำขอร้องมาจากคุณตุ๋ย บิ๊กตุ๋ย พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี สนธิอย่าไปว่าเขามาก เขาบอกมีอะไรต้องการอะไรเขาพร้อมจะจัดให้ ผมก็บอกพี่นันบอกว่าพี่นันครับชีวิตผมไม่ลำบาก ผมมีเงินทองพอสมควร และผมไม่ได้มีอะไรกับรุ่น 5 ขออย่างเดียวถ้ารุ่น 5 มีหลักการ มีอุดมการณ์ มีความถูกต้อง ผมพร้อมสนับสนุน แต่ถ้ารุ่น 5 ยังเล่นพวกเล่นพ้องอยู่และปฏิวัติเพื่อตัวเองผมสู้ผมสู้ตลอดเวลา ก็เลยกลายเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวที่กล้าสู้ในขณะที่ฉบับอื่นถดถอยหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นของคุณสุทธิชัย หยุ่น หรือหนังสือพิมพ์มติชน มติชนวันนั้นเป็นหนังสือพิมพ์ที่ยืนข้างรุ่น 5 ขรรค์ชัย บุนปาน ยังเขียนบทความเลย ไล่คอลัมนิสต์ที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติของรุ่น 5 ออกไม่ให้เขียน ให้ทายคอลัมนิสต์ 2 คนนั้นคือใคร นิธิ เอียวศรีวงศ์กับเกษียร เตชะพีระ แล้วรู้ไหมว่าเกษียร เตชะพีระ มาเขียนให้ใคร มาเขียนให้ผู้จัดการ เพราะว่าไม่สามารถเขียนให้มติชนได้ เห็นหรือยัง

กรองทอง - ค่ะ

สนธิ- นี้คือตำนาน ซึ่งผมขี้เกียจเล่าให้ใครฟัง จนกระทั่งมีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มีการประท้วงที่ราชดำเนิน ไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนกล้าลงเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเขาสั่งมาเลยทั้งทีวีทุกช่องหนังสือพิมพ์ทุกฉบับห้ามรายงานข่าว มีพวกผมคนเดียว เพราะผมประชุมกอง บก.และคนซึ่งอยู่ในกอง บก.แล้วเป็นผู้ใหญ่ในกอง บก.ให้ทายใครคํานูณ สิทธิสมาน บอกว่าเอาไงเรื่องนี้ คํานูณบอกว่าแล้วแต่พี่ตัดสินใจ เพราะว่าหนังสือพิมพ์นี้พี่เป็นเจ้าของพี่เดินหน้าพี่ถอยหลังเรื่องของพี่ เรามีบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 2 บริษัทตอนนั้น มีทรัพย์สินเป็นพันพันล้าน เราต้องมาเสี่ยงให้มันปิดเราแล้วบริษัทเราเจ๊ง หรือเมื่อเรามองหน้าคำนูญ มองหน้าหลายๆ คนที่อยู่ในกอง บก.แล้ว เราย้อนไปสมัยที่เรายังหนุ่มอยู่ไฟแรง อุดมการณ์เข้มข้น ยืนอยู่บนความถูกต้องไม่ยอมความผิด เรามองเห็นตัวเรานั่งตาแป๋วแหววนั่งจ้องเราอยู่ เราเลยตัดสินใจบอกว่านูญสู้ ไม่ต้องกลัวลงข่าวเลย เราก็เลยไปทำข่าวการชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน พิมพ์เป็นหนังสือฉบับแท็บลอยด์ เขียนว่าขาย 10 บาท รายงานการชุมนุมหมดเลยทุกอย่างว่ามีการชุมนุมจริง สมัยนั้นไม่มีออนไลน์ไม่มีเฟซบุ๊กไม่มีบ้าบอคอแตกมีแต่โทรศัพท์มือถืออย่างเดียวเท่านั้นเอง ปรากฏว่าวันนั้น พี่สงค์ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประชุมกันหรือว่าปาถกฐาอยู่ที่โรงแรมดุสิตธานีไม่รู้เลยว่าราชดำเนินกำลังเข้มข้น ปรากฏว่าวันนั้นเราสั่งพิมพ์หนังสือ 200,000 เล่ม เราตั้งขาย 10 บาท จริงๆ เราไม่ขายเราแจกฟรีแจกหมดเลย ไปที่สีลมแจกหมด คนที่สีลมเขาถึงเรียกว่าม็อบมือถือไงตอนนั้น คนที่สีลมยังไม่เห็นเพิ่งจะเห็น ตายห่ามีการชุมนุมเหรอที่ราชดำเนิน เพิ่งรู้ ไปๆ ก็เลยขนคนไปกันใหญ่เลย ไปที่ราชดำเนินกันจนแน่น แล้วหลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เลยกลายเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไป และยังจำได้เลยตอนนั้นไปแน่น ผมก็ยังจำจนติดตา ไอ้คนที่ยืนอยู่ริมถนนแอบอยู่ยืนเชียร์อยู่ลับๆ ทายซิใครประชาธิปัตย์ เหมือนเดิม

กรองทอง- สันดานไม่เคยเปลี่ยน

สนธิ- เข้าใจหรือเปล่า สันดานเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้ามันจะโทษนะดอกทอง มันดอกทองมาตั้งแต่สาวล่ะ เข้าใจไหม ฉันใดฉันนั้นเห็นภาพหรือยัง แล้วตอนหลังก็สู้กัน ปรากฏว่าคืนนั้นรุ่น 5 ส่งทหารมาชุดหนึ่งทหารปืนใหญ่ ปตอ.มาเพื่อมาจับตัวผม

กรองทอง- ที่นี้หรือค่ะ

สนธิ- ที่ตัวออฟฟิศเก่าที่อยู่หลังวัดชนะสงครามที่เป็นเกสต์เฮ้าส์ตอนนี้ ออฟฟิศตอนนั้นอยู่ที่นั่น และมีอยู่ข้างๆ ไง ข้างๆ ผมนั่งอยู่ตรงนี้ ไอ้ใหญ่ ทรงธรรม อัลภาชน์ เป็นสารวัตรปราบปรามอยู่ที่ชนะสงคราม พี่ผมได้ข่าวไม่ดีมานะจะมีคนจะมาจัดการพี่ เราก็ไม่ได้คิดอะไรเผอิญโชคของเราดี มีอยู่วันหนึ่งเดินเข้ามาในออฟฟิศ นั่งเสร็จมีคนแก่คนหนึ่งประมาณ 60 ล่ะ แต่งตัวเหมือนทหารแต่นอกเครื่องแบบมากับเมียมาหาผม ผมก็ถามว่าเรื่องอะไร เขาบอกว่าเขาเป็นพ่อน้องมุก น้องมุกอดีตเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ จบปริญญาตรีแล้วก็ได้ทุนไปเรียนต่อที่ University of London ที่ SOAS - South East Asia และ Africa Study นะ ปรากฏว่าน้องมุกได้แต่ทุนและไม่มีค่าใช้จ่าย ค่าเครื่องบินก็ไม่มี ได้ทุนเฉพาะค่าเล่าเรียนและก็ค่ากินอยู่ แต่ค่าเครื่องบินไม่มีและพ่อเป็นจ่าทหารแก่ๆ ประทวน ทำงานกับเราก็เลยมาเล่าให้ฟังว่าได้ทุนและอาจไม่ไป ทำไมไม่ไป พ่อหนูไม่ตังค์ค่ะ โน่นนี่นั่น เราก็เลยออกเงินให้ค่าเครื่องบินให้แล้วก็ให้เงินติดกระเป๋าไปอีก ถ้าจำไม่ผิด 2,000 ปอนด์ ก็เลยเป็นบุญคุณกับมันเราไม่เคยคิดนะและจู่ๆ พ่อน้องมุกมา ท่านครับผมเป็นพ่อน้องมุก อ้าวมุกสบายดีเหรอ มีไรหรือเปล่า มีปัญหาหรือเปล่า ไม่ใช่ครับผมมาเรื่องท่าน ผมทำหน้าที่เสิร์ฟกาแฟอยู่ในที่ประชุมของผู้ใหญ่เขาที่กองทัพภาค 1 เขาประชุมแล้ว เขาจะฆ่าท่านครับ เขาจะมาฆ่าท่านคืนนี้

กรองทอง- บอกวันเวลาเลย

สนธิ- บอกวันเวลาเสร็จ ผมจำเป็นต้องมาเรียนให้ท่านทราบ เพราะว่าท่านมีบุญคุณกับครอบครัวผมมากและท่านเป็นคนดี ผมกลับและครับไปทันทีเลย ผมก็เลยลุกขึ้นซื้อตั๋วเครื่องบินไปลอนดอนคืนนั้นเลย และก่อนไปผมทำยังไง ก่อนไปผมเรียกประชุมพวกแกนนำที่กำลังสู้อยู่ที่ราชดำเนิน นั่งกันที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์คอฟฟี่ช็อป 2 คนในนั้น คนหนึ่งชื่อชัชวาลย์ ชัช เตาเผา อีกคนเป็นสามีของมาลีรัตน์ แก้วก่า ไอ้อ๋า

กรองทอง- พี่อ๋า

สนธิ- พี่ต้องไปแล้วนะ แล้วมันจะต้องปราบการชุมนุมที่ราชดำเนินแน่นอน เอ็งเอาไปเลยผมเขียนเช็คเปล่า เซ็นชื่อให้ชัช ชัชไปกรอกตัวเลขเอง เอาเงินนี้ไปสนับสนุน เก๋รู้ไหมข้าวทุกห่อทุกกล่องที่ราชดำเนินกินกันเงินผมทั้งนั้น เงินผมหมดเลยแล้วผมไปที่อังกฤษ ผมยังคิดว่าถ้าประชาชนแพ้แล้วรุ่น 5 คุมอยู่ผมจะดิ้นรนเพื่อตั้งรัฐบาลบ้านพระอาทิตย์ ปรากฏว่าหลังจากนั้นแล้วรุ่น 5 แพ้ เพราะฉะนั้นแล้วนิสัยและสันดานมีเรื่องกับทหารมีตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ 2535 ไม่ใช่ว่าเพิ่งมี 21 ปีที่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมีมาตลอดก็ไล่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งเราลงข่าวเรื่องเหล้าเสี่ยเจริญ ใช่ไหม เรื่องเหล้า เรื่องว่าเสี่ยเจริญทำโน่นทำนี่ โน่นนี่นั่น ทำไม่ถูก โกงภาษีอย่างโน่นอย่างนี่ ใครโทรหาผมรู้ไหมพี่แหลม พี่แหลมเป็นอดีตนายพลเอกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่เป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเกษียณล่ะ ทำงานกับเสี่ยเจริญ กินข้าวกันที่โรงแรม ปรินซ์ ธิ พี่แหลมมีไรเหรอพี่ ไอ้ห่าธิพี่กินเงินเดือนเจริญมัน แล้วไงพี่ก็ดีนี่พี่ใช่ไหม ก็ดีแล้วไงพี่เพราะว่าเกษียณอายุแล้วเงินจากเกษียณมาไม่พอเลี้ยงเมียน้อยพี่อยู่แล้วใช่ไหม เขาให้พี่เยอะ แล้วพี่มีอะไร พี่ต้องมาขอธิ เพราะธิกำลังวิพากษ์วิจารณ์เขามากเรื่องการหนีภาษีเหล้า เรื่องเหล้าแม่โขง ธิเห็นแกพี่หน่อยได้ไหม เพราะไม่งั้นแล้ว เขาจะเห็นว่าพี่ทำงานไม่คุ้มเงินเดือน

กรองทอง- ตกลงมันรับใช้ใช่ไหม

สนธิ- เดี๋ยวก่อนฟังก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วผมบอกพี่แหลมคงทำให้ไม่ได้หรอกพี่ ไอ้ห่าธิก็รู้ ตบโต๊ะแบบนี้นะ คนอย่างพี่คำไหนคำนั้นขอไม่ได้ไม่เป็นมิตรก็เป็นศัตรู ผมก็บอก ยม.พี่แหลม

กรองทอง- ยม. คือ

กมลพร- ยม.แปลว่า

สนธิ- ยม.เซ็ดสะแม่

กมลพร- โอเค ยม.

สนธิ- พี่แหลม พี่เห็นผมเป็นคนยังไงพี่ พี่เห็นผมเป็นคนยังไง ใช่ไหม พี่จะทำเหี้ยอะไรพี่ทำไปเลยเชิญพี่ตามสบาย มันทำจริงหลังจากนี้อีกอาทิตย์หนึ่งมันเอาทหารนอกราชการมา 10 คน มาพังออฟฟิศตรงข้างๆ ซอย แต่เผอิญมันปอดแหกมันไม่กล้าพังจริง มันเอาอะไรมาปารู้ไหมเอาขี้มาปาแล้วก็เอาก้อนหินมาปากระจกแตก 2 ล่ะ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสมัยยุคทักษิณที่วิพากษ์วิจารณ์และทักษิณส่งใครมารู้ไหม ตอนนั้นคนที่ออกมาปกป้องทักษิณ ชื่อ พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ซึ่งผมเรียกมันว่าไอ้พรุน มันมามันเอาทหารมาจำได้ไหม และผมยืนค้ำหัวมันอยู่ มันก็มายื่นจดหมาย 3 ล่ะ เราไม่เคยถอยเลยเรื่องหลักการไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม มาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาจนถึงยุคล่าสุดก็คือยุคของเก๋ที่เก๋มายืนด่ามัน ใช่ไหม

กมลพร- ออกมาต้อนรับพูดจาเพราะ

กรองทอง- ออกมาคุย

สนธิ- ทีนี้ปัญหาเราไม่เคยว่ากองทัพ แต่เราจะว่านายทหารซึ่งทำให้กองทัพเสีย พอเรามาถึงเรื่องของประวิตร วงษ์สุวรรณ พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อนุพงษ์ เผ่าจินดา ตอนนั้นเราได้ไหมวิพากษ์วิจารณ์หนัก คนที่วิพากษ์วิจารณ์หนักคือผม และผลหลังจากนั้นผมไม่รู้ใครทำ มันลงมือถึงขั้นยิงผมด้วยลูกปืน 200 นัด จำได้ไหม

กรองทอง- ค่ะ

สนธิ- และมาครั้งหลังเรื่องนี้ก็คือการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ถามว่าไม่กลัวเหรอ บอกไม่กลัวหรอก เพราะว่ามันผ่านความตายมาแล้ว ระหว่างกลัวอายตัวเองที่ไม่กล้าพูดความจริงกับกลัวตาย กลัวอายตัวเองมากว่า เพราะฉะนั้นแล้วไม่กลัวหรอกการถูกอุ้ม

กมลพร- ชัดว่าทำไมถึงไม่กลัว

กรองทอง- ก็คือเหมือนกับว่า คือเราทุกคนเกิดมาก็ต้องตายอยู่แล้ว

สนธิ- มันต้องตายคำถามคือ คือผมจำได้สมัยผมหนุ่มๆ เนี้ยะ มีข้าราชการสองคนที่เป็นตัวอย่างที่เฟอร์เฟ็กต์คนนึงชื่อ คุณสุธี อากาศฤกษ์ คุณสุธีนี่เป็นเลขาฯ ป.ป.ป.สมัยนั้นยังไม่มี ป.ป.ช. เป็นคนซื่อสัตย์มากนุก คุณยังเด็กคุณไม่รู้ คุณสุธีใส่เสื้อนอกนะถือกระเป๋า เป็นคนตรวจสอบทุจริตข้าราชการนะ ขึ้นรถเมล์ไม่มีรถยนต์ใช้ บ้านก็หลังเก่านิดเดียว และอีกคนชื่อหลวงอรรถสิทธิ์ สิทธิสุนทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นบิดาของอาจารย์เผด็จ สิทธิสุนทร ซึ่งอาจารย์เผด็จเป็นสามีของอาจารย์ธนพรรณ สิทธิสุนทร ผมจำได้แม่นหมดเลย เพราะท่านหลวงอรรถสิทธิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านเป็นคนที่ซื่อสัตย์ขนาดไม้บรรทัดยังกลัวเลย จน แต่งตัวธรรมดา สามัญที่สุด ทุกอย่างนี่ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ พี่เผด็จมีบ้านที่สุขุมวิท สะสมเงินซื้อมาสมัยราคายังถูกๆ สองคนนั้นผมไหว้ได้เต็มปาก ผมถึงบอกเมืองไทยขาดข้าราชการที่ซื่อสัตย์ แล้วก็เป็นข้าราชการที่ไม่ตกภายใต้อำนาจเงิน แต่เดี๋ยวนี้มันหาไม่ได้แล้ว กลายเป็นสปีชีส์ซึ่งหาไม่ได้จริงๆ หายากมาก ผมเลยมีความรู้สึกว่า เฮ้ยถ้าอย่างน้อยแล้วที่สุดอาชีพผมเนี้ยะ ผมควรจะซื่อสัตย์กับตัวเอง เพราะผมซื่อสัตย์กับตัวเองเท่ากับผมซื่อสัตย์กับสังคม เมื่อผมซื่อสัตย์กับสังคมเท่ากับผมซื่อสัตย์กับอาชีพผม และผมก็ภูมิใจในการเป็น

เพราะฉะนั้นแล้ว สื่อในเครือของผมมันจะเป็นสื่อที่ไม่มีโฆษณา หาเงินหาทองได้ยาก มันชอบพูดว่าผมทำหนังสือพิมพ์ทำสื่อแล้วเจ๊งทุกที ก็ถ้ากูหน้าด้านชอบเลียไข่เหมือนพวกมึง กูก็รวยไปแล้ว แต่เผอิญลิ้นกูไม่ได้ไว้เลียไข่คน

กรองทอง- แลกกันไม่ได้เงินกับศักดิ์ศรี

สนธิ- แต่ในที่สุดแล้วช่วงหลังก็ดิ้นจนกระทั่ง เก๋กับนุกก็อยู่ในช่วงที่ดิ้นรนกันมาตลอด จนกระทั่งวันนี้เราเริ่มดีขึ้นเพราะเครื่องทำน้ำด่าง แต่ก็ไม่รู้ถ้ายอดมันตกมาเราก็ต้องกลับไปลำบากอีก เราก็ต้องหาสินค้าเพื่อสุขภาพมาขาย สรุปทุกวันนี้ที่เราอยู่ได้เพราะประชาชนสนับสนุนเรานั่นล่ะ

กมลพร- องค์กรนี้ทำให้เราภูมิใจจริงๆ นะคะ เราไม่เคยก้มหัวให้ใครที่สตางค์

สนธิ- ไม่เคยๆ

กมลพร- คนมีอำนาจ นักการเมือง เก๋จำได้เลยเวลาไปงานที่จะต้องไปเจอพวกเนี้ยะ ถ้าเป็นคนอื่นก็สวัสดีค่ะท่าน เรานี่ยืนแบบไม่ไหว้ไม่จำเป็น คุณไม่ได้มีศักดิ์และสิทธิ์ให้เราไหว้ขนาดนั้น จนเขาต้องแบบสวัสดีครับ คุณกมลพร สบายดีไหม สบายดีค่ะ เราก็ตอบตามมารยาท เราก็ไม่ได้เสียมารยาทขนาดนั้น แต่คุณไม่มีศักดิ์และสิทธิ์พอที่จะให้เรายกมือไหว้

สนธิ- คือเราเนี้ยะต้องอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ

กมลพร- ใช่

สนธิ- เราต้องแข็งแรงแต่ไม่แข็งกร้าว

กรองทอง- แล้วคนเราเกิดมาตายครั้งเดียวเนอะ ทำหน้าที่ให้คุ้มค่าก่อนที่จะต้องตายดีกว่า

สนธิ- ถูกต้อง

กรองทอง- เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรือเปล่า วันนี้ต้องรีบพูดก่อน

กมลพร- ใช่รีบพูดไปก่อน งั้นไหนๆ พูดเรื่องของสายวิชาชีพขออนุญาตคำถามนี้เลย เพราะว่าคุณสนธิจะได้เล่าต่อไป มีคำถามของคุณลุงลุกบอกว่า อยากให้คุณสนธิเล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพ็อกเก็ตบุ๊กจากแท่นพิมพ์บล็อกมาใช้กระดาษปรู๊ฟมาใช้กระดาษปอนด์และพิมพ์สดใสอย่างทุกวันนี้ เพราะผมเคยได้ยินคนอื่นเขาเล่าให้ฟังว่า คนที่เป็นคนต้นคิด และเปลี่ยนแปลงคือคุณสนธิ จริงไหมคะ

สนธิ- ไม่ใช่ คนละประเด็น ผมเนี้ยะทำให้วงการพ็อกเก็ตบุ๊กเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ใช่เรื่องเทคนิคการพิมพ์ เทคนิคการพิมพ์มันวิวัฒนาการไปตามความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จากพิมพ์บล็อกมา พิมพ์สับอย่างเนี้ยะ เคยเห็นไหม กลายเป็นพิมพ์โดยใช้เพลต เพลตแล้วเครื่องมันก็หมุนอย่างนี้ ปุ๊บๆ แล้วกระดาษเข้าไปฟึ้บ ออกมาฟึ้บๆ แต่พิมพ์บล็อกก็คือว่า ถ้าสมมุติจะทำรูปของเก๋จะต้องเอารูปเก๋แล้วมาถ่ายลงในบล็อก แล้วแกะ และก็วางตรงแท่นอย่างเนี้ยะ และพอกดปุ่มพิมพ์แท่นมันก็จะตี กระดาษวางก็จะตีโป๊ะแล้วดึงกลับมา เข้าใจไหม ที่ผมมีการเปลี่ยนแปลงคือเรื่องของค่าตอบแทนทางเขียน สมัยนั้นผมเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทแอดวานซ์มีเดีย ผมจำได้ดี สมัยก่อนนักเขียนมันเขียนหนังสือเนี้ยะ ได้ราคาตามอารมณ์ของเถ้าแก่ อ่ะสมัยก่อนจะมีเถ้าแก่เจ้าของประพันธ์สาร เจ้าของประมวลสาร แถววังบูรพาไปดูสิสารทั้งหลาย จะมีอาเสี่ยคนนึงเจ้าของประพันธ์สาส์นชื่อ เสี่ยจิว เสี่ยจิวนี่เขาขาใหญ่ ใช่ไหม นักเขียนแต่ละคนที่มีชื่อไม่ว่าจะเป็นใคร คุณอาจินต์ ปัญจพรรค์เขียนเรื่องเหมืองแร่โน้นนี่นั่น มีชื่อหน่อยเฮียผมเขียนเรื่องนี้มาให้ เออ 5,000

กรองทอง- ไม่ได้มีเกณฑ์ เรตอะไร

สนธิ- 5,000 เอาไป 5,000 นักเขียนถึงไส้แห้งไง ด้วยเหตุนี้ไปส่งทีได้ 2,000 ได้ 3,000 ได้ 5,000 4,000 7,000 นักเขียนมันก็เลยรู้ว่า ทำให้ตายห่ามันก็ได้ 5,000 มันก็เลยปั่นต้นฉบับกันฉิบหายเลย เพื่อไปเอา 5,000 เพราะว่าให้มันเท่าไหร่ มันบอก 5,000 ใช่ไหม พอเรามาเริ่มทำพ็อกเก็ตบุ๊ก สิ่งแรกที่เราทำ เราก็บอกว่า ใครก็ตามเอาต้นฉบับมาขายเรา เราไม่กำหนดกี่พัน แต่ถ้าเราเห็นต้นฉบับนี้ดี เราจะตั้งราคาที่หักต้นทุนแล้วมีกำไร แล้วเราจะเอาราคาหน้าปกเนี้ยะ 10 เปอร์เซ็นต์ของราคาหน้าปก ถ้าหน้าปก 200 บาท 10 เปอร์เซ็นต์คือ 20 บาท และพิมพ์เท่าไหร่พิมพ์ 10,000 เล่ม ก็ได้ 2 แสนบาท 5,000 เล่ม ก็ได้แสนบาท ถ้ายอดน้อยพิมพ์ 2,000 เล่มก็ 40,000 บาท

กรองทอง- ให้ที่ยอดพิมพ์ไม่ได้ที่ยอดขาย

สนธิ- ยอดพิมพ์ เพราะว่าคนที่พิมพ์คนที่ขายต้องกำหนดสิว่า จะขายได้เท่าไหร่ แต่ว่าต้องมีเงื่อนไขข้อนึงซึ่งสำคัญมากคือ นักเขียนกับตัวผมต้องไว้ใจกัน หมายความว่าถ้าผมบอกพิมพ์ 7,000 คุณต้องเชื่อว่าพิมพ์ 7,000 และถ้าหมดผมพิมพ์ครั้งที่ 2 อีก ผมจะไม่โกหกคุณ ผมจะให้คุณไป เป็นจุดเริ่มต้นเลย แล้วคุณรู้ไหมว่า หนังสือเรื่องที่อะไรสมัยโน้นนานมาแล้ว 20 กว่าปีแล้ว ชื่อสิ้นชาติ เขียนโดยพินิจ พงษ์สวัสดิ์ เป็นหนังสือแปล เป็นหนังสือที่เหงียนเกากี เขาเขียน เหงียนเกากี อดีตเป็นรองประธานาธิบดีอยู่ที่เวียดนามใต้ แล้วพอเวียดนามแตก เหงียนเกากีก็ลี้ภัยอยู่อเมริกาก็เขียนหนังสือเล่มนี้มาชื่อ สิ้นชาติ แล้วก็มาแปล พินิจ พงษ์สวัสดิ์คือใคร คือพ่อของ มีนามสกุลพงษ์สวัสดิ์ที่เป็นอาจารย์อยู่จุฬาฯ

กรองทอง- พิชญ์

กมลพร- อ่อ อาจารย์พิชญ์

สนธิ- พิชญ์ พ่อเขาคือ พินิจ พงษ์สวัสดิ์ และส่วนนึงที่พิชญ์ได้เรียนหนังสือเพราะเงินหนังสือชื่อ สิ้นชาติ เพราะพิมพ์ประมาณตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แสนเล่ม

กรองทอง- อืม

สนธิ- แสนเล่มรู้สึกพินิจ พงษ์สวัสดิ์ จะได้ค่าลิขสิทธิ์ไปเกือบ 3 ล้านบาท 20 กว่าปีมาแล้ว 3 ล้านบาทน้อยที่ไหน พอข่าวนี้ออกปั๊บต้นฉบับจะวิ่งมาที่ผมหมดเลย มาให้เลือก ของพี่เนาว์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ผมเป็นคนเขียนชื่อ ขี่ม้าชมเมือง ตอนนั้นชื่อเสียงโด่งดังหมด ปรากฏว่าไอ้พวกประพันธ์สาร ประมวลสารทุกอย่าง ไม่มีใครไปขายต้นฉบับเลย เพราะเขาไม่ต้องการไปเจอ 2,000 3,000 5,000 มันก็มีการกินโต๊ะแชร์กันระหว่างพวกเถ้าแก่ เพราะว่าพวกเถ้าแก่จะเล่นแชร์กันไง ปรากฏว่า คือชื่อเสียงผมมีมานานแล้วนะ เรื่องคนด่าโคตรพ่อโคตรแม่ผม

กรองทอง- เมื่อกี้วงการสื่อใช่ไหม อันนี้มาวงการนักเขียนและ โดนทุกวงการ

สนธิ- โดยเสี่ยจิว ไอ้แม่...เนี้ยะ มันนี่นะทำราคาพวกเราเสียหมด มันด่าโอ้ยด่าเสียผู้เสียคนเลย แต่ในที่สุดมันต้องยอม ใช้ระบบเดียวกับผม เพราะไม่งั้นแล้ว

กมลพร- ต้นฉบับจะมาที่เรา

สนธิ- ต้นฉบับจะมาที่เรา ถูกต้อง แต่มันก็ยังไปโกงเขาต่อด้วยการมันพิมพ์ 5,000 แต่มันบอกพิมพ์ 3,000 เข้าใจไหม นึกออกไหม ทีนี้ต้นฉบับพวกนั้นบางอันเราไม่รับ เพราะมันไม่ดีพอ มันเลยไปหาไอ้เสี่ยบ้าพวกนั้น และทั้งที่รู้ว่าโดนโกงยอดพิมพ์จาก 5,000 เหลือ 3,000 ก็ต้องยอมให้โกง ก็ยังดีกว่าได้ 3,000 5,000 นั่นแหละจุดเปลี่ยนแปลงพ็อกเก็ตบุ๊กที่ผมทำ และก็มาจนทุกวันนี้ก็ใช้ระบบนี้นะไปดูได้ ผมเป็นคนแรกในวงการหนังสือที่ทำอย่างนี้

กมลพร- และในยุคของพี่ในช่วงสุดท้ายของเบรกนี้ มีอะไรอีกนิดนึง และในยุคของพี่ก็เป็นคนแรกอีกเหมือนกันที่ปรับฐานเงินเดือน ไอ้ 15,000 ที่เขาใช้กันยุคนี้นะ เพราะเมื่อก่อนนักข่าว หรือคนที่สมัครทำนักข่าวเนี้ยะ เงินเดือนน้อย น้อยมากจริงๆ ที่นี่แหละที่รู้สึกคุณสนธิจะปรับเป็น 15,000

สนธิ- ผมปรับมาตั้งแต่แรกคือที่นี่จะเป็นที่จ้างคนแพงที่สุด สูงกว่าอัตราคนอื่น จนคนอื่นด่า แล้วก็ปรับตาม เหตุผลเพราะอะไรรู้ไหม ผมทำหนังสือพิมพ์มาเนี้ยะ ผมเคยเจอประสบการณ์อันเลวร้าย ผมรู้จักผู้ใหญ่ 2-3 คนที่เขามีลูกจบมา สนธิน้อง ให้หลานไปเรียนต่อเถอะ บอกอ้าวพี่มันชอบหนังสือพิมพ์ไม่ใช่หรอสมัยนั้น แหมสนธิ อาชีพขีดเขียนเงินเดือนมันกี่พันบาทเอง ใช่ไหม ผมก็เลยมีความรู้สึกว่า คนเราถ้าทำอาชีพสื่อที่ต้องการให้คนเคารพในศักดิ์ศรีของตัวเองเนี้ยะ แต่เงินเดือนตัวเองยังมีไม่ครบศักดิ์ศรีของตัวเอง แล้วไปทำได้ไงวะ ผมก็เลยเป็นคนแรกที่ปรับ สำนักอื่น หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นปรับตาย และผมก็เป็นเป้าถูก

กรองทอง- ด่าอีก

สนธิ- ด่าอีกเหมือนเดิม

กมลพร- ย ม

สนธิ- ย ม เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นแล้วไม่ใช่เรื่องแรก และผมขนาดไม่มีเงิน ไอ้เด็กที่นี่ต้องรู้นะ เวลาเสนอปรับเงินเดือนทีไรผมไม่ค้างมันนะ ผมจะปรับให้อยู่เรื่อย ผมเสียดายอย่างผมไม่รวย ถ้าผมรวยจริงไอ้พวกที่อยู่นี่มันสบายไปมากกว่านี้เยอะแล้ว

กรองทอง- เราก็เชื่ออย่างนั้น

กมลพร- เราก็เชื่ออย่างนั้น

กรองทอง- ค่ะ เราต้องพักกันก่อนนะคะ เดี๋ยวช่วงหน้ายังมีอีกหลายคำถามที่คุณผู้ชมฝากเอาไว้นะคะ พักกันก่อนสักครู่ค่ะ

ช่วงที่ 2

กมลพร- กลับมาที่นี่ไม่มีการเมืองคุยทุกเรื่องกับสนธิเราตอบหมดค่ะ

กรองทอง- ใช่ค่ะ เมื่อสักครู่นี้แค่เบรกแรกนะคะ ครอบคลุมไปหลายวงการไปเหมือนกันแล้วนะคะ

กมลพร- อย่างน้อยๆ เรารู้ว่า ย ม แปลว่าอะไร

กรองทอง- ถูกค่ะ เราจะไม่หันไปถามอีกมันคืออะไรคะ อะไรอย่างนี้ มาที่คำถามที่คุณผู้ชมฝากมาละกัน คำถามนี้ขอให้เวลากับรายละเอียดในเรื่องนิดนึง เพราะมีหลายประเด็นมาก ทั้งเรื่องของชีวิตคู่ ครอบครัว เศรษฐกิจ อะไรอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน

กมลพร- ทำธุรกิจ

กรองทอง- ใช่ค่ะ เริ่มที่คำถามนี้เลยละกันนะคะ คือพี่เขาบอกว่า ไม่อยากให้เอ่ยชื่อ ผมกับแฟนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยของรัฐทั้งคู่ เรารู้จักกันมาราว 7 ปีจึงแต่งงาน แฟนผมคบกับผมตั้งแต่ยังไม่มีฐานะอะไรเลย เพราะตอนจบใหม่ๆ ตัวของคุณผู้ชายกินเงินเดือนเพียงแค่ 6,000 บาท ของแฟนหมื่นกว่าบาท เรียกว่า ลำบากมาด้วยกันจนเวลาผ่านไป 4 ปี ผมมีรายได้จากค่าจ้างเกินแสนบาทต่อเดือน ส่วนแฟนก็มีรายได้จากค่าจ้างราว 60,000 บาทต่อเดือน

จนกระทั่งในปีที่ 7 ที่สิ้นสุดของการทำงานประจำของผม ผมคิดว่าต้องการที่จะประกอบธุรกิจ จึงขอลาออกจากงานประจำ และแต่งงานกับแฟน ผมบุกเบิกธุรกิจด้วยความตั้งใจ อดทน สู้ไม่ถอย ครึ่งปีแรกเงินที่เก็บสะสมมาแทบหมดตัว ขาดทุนยับเยิน ส่วนแฟนของผมยังทำงานประจำก็คอยดูแลค่าใช้จ่ายแทน เฉพาะในช่วงนั้น แต่ปกติผมจะไม่ไปยุ่งกับเงินของแฟนเลย และจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนเดียว ผมสู้ยิบตาจนผ่านปีแรก ได้ผลออกมาคือเสมอตัว

สิ้นปีที่ 2 มีกำไรสามารถไปเปิดสาขาได้ จึงปรึกษากับแฟนว่า ให้แฟนทำงานประจำพร้อมกับดูแลสาขาแรก พร้อมกับลูกน้องด้วยได้ไหม เพราะธุรกิจค่อนข้างไปได้ด้วยดี ถ้าผมทำสาขาใหม่สำเร็จจะได้ให้แฟนออกจากงานประจำ และออกมาทำเต็มตัว แฟนก็ตอบว่าทำได้แน่นอน ผมจึงเดินทางไปไกลไปเปิดสาขาอีกจังหวัด ผลที่ออกมาคือ สาขาใหม่เจริญรุ่งเรือง แต่ปรากฏว่าสาขาแรกที่ให้แฟนดูแลเนี้ยะพินาศย่อยยับ เนื่องจากว่าแฟนละเลยการควบคุมสินค้า สินค้าหมออายุบ้าง สูญหายจำนวนมาก ขาดทุนหลายล้านบาท ทั้งๆ ที่ผมคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด แต่แฟนไม่ใส่ใจที่จะปฏิบัติตาม แล้วแฟนของผมก็แก้ปัญหาด้วยการ จ้างเหล่าบรรดาญาติผู้ใหญ่ของแฟนมาช่วยคุม แต่กลับทำให้ลูกน้องเก่าออกจากงานจนหมด ยอดขายก็ยับเยิน ค่าใช้จ่ายก็ยังไม่หยุด รวมถึงต้องจ่ายเงินเดือนให้ญาติผู้ใหญ่ของแฟนทุกเดือนด้วย ผมจะปิดสาขาแรก แต่ว่าแฟนขอร้องเอาไว้ ขอเวลาแก้ไข 10 เดือน

ถึงวันนี้ผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้ว ไม่มีอะไรดีขึ้น ผมต้องส่งเงินและสินค้าเข้าไปอุดทุกเดือน โดยที่แฟนยังคงใช้เงินรายได้จากงานประจำหมดเกลี้ยง ไม่เคยเหลือมาช่วยกิจการเลย แถมออกแนวไม่พอใช้ด้วยซ้ำ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ตเบิกกับผมทั้งหมด พ่อแม่ของแฟนก็ไม่มีรายได้อื่น นอกจากเงินเดือนที่ผมให้แฟนส่งไปให้ญาติผู้ใหญ่ของแฟน ก็ไม่มีรายได้อื่น เนื่องจากเกษียณแล้ว แต่มีรายได้เนื่องจากเงินเดือนที่ผมช่วยกิจการของผม และจากเงินเดือนญาติที่แฟนอนุมัติจากผม ญาติแฟนกิน 2 เงินเดือนนะคะ

ล่าสุดแฟนบอกให้ผมปิดสาขาแรก และให้เลิกกัน พร้อมกับที่แฟนจะผ่อนชดใช้ค่าเสียหายให้ราว 5 ล้านบาท เนื่องจากแฟนของผมถูกผมตำหนิมาโดยตลอด เนื่องจากการละเลยกิจการทั้งๆ ที่ทำได้ ไม่ยอมตรวจสต๊อก ไม่ยอมตรวจวันหมดอายุ ไม่ดูแลอะไรเลย และหลายครั้งผมรู้สึกได้ว่า ผมสำคัญน้อยกว่าสุนัขของเธออีก เพราะเธอดูแลสุนัขของเธอเหมือนลูก (คือเรายังไม่มีลูกด้วยกัน) แต่แทบไม่ดูแลผมเลย ตั้งแต่เราแต่งงานกันมา ญาติพี่น้องรวมถึงน้องสาวแฟนที่กำลังเรียนปริญญาก็ประกบแฟนผมอย่างหนาแน่น น้องชายแฟนเงินเดือนหมื่นกว่าบาท แต่สามารถออกรถเก๋งป้ายแดงได้ แม่ยายมีเงินก่อสร้างห้องเช่าในบริเวณบ้านของแม่ยาย โดยบอกว่าน้องชายของแฟนออกค่าใช้จ่ายให้ เรื่องอื่นผมไม่อยากรับรู้ ผมไม่ต้องการเค้นความจริง เพราะเกรงว่าจะรับไม่ได้

ล่าสุดเวลา 4 ทุ่มกว่าผมโทรไปคุยเรื่องธุรกิจของเรา แต่แฟนของผมบอกว่า ไม่อยากคุย และขอตัวไปเม้าท์กับเพื่อนที่ทำงานที่กำลังสังสรรค์กันอยู่ ทั้งๆ ที่เม้าท์กันมาตลอดตั้งแต่เช้า ผมถึงกับทรุด ญาติผู้ใหญ่ทางผมส่ายหัว เวลาผ่านมาหลายเดือนแฟนของผมก็พยายามโทรมาง้อว่า ขอย้ายสาขาไปที่จังหวัดอื่น แล้วจะลาออกมาลุยธุรกิจแบบเต็มตัว ผมก็ตอบไปว่า คงต้องเป็นเช่นนั้น แต่ผมไม่ค่อยเชื่อ ทุกวันนี้ผมได้แต่คิดถึงวันเก่าๆ ที่ผ่านมากว่าสิบปี แต่รู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม ผมควรเลิกกับแฟนไหมครับ ผมเล่ามายาว แต่รบกวนคุณสนธิตอบสั้นๆ ไม่อยากให้เอ่ยชื่อผม เพราะผมอายเกรงคนรู้จักจะหัวเราะ ที่ต้องมาตายน้ำตื้นครับ

สนธิ- ก็ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ เราต้องทำความเข้าใจในกติกาการตอบ กติกาข้อแรกการจะตอบคำถามนี้ ตอบบนพื้นฐานที่เราเชื่อว่า สิ่งที่พูดมานี่เป็นความจริง เพราะว่าเรารู้เรื่องจากคนๆ นี้ คนเดียว

กรองทอง- ฝ่ายเดียว

สนธิ- ฝ่ายเดียว สมมุติว่าจริงละกัน โดยตั้งพื้นฐานตรงนี้ ถ้าสมมุติว่าจริงคุณคนที่มีปัญหาแล้วถามมาเนี้ยะ ต้องถือว่าเป็นคนที่มีจิตใจประเสริฐ คือเขามีคำพูดคำนึงว่า เขาไม่อยากจะรู้ แสดงว่าเขารู้ว่าแฟนเอาเงินในธุรกิจที่ทำเนี้ยะ เอาไปอุดหนุนจุนเจือและปรนเปรอให้กับญาติพี่น้องเขา พ่อแม่ น้องชาย อันนี้เขารู้ แต่เขาบอกเขาไม่อยากรู้ เขากลัวเดี๋ยวมันจะเป็นความเจ็บปวด แต่อันนี้ก็ต้องเป็นเรื่องที่ระวังนิดนึง มีความอ่อนไหวสูง เพราะว่าคนเราถ้ารักกัน ผู้ชายคนนึงถ้ากันตั้งแต่ไม่มีฐานะแน่นอนที่สุดครับ เขาต้องถือว่าเขามีฐานะแล้ว เขามีสาขานึงซึ่งเขาบอกอยู่ต่างจังหวัดทำกำไรได้มาก เขาเลยให้แฟนเขามาช่วยดู ตัวสาขาแรก และเขาก็รู้ว่าแฟนเอาเงินไปให้พี่น้องเขา

คำถามต้องมีอยู่ว่า เขายอมรับได้ไหมล่ะ ที่แฟนเขาจะต้องไปดูแลพ่อแม่ น้องชาย ญาติผู้ใหญ่ ถ้าเขายอมรับตรงนี้ได้ เขาต้องหาโอกาสมาคุยกับแฟนเขา ว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าที่รู้เนี้ยะ มันจะต้องแบ่งออกเป็นอะไรบ้าง ให้แฟนเขายอมรับข้อเท็จจริงทางธุรกิจเสียก่อน ว่าธุรกิจมันมีกำไรมีขาดทุน ถ้าขาดทุน ขาดทุนเพราะอะไร การบอกว่าไม่อยากจะรับทราบความจริงเนี้ยะ มันพูดเหมือนกับเป็นความขัดแย้งในทฤษฎีที่ว่า เขาเป็นนักธุรกิจที่เก่ง เพราะถ้าเป็นคนที่ธุรกิจที่เก่งต้องสร้างความจริงก่อน เพราะถ้าไม่รู้ความจริงจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ถ้ารู้ว่าค่าใช้จ่ายแบบนี้ พนักงานแบบนี้มากเกินไป ให้เงินเดือนญาติผู้ใหญ่ ญาติผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ทำงาน มีส่วนช่วยอะไรที่ทำให้บริษัทดีขึ้น เอาเงินให้แม่ทุกเดือน ไม่เป็นไรเลี้ยงแม่เดือนละเท่าไหร่ว่าไป และให้เงินแม่ไปสร้างห้องโน้นห้องนี่ เอาเงินจากบริษัทไป มันควรจะเป็นเงินยืม หรือเป็นเงินซึ่งยกให้ไปเลย หรือเป็นเงินที่จะต้องมีกำไรสิ้นปีเพื่อปันผลเอาเงินไปทำ ของพวกนี้ต้องพูดกัน การที่ไม่พูดกันกลัวว่าจะเฮิร์ต การที่คุณไม่พูดชีวิตคุณก็จะเฮิร์ตต่อไปเรื่อยๆ แล้วพอมันมาถึงแล้วก็จะมาถึงเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้ว เช่น บอกว่าเขาดูแลหมาได้ดีกว่าดูแลผม ผมไม่อยากจะคิดเลยเถิด แต่ถ้าจะให้ผมพูดลึกซึ้งลงไป มีปัญหาเรื่องเซ็กซ์กันหรือเปล่า นั่นคืออันหนึ่งที่ผมต้องถาม เพราะยังไม่มีลูก แล้วคุณรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรผมไม่รู้ แฟนคุณรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรผมไม่รู้

เรื่องหน้าตาเรื่องบุคลิก เรื่องตัวตนของผู้ชาย ผู้หญิง มันเป็นองค์ประกอบสำคัญในการจะตัดสินใจเรื่องชีวิตคู่ได้ นอกจากเรื่องเงินทองแล้ว เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ และกามารมณ์ เซ็กซ์ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งเหมือนกันที่เกี่ยวข้องกันมาตลอดใช่ไหม เพราะฉะนั้นแล้วตรงนี้ ข้อมูลตรงนี้ไม่มี พูดมากไม่ได้ ตัดสินจากข้อมูลที่มีปัจจุบันนี้ผมว่าเลิกไปดีกว่า เพราะว่าคุณท่าทางจริงใจและมุ่งมั่นกับการธุรกิจมาก แล้วถ้าคุณยังไม่พร้อมที่จะไปคุยกับแฟนคุณ ดูตัวเลขที่แท้จริงว่ามันเป็นอย่างไรแน่นอน ให้ญาติไปเท่าไหร่ ให้พี่น้องไปเท่าไหร่ ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะไปดูตรงนั้น คุณเลิกไปดีกว่า แล้วคุณไปทำอะไรของคุณเอง โดยที่คุณไม่ต้องมีแฟนเข้ามาเกี่ยวข้อง คุณพูดเหมือนกับคุณน้อยใจ ว่าแฟนคุณไม่ดูแลคุณ ดูแลหมายังดีกว่า แต่ลักษณะที่คุณยังบอกว่าคุณยินดีให้แฟนคุณแก้ตัวด้วยการที่จะมาลาออกจากงาน เข้ามาทำงาน ทุ่มเต็มตัวแต่คุณบอกว่าคุณไม่เชื่อ แสดงว่าลึกๆคุณก็ยังรักเขาอยู่ เรื่องนี้คุณต้องตัดสินใจให้ดีๆ เก๋เข้าใจใช่ไหม มันมีหลายมิติ ต้องดูแต่ละมิติให้ดี มิติความสัมพันธ์ว่า เขาดูแลหมามากกว่าดูแลผม เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ เรื่องของกามารมณ์ เรื่องเซ็กซ์มีส่วนเกี่ยวข้องไหม อันนี้ต้องถามให้ดีๆ ต้องตอบให้ได้ แฟนคุณอาจจะไม่พอใจเซ็กซ์คุณก็ได้ เขาอาจจะคิดว่าคุณไม่มีน้ำยาบนเตียง เวลามีเซ็กซ์แล้วเขาไม่มีความสุข หรือเขาอาจจะไปมีชู้ก็ได้ ใครจะไปรู้ เราไม่รู้แน่ เพราะฉะนั้นแล้วปัญหามันสลับซับซ้อน แต่เอาเฉพาะปัญหาพื้นฐานที่คุณเล่ามา ผมว่าคุณจะมีชีวิตที่สบายใจมากกว่าเก่า คือเลิกไปเลย จบ

กมลพร- งั้นใกล้เคียงกันค่ะ แต่ว่าไม่ใช่เรื่องนี้แล้ว เป็นเรื่องทีอ่ยากจะหารายได้ เนื่องจากว่าอยู่บ้านเลี้ยงภรรยา

คุณเฉลิมพล เพชรมุข บอกว่า ขอคำแนะนำคุณสนธิ คือผมต้องเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน ส่วนภรรยาทำงาน เหตุผลที่ภรรยาเป็นฝ่ายทำงานเพราะว่า ภรรยามีรายได้มากกว่า ส่วนตัวไม่อยากเอาลูกไปฝากเลี้ยง แต่ทีนี้ผมเองก็ไม่มีรายได้เข้ามาช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว อยากมีรายได้ คิดจะขายของทาง คิดจะขายของทางอินเตอร์เน็ตจะดีไหม หรือทำอะไรให้มีรายได้เข้ามาเลี้ยงลูกด้วย ช่วยแนะนำหน่อยครับ

สนธิ- คุณยอมรับมาแต่ต้นแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเงินเดือนคุณน้อยกว่าเมียคุณ สรุปคุณยอมรับโดยพื้นฐานว่า เมียคุณต้องเลี้ยงคุณ แล้วคุณไปคิดอะไรมากมาย คำถามคือคุณเลี้ยงลูกดี สมบูรณ์แบบหรือยัง เพราะถ้ามองในมุมกลับ เมียคุณเป็นนายจ้างคุณนะ เขาจ้างให้คุณมาดูแลลูกนะ แล้วเขาก็ใช้คุณเป็นเซ็กซ์ทอย เวลาเขามีอารมณ์ขึ้นมา คุณก็บริการทางเพศให้เขา แล้วสิ้นเดือนเขาก็ซื้อกับข้าวเข้ามา สิ้นเดือนเขาจ่ายเงินเดือนให้คุณ คุณต้องยอมรับว่าคุณไม่ใช่สามี คุณเป็น 1.เซ็กซ์ทอย 2.คุณเป็นคนใช้เขาที่เลี้ยงลูก แต่ปัญหาคือว่า เขาอาจจะมองว่า เธอไปทำงานทำไมข้างนอกเงินเดือนแค่นี้ไม่มีประโยชน์ สู้ใช้เวลาอยู่กับลูกดีกว่า อุปมาอุปไมยเหมือนกลับเพศกัน ผู้ชายเยอะเลยเดี๋ยวนี้ที่เงินเดือนสูงแล้วก็บอกเมียเงินแค่หมื่นกว่าเกือบ 2 หมื่น แล้วผัวเงินเดือนแสนกว่าบาท มีลูกกันแล้วบอกนี่เธอลาออกดีกว่า อย่าไปทำงานเลย อยู่บ้านเลี้ยงลูก ฉันใดฉันนั้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก

กรองทอง- มันจะทำให้ความเป็นตัวตนของผู้ชาย ที่ต้องรู้สึกว่าเป็นผู้นำ

สนธิ- ก็คุณหมดไปแล้วไง ตั้งแต่แรกเริ่ม ไปคิดอะไรมาก แต่ถ้าคุณต้องการมีอาชีพ เหมือนกับผู้หญิงซึ่งเป็นแม่บ้าน แล้วสามีให้ลาออกจากงาน แล้วอยากจะมีอาชีพเก็บเอาไว้ เผื่อที่วันหนึ่งสามีทิ้งจะได้ยืนได้

มันจะมีผู้หญิงกับผู้ชายประเภทหนึ่ง ซึ่งเงินเดือนใกล้กัน ผู้หญิงก็อาจจะกำลังเติบโตในหน้าที่การงาน สามีก็กำลังเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน พอมีลูก สามีบอก ที่รักเธอลาออกเถอะ ผู้หญิงก็เลยทิ้งอาชีพไป แล้วก็มาเป็นซิ้มโบ๊ะอยู่ในบ้าน เช็ดบ้าน ทำกับข้าว หุงข้าว เลี้ยงลูก พอเวลาผ่านไปสัก 5-10 ปี อีผู้ชายก็รู้สึกกลายเป็นผู้จัดการใหญ่ กรรมการผู้จัดการ เงินเดือนหลายแสนบ้าน อีนี่ก็กลายเป็นซิ้มโบ๊ะเหมือนเดิม

กรองทอง- ร่างพังไปแล้ว

สนธิ- ทุกอย่าง อ้วนขึ้น ตูดใหญ่ ลงพุง ในที่สุดอีผัวก็ไปมีเมียน้อย พอมีเสร็จเรียบร้อย มาอาละวาดก็เลิกกัน พอเลิกกันอีนี่ก็บอก แหม กูรู้งี้อาชีพกูหมดไป ถ้ากูยังมีอาชีพอยู่ อย่างน้อยที่สุดมึงเลิกกับกูกูก็ยังมีอะไรทำอยู่ แต่นี่เป็นลักษณะผู้หญิง ผมไม่รู้ว่าผู้ชายที่เขียนจดหมายมาทำใจได้หรือเปล่าเรื่องแบบนี้ เขาต้องคิด เขาจะคิดว่าเมียเขาจะทิ้งเขาหรือเปล่าล่ะ แต่ผมคิดว่าผู้หญิงที่ไปทำงานโอกาสที่เขาจะทิ้งสามีที่เลี้ยงลูกด้วยนี่คงจะไม่มี น้อยกว่า

กมลพร- งั้นผู้หญิงก็ไม่ควรจะออกจากงาน

สนธิ- ไม่ควร

กรองทอง- แล้วบางคนเขาก็มองว่า ก็ใช้เวลาเลี้ยงลูกดีกว่า อะไรอย่างนี้ สำคัญกว่า เพราะว่าเด็กตั้งแต่แรกเกิด เหมือนกับเป็นพื้นฐานชีวิตเด็กเลย

สนธิ- ก็เนื่องจากผู้หญิงให้ผู้ชายลาออกมาเพื่อเลี้ยงลุกเขาก็เห็นความสำคัญแล้ว ว่าลูกควรที่จะอยู่กับพ่อ หรืออยู่กับแม่ ในเมื่อแม่เป็นเสาหลักในการหาเงิน พ่อควรจะเลี้ยงลูก ก็จบ เท่านั้นเอง ก็ต้องทำใจไป เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนเลยในเรื่องนี้ เพียงแต่คนที่เลี้ยงลูก เลี้ยงไปเลี้ยงมาแล้ว ตัวเองสับสน เริ่มฟุ้งซ่าน เฮ้ย ตายแล้ว คุณค่าตัวเองอยู่ที่ไหน
คือถ้าจะทำงานพิเศษก็ควรเป็นอาชีพที่ทำอยู่ที่บ้าน การขายของผ่านอินเตอร์เน็ตก็โอเค ก็ได้ แต่คำถามคือว่าคุณจะเอาของที่ไหนมาขาย คุณก็ต้องออกไปตะลอนเอาของมาขาย ก็เหมือนทำงานอีก แต่ถ้าจะทำให้ดี คุณกลัวเรื่องพวกนี้ คุณก็บอกว่า ที่รัก ขอเงินพิเศษเพิ่มอีกเดือนละหมื่นได้ไหม เอาไว้เก็บ เผื่อวันหนึ่งที่รักทิ้งผมไป

กรองทอง- อันนี้ใช้ได้ทั้งผู้หญิง ผู้ชายไหมคะ กรณีที่ผู้หญิงอยู่บ้าน

สนธิ- คือมันจะมีอย่างนี้ ผู้ชายบางคนกับผู้หญิงบางคน ผู้หญิงบางคนถึงอยู่บ้านก็เด็ดขาด ผัวทำงานได้เงินเท่าไหร่ เอามาไว้ที่ฉันหมด อีกประเภท ประเภทที่เรียกว่า ค่าใช้จ่ายเธอเดือนละเท่าไหร่ อ้าวนี่ ค่ากับข้าวเดือนละเท่านี้ ค่าโน้นนี่นั่นเอาไป เดือนละ 2-3 หมื่น ก็ใช้อยู่ในวงเงินนี้ก็แล้วกัน ไอ้อย่างนี้มันขึ้นอยู่กับว่าผู้หญิงกล้าพูดหรือเปล่า

วิธีที่ผมแนะนำให้ดีที่สุด อาจจะต้องโกหกผู้ชาย ต้องบอกเดี๋ยวนี้ของมันแพง จริงๆเขาให้มา 3 หมื่น อาจจะเหลือเดือนละ 5,000 ก็บอกว่าไม่พอต้องขออีกหมื่นหนึ่ง ก็กลายเป็นเก็บเดือนละ 15,000 บาท ก็เก็บไปเรื่อยๆ

กมลพร- ดีๆ เอาไว้ใช้ อันนี้ต้องเป็นปัญหาหัวใจแน่เลยค่ะ น้องเมเม บอกว่าอยากรู้เรื่องหลักการมองคนครับ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนแบบไหนจริงใจ แบบไหนเสเเสร้ง คือหมายถึงรู้ก่อนที่จะเกิดผลลัพธ์หรือว่าทุกอย่างต้องไปรอกูที่ผลลัพธ์

สนธิ- พูดถึงผู้ชายดูผู้หญิงใช่ไหม จะรู้ได้อย่างไร ผมมีนิทานเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นคำตอบให้น้องเมเมได้เลยนะครับ มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่นับถือพระเจ้ามาก สวดมนต์เช้าเย็น ก่อนนอนก็สวด ก่อนจะทานอาหารก็ระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเดินเล่นอยู่ชายหาด พระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏตัว บอกว่า สูเจ้าซื่อสัตย์ต่อข้ามาก ไม่เคยทรยศหักหลัง จริงจังจริงใจ เดี๋ยวข้าจะให้รางวัลสูเจ้า นี่ก็บอกว่า ข้าพเจ้า ทำงานอยู่ในเมือง ขับรถไปรถติดมากเลย ข้าพเจ้าขก ทางด่วนพิเศษให้พระผู้เป็นเจ้าสร้างให้หน่อย จากบ้านข้าพเจ้าตัดทะเลไปเลย วิ่งเข้าไป พระพุทธเจ้าบอกว่า สูเจ้าขอมันมากไป มันทำลายสิ่งแวดล้อม มันจะทำให้ตอ้งปักเสาคอนกรีตเข้าไปในทะเล มันจะทำให้แพลงตอน พวกโซ่อาหารของปลามันจะหมดไป แล้วมันจะทำให้วิสัยทัศน์ไม่ดี สูเจ้าขอเรื่องใหม่ดีกว่า

คนนี้เลยบอกว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทำไมเวลาข้าพเจ้าคบผู้หญิง ทำไมข้าพเจ้าอ่านใจเขาไม่ออกเลย ทำไมเวลาเขาโกรธ โกรธโดยไม่มีเหตุผล ทำไมเวลาเขาดีใจ เขาดีใจชั่วครู่ชั่วยาม และทำไมเวลาข้าพเจ้าจะจับตัวเขาบางวันเขาก็ให้จับ บางวันเขาก็ไม่ให้จับ ข้าพเจ้าอยากให้พระผู้เป็นเจ้า ประทานพรให้ข้าพเจ้าสามารถจะเข้าใจผู้หญิงได้ พระผู้เป็นเจ้าบอกว่า สูเจ้าต้องการถนนที่ต้องการกี่เลน เดี๋ยวจะให้เลย แม้กระทั่งพระผู้เป็นเจ้ายังไม่รู้เลย จิตใจผู้หญิงเป็นอย่างไร แล้วมาถามอะไรผมเมเม

กรองทอง- ฟังมาซะยาว ให้ถนนง่ายกว่า ค่ะ มาที่เรื่องอาหารการกินหน่อยไหมคะ แสดงว่าคนนี้จะเป็นคนที่ชอบหาของอร่อยทาน คุณฟองฟอดบอกว่า

สนธิ- ชื่ออะไรนะ

กรองทอง- ฟองฟอด

กมลพร- แต่ละคน

กรองทอง- มีชื่อเต็มด้วยนะ คุณฟองฟอด ส่องตลอดบ้าน้ำลาย บอกว่าอยากได้ความรู้เรื่องก๋วยจั๊บ ที่ไหนอร่อย ดั้งเดิมเลย

สนธิ- มันก็มีก๋วยจั๊บน้ำใส ตรงเยาวราช จำได้ไหม มันมีหลายร้าน แต่ก่วยจั๊บน้ำใสที่เยาวราชมันเผ็ด จะหนักพริกไทย อันนี้ผมขอผ่านดีกว่า มันคือวิธีการ ผมคิดว่าอย่างนี้ วิธีการลอง มันมีหนังสืออยู่หลายเล่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือที่ธนาคารกรุงเทพเขาทำขึ้นมา เป็นหนังสือซึ่งอธิบายร้านอาหารที่อ่ยู่ในเยาวราช และสำเพ็ง อาหารพวกก๋วยจั๊บ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปล าพวกนี้พื้นฐานจุดเเริ่มต้นมันจะอยู่ที่ไชน่าทาวน์ ไปหาหนังสือเล่มนั้นดูดีกว่า เพราะถ้าจะบอกร้านนี้อร่อย ร้านโน้นอร่อย ผมพูดไม่ได้ ผมอาจจะพูดได้เหมือนกัน แต่ว่ามันกระทบแน่นอน ไม่ดี ผมว่าไปหาอย่างนั้นอ่านดีกว่า

กรองทอง - หรือไม่ก็ถามอีกคน เฮียบุ๊ง จะเป็นคนรวบรวมร้านอร่อยมาให้เรา

กมลพร- อันนี้คุณสนธิต้องตอบได้แน่นอนเลย คุณเครือวัลย์ โรเบิร์ตแรบบิต เพราะว่าจริงๆ บ้านพระอาทิตย์ที่เราอยู่ตรงนี้ ก็มีปัญหาละม้ายคล้ายกัน คุณเครือวัลย์ถามคุณสนธิว่า หมาข้างบ้านเห่าเสียงดังทั้งคืนเลยค่ะ กลางวันปล่อยออกมาอึตามถนนแถวบ้าน จัดการอย่างไรดีคะ บ้านติดกัน ย้ายหนีก็ไม่ได้ หมาเห่าทั้งคืนก็ถามคุณสนธิ

กรองทอง- แล้วมีกลางวันด้วยนะ บางวันก็ปล่อยมาอึตามถนนในหมู่บ้านด้วย จะให้จัดการอย่างไรดีคะ

สนธิ- ผมไม่ทราบว่าคุณเครือวัลย์ได้พูดกับเจ้าของหมาหรือเปล่า วิธีหนึ่งคือใช้เพื่อนบ้านเป็นตัวกดดัน ถ้าคุณเครือวัลย์เจอหมาแบบนี้จริงๆเป็นอย่างนี้จริงแสดงว่าเพื่อนบ้านก็เดือดร้อนเหมือนกัน ฉะนั้นแล้วต้องคุยกับเพื่อนบ้านทุกคน แล้วก็ร่างจดหมายถึงเจ้าของหมา แล้วให้เพื่อนบ้านที่อยู่รอบบ้านนั้นให้เขามีความรู้สึกว่าทุกคนมีความรังเกียจเขา แต่ถ้าเขายังไม่สนใจ ไม่ทำอะไร วิธีการหนึ่งซึ่งเป็นวิธีการที่ดีพอสมควร หมาขี้ที่ไหน เยี่ยวที่ไหนของเขา มันจะขี้และเยี่ยวที่ประจำ เอาพริกไทยไปโรย โรยเยอะๆเลย เพราะก่อนมันจะขี้มันต้องดมก่อน มันจะทำเสียงฟึดฟัดเข้าใจไหม

กรองทอง- จากนั้นหมาจะกดดันเจ้าของเอง

สนธิ- หมาก็จะวิ่งเข้าไปขี้ในบ้าน

กรองทอง- มาเรื่องนี้หน่อยนะ ดูจะเข้ากับเรื่องฮอร์โมนวัยว้าวุ่น

กมลพร- คนยังติดใจวันศุกร์อยู่

กรองทอง- ใช่ค่ะ คุณปราโมทย์เลยถามว่า อยากทราบชีวิตช่วงวัยรุ่น ยุคคุณสนธิ กับวัยรุ่นปัจจุบัน ต่างกันมากไหม อยากทราบวิธีแก้ปัญหาเรื่องวัยรุ่นตีกันตามโรงเรียนด้วย แก้อย่างไร

สนธิ- นี่คุณจะเอาตอบรายการนี้เลยเหรอ คือวัยรุ่นแต่ละยุค มันแปรเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อมของสังคม สิ่งแวดล้อมของสังคมที่สำคัญที่สุดต่อพฤติกรรมของวัยรุ่นนั้น คือสื่อมวลชน ภาพยนตร์ สิ่งหนึ่งซึ่งประเทศทางตะวันตก สามารถจะเผยแพร่อิทธิพลทางตะวันตกออกมาได้รวดเร็วแล้วทำให้คนที่อยู่นอกเขตตะวันตกยอมรับอิทธิพลเขา ยอมรับวัฒนธรรมเขา เขาใช้สื่อที่สำคัญที่สุดของเขาคือภาพยนตร์ ฮอลลีวูดเป็นตัวการเลย เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง พอหมดจากฮอลลีวูดแล้ว มายุคสมัยใหม่มันกลายเป็นเฟซบุ๊ก มันจะกลายเป็นทีวีซีรีส์ มันจะกลายเป็นโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม มันจะกลายเป็นเว็บไซต์ ของพวกนี้มันเป็นการเพิ่มพลานุภาพ ทางอำนาจที่อ่อนโยนเข้ามา ที่เขาเรียกว่า Soft Power เดี๋ยวเตือนผมพูดเรื่อง Soft Power ของญี่ปุ่นด้วย ผมจะอธิบายให้ฟัง

สมัยหนึ่ง สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ผม หรือสมัยรุ่นผม ไม่เห็นมีใครส่งเสริมว่าต้องกินนม ทำไมพอมาพ่อแม่ยุคหลังถึงให้ลูกกินนม เพราะว่าฮอลลีวูดมันสร้างภาพให้เห็นว่า เด็กยุคใหม่ต้องสูง นมต้องโต และอะไรที่ทำให้สูง และนมโตได้ นม เพราะว่าการโปรโมทสินค้าทางนม ทางฮอลลีวูดมันโปรโมทสินค้าทางนมมาเพื่อบอกว่ากินแล้วเด็กจะโตเร็ว สูงเร็ว เพิ่มแคลเซียมให้กระดูก มันก็ตรงกับหนังฮอลลีวูดที่พระเอกตัวสูง นางเอกนมโต เข้าใจหรือยัง นางแบบตัวสูง ของพวกนี้พอออกมาเรื่อยๆมันก็เลยกินใจ อีแหววเพิ่งเกิดมาดูท่าทางมันจะดำ เตี้ยนะ พ่อๆ ให้มันกินนมเด้อ มันจะได้ตัวสูงๆ ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ หรือ วิวัฒนาการคุณรู้ไหมน้ำมันพืช ถั่วเหลือง ฝรั่งมันหลอกเราหมดเลย เพราะเดิมที คนไทยใช้น้ำมันอะไร น้ำมันหมู และน้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าวรักษาได้หมดทุกอย่าง เช้าๆคุณตื่นมา เริ่มทำได้เลย จำเอาไว้นะ ไปลองทำดู ตื่นมาตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 ช้อนโต๊ะ เทน้ำมันมะพร้าวไปอมใส่ปาก กุกกักๆ อย่าไปกลืน 15-20 นาที พอครบ เวลาคุณบ้วนออกมามันจะกลายเป็นฟอง มันจะฆ่าแบคทีเรียในปากออกหมดเลย แล้วน้ำมันมะพร้าวเวลากินเข้าไปมันจะเร่งเผาผลาญร่างกาย น้ำมันหมูเขาบอก ฝรั่งมันหลอก บอก เห็นไหมน้ำมันพวกนี้มีไขมัน น้ำมันหมูพอเจออากาศเย็นเข้ามาจะแข็ง มันต้องน้ำมันพืช ดูสิ เข้าไปในตู้เย็นก็ไม่แข็ง แต่ว่ามันลืมไปว่า มันจงใจเพื่อหลอกเรา ว่าน้ำพืชเวลากินเข้าไปมันไปเคลือบกระเพาะแล้วมันไม่สลายไปกับพลังงาน มันสะสมอยู่ในร่างกายเรา

เหตุผลเพราะมันต้องการจะขายน้ำมันพืชออกมา มันขายเครื่องจักรออกมา เหมือนมันขายนม เข้าใจหรือยังตอนนี้ นี่คือ Soft Power เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า Soft Power มีอิทธิพลสูง ทำไมสมัยก่อนถึงมี Rockefeller Foundation ทุนมูลนิธิ Rockefeller คนที่ได้ทุนภูมิใจมาก ไอ้วินัยลูกชายผมมันได้ทุน Rockefeller ไม่ธรรมดานะ นี่คือวิธีการที่เอาลูกของเราไปปลูกฝังความคิดทางตะวันตก ให้มันคิดแบบฝรั่งเข้าใจเปล่า ทุนโน้นนี่ไปหมด นั่นคือวิธีการ พอกลับมา คนพวกนี้ไปไหนได้ ก็คิดแบบฝรั่ง กลายเป็นผู้นำไปอีก เหมือนตอนนี้ เก๋สังเกตไหมว่า ทำไมญี่ปุ่นถึงให้วีซ่า

กมลพร - ให้วีซ่า

สนธิ - ให้วีซ่า แล้วไม่ได้ให้ทุกคนนะ ให้เฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนให้ไทยก่อน แล้วจะต่อไปที่มาเลเซีย แล้วต่อไปที่เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เพราะทำไม เพราะญี่ปุ่นต้องการใช้ Soft Power ไปคานอิทธิพลจีน ตอนนี้คนไทยหรือคนพวกนี้จะไปประเทศจีนต้องขอวีซ่า และขอยากมากทุกวันนี้ เรื่องมาก แล้วโดยพื้นฐาน เก๋เคยไปญี่ปุ่นไหม

กมลพร - ไม่เคย

สนธิ- ไม่เคย ใครที่เคยไปญี่ปุ่น หรือจีน จะเห็นได้ชัดว่า เมื่อเปรียบเทียบสองแห่งแล้ว คนจะชอบญี่ปุ่นมากกว่า 1 สะอาด 2 เป็นระบบ 3 มีกติกาชัดเจน 4 ที่สำคัญ อาหารอร่อย คนจะชอบมาก ไปญี่ปุ่นกับไปจีน คนจะชอบญี่ปุ่นมากกว่า ทีนี้ Soft Power ที่อยู่คือต้องการให้ประชากรของอาเซียนไปเที่ยวญี่ปุ่นเยอะๆ ไปสัมผัสคุณภาพของเขา ไปสัมผัสระบบเขา ไปสัมผัสโน้นนี่นั่น และคนไปญี่ปุ่นจะมีอยู่ไม่น้อยเลย เกือบทั้งหมดก็เคยไปจีน ก็จะเปรียบเทียบกันได้แล้ว เขาจะมีความรู้สึกชื่นชมญี่ปุ่นมากกว่าจีน และอย่างนี้คือ Soft Power

กรองทอง - ค่อยๆ รับ ซึมซับ แล้วขยายต่อ

กมลพร- อีกอัน ช่วงเบรกแรก คุณสนธิน่าจะตอบได้นะคะ มีคุณครูชุลีพร ชินสิริ บอกว่า ดิฉันอายุ 55 ปี แล้ว อยากปรึกษาเรื่องการขอยื่นวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกา เพื่อนบอกว่าต้องมีเงินสดในบัญชี 1 ล้านบาท เพื่อค้ำประกันวีซ่า จึงจะผ่าน จริงไหมคะ ดิฉันอยากได้วีซ่าท่องเที่ยว ไปเยี่ยมญาติที่รัฐเทกซัส หากคุณสนธิมีรายละเอียดและวิธีการ ช่วยแนะนำดิฉันหน่อย ดิฉันเป็นข้าราชการบำนาญอยู่ จ.กาฬสินธุ์ และเป็นแฟนพันธุ์แท้ ASTV มาตลอด รับข่าวมือถือเดือนละ 400 บาท และบริจาคเล็กๆ น้อยๆ ตามแรงที่มี

สนธิ- คือผม คิดว่าคุณเป็นข้าราชการบำนาญแล้ว อายุ 55 และคุณไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่นั่น คุณมีเพื่อน และคุณเพียงแต่ว่าเอาจดหมายเพื่อนมาว่า อยากจะเจอ ไม่ได้เจอกันนานแล้ว มาเที่ยว มาเยี่ยมบ้าง มาเจอกัน ผมคิดว่า การขอวีซ่าเพื่อไปเยี่ยมเพื่อน และพื้นฐานคุณไม่ใช่เด็กวัยรุ่น ไม่ใช่สาว เจ้าหน้าที่วีซ่าเขาจะมองว่าคุณไม่ได้ไปปักหลักแน่นอน และคุณ 55 คุณจะไปปักหลักกับใคร นอกจากคุณมีลูกชายอยู่ที่นั่น แต่ถ้าคุณมีลูกชาย เขาก็ขอใบเขียวให้คุณได้อยู่แล้ว นอกจากคุณมีญาติสนิท มีญาติพี่น้อง แต่ถ้าคุณเป็นเพื่อนไม่ได้เจอกัน เขาก็ระวัง แต่ถ้ามีจดหมายเพื่อนมาชี้ชัดเจนว่า ต้องการไปเที่ยว เพื่อไปเยี่ยมเฉยๆ และคุณเคยมีอาชีพการงานที่ดี เคยเป็นครู คุณมีใบรับรองมา คุณเป็นครู และคุณเกษียณแล้ว และคุณมีหลักฐานว่า คุณมีบ้านอยู่ บ้านเป็นของคุณเรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องมีเงินสดล้านเลย ไม่จำเป็น ขอได้ เป็นวีซ่าท่องเที่ยวธรรมดา

กมลพร - ได้เวลาพักกันซักครู่นะคะ แล้วช่วงหน้ายังมีอีก บางคำถามที่น่าสนใจรออยู่คะ ซักครู่คะ

ช่วงที่ 3

กมลพร - กลับมาช่วงสุดท้ายนะคะ มาเก็บตกประเด็นคำถามอื่นๆ เอาที่เรื่องเศรษฐกิจ ธุรกิจกันก่อนนะคะ คุณธวัชชัย ถามมาว่า การค้าขาย ถ้าจำเป็นต้องจ่ายใต้โต๊ะเพื่อให้ได้งาน อย่างนี้ถือว่าบาป หรือผิดไหมครับ

สนธิ- จริงๆ แล้ว มันก็ไม่ควรนะ เพียงแต่ว่ามันเป็นข้อเท็จจริงในสังคม ว่าถ้าคุณไม่จ่าย คุณก็ไม่ได้งาน มันเป็นความไม่สบายของสังคม แต่ว่า ถ้าพูดไปแล้วทุกสังคมมีเหมือนกันหมด แต่วิธีจ่ายไม่เหมือนกัน ในสหรัฐอเมริกา การที่จะได้งาน มันก็สู้กันที่คุณภาพจริงๆ คุณภาพมาก่อน ถ้าใครคุณภาพดีกว่า และราคาถูกกว่า ถึงไม่จ่ายใต้โต๊ะ โอกาสได้งานก็สูง การจ่ายใต้โต๊ะเป็นการลักษณะพาไปเลี้ยงข้าวมากกว่า เลี้ยงข้าว ซื้อของให้ เช่น รู้ว่ามีไอ้คนที่ให้งานเรามา แต่ส่วนใหญ่แล้ว ฝรั่งจะพาไปเลี้ยงข้าวบ้าง ทำความรู้จักกัน คือฝรั่งเขาจะในเรื่องของ connect เช่นว่ารู้จักกันแล้ว ได้คุยกัน คุยกันนอกรอบ ก่อนจะไปเสนอกันในรอบ คุยกันบอกนี่ ผมมีเรื่องนี้มานะ จะเอาเพื่อน ก็พาแนะนำมาให้รู้จัก ถามว่าคุยกันนอกรอบถือว่าเป็นการคอร์รัปชันไหม เพราะการคุยนอกรอบเรามีการกินข้าวกินปลา มีการเลี้ยงสเต็ก เลี้ยงนู่นเลี้ยงนี่ ก็ต้องถือว่าเป็นการเสียเงินเสียทองให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ ถามว่าทำกันเยอะไหม ทุกประเทศทำกันเยอะมาก

เมืองไทยนี่นะ ผมจะบอกให้รู้ เมืองไทยวิธีการจ่ายเงินใต้โต๊ะ ที่เขาเอาขึ้นมาบนโต๊ะที่ชัดเจนเลย คือที่ไหนบ้าง กรมที่ดิน ไปดูใบเสร็จที่เขาออกมาเลย ค่าโอนที่เท่าโน้น ค่านี่เท่านี้ และยังมีค่าบริการ เขาใส่เลย

กมลพร- เขียนเลยค่าบริการ

สนธิ - เขาไม่แคร์ เพราะว่าแต่ละโต๊ะ พอของไปที่โต๊ะ โต๊ะนั้นจะได้ 50 บาทต่อชิ้น จะรีบทำทันที และส่งต่อ เพราะเมืองไทย ลักษณะข้าราชการไทยต้องการทำให้มันสับสน ซับซ้อน เยอะๆ จะได้กินได้ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ชัดว่า ทั้งศุลกากร ทั้งกรมที่ดิน หรือไรทำนองนี้ ไอ้ประเภทที่เป็นดิจิตอล ที่เป็นจากต้น A-Z ทันทีเลย ที่ไม่วุ่นวายนี่ มันไม่ทำ เข้าใจยัง

กรองทอง - มันให้เราเดินวนไปเรื่อยๆ

สนธิ- มันเดินวน เพราะแต่จะจุดที่มันวน มันได้เงินทุกคนไง นึกออกไหม เหมือนกับอะไรรู้ไหม เหมือนกับ ตม.ที่แถวลาว หรือแถวเขมร ยื่นพาสปอร์ตไป สอดไปด้วย 50 บาท 50 บาทวันนึง มีคนผ่านประมาณซักพันคน เข้าใจยัง ไม่ต้องกินเยอะ กินเล็กๆ น้อยๆ เขาเรียก มันลึกเข้าไปในดีเอ็นเอของคนไทยแล้ว ลึกเข้าไปจริงๆ นะ ไม่ได้พูดเล่น

กรองทอง - มันลึกขนาดว่า จ่ายเงินเพื่อความสะดวกมากขึ้นนี่ เป็นปกติอย่างนี้

สนธิ- อันนี้จริง เป็นความสะดวก จ่ายเพื่อความสะดวกจริงๆ เลย

กมลพร - และถ้าในแง่ว่า มันผิดไหม มันบาปไหม

สนธิ- ไอ้เรื่องบาปนี่ ผมคิดว่า ไม่ถึงขั้นบาปหรอก มันเป็นการสมรู้ร่วมคิดกัน เป็นเพียงแต่ว่า อาจเป็นบาปเล็กๆ ไม่ใช่บาปใหญ่ ไม่ได้ไปฆ่าคนตาย

กรองทอง- เป็นลหุโทษเหรอคะ

สนธิ- เป็นลหุโทษ

กมลพร- มีอีกท่านหนึ่ง เรื่องของความเชื่อ ศาสนากันบ้างนะคะ เขาขอปรึกษาคุณสนธิ เพราะเขายังสับสนกับคุณแม่เขาอยู่ คุณชัยสิทธิ์ ขอถามคุณสนธิเรื่องฮวงซุ้ยหน่อยครับ คือผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ตระกูลเตีย คือตอนนี้ค่อนข้างสับสนว่า จะทำพิธีแบบคนจีน หรือว่าฝัง หรือจะทำพิธีแบบคนไทยคือ ลอยอังคารดี สาเหตุเพราะว่า 1 สมัยนี้ค่าหลุมแต่ละที่แพงมาก เป็นหลักแสน 2 พ่อกับแม่ผมเขาเป็นห่วงว่า ถ้าทำไม่ดี หรือไม่ถูกทิศทางลม มันจะส่งผลต่อลูกหลาน เพราะที่้บ้านเชื่อเรื่องนี้พอสมควร จึงอยากถามว่า มีความจำเป็นไหมครับที่เราต้องทำพิธีฝังแบบคนจีน และถ้าเป็นคุณสนธิคิดว่า จะทำพิธีแบบไทย หรือจีนครับ ส่วนพ่อกับแม่ เขาลงความเห็นว่าเขาจะทำพิธีแบบคนไทย แต่ผมเองส่วนตัวลึกๆ ลังเลมาก

สนธิ- พ่อกับแม่จะทำพิธีแบบคนไทย

กมลพร - คือลอยอังคาร

สนธิ- พ่อกับแม่ แล้วเมื่อกี้มีถามผมว่า พ่อกับแม่ ถ้าฝังไม่ดี ทิศทางไม่ดี

กมลพร- จะมีผลกับลูกหลาน เขาจึงอยากให้ลอยอังคาร

กรองทอง - เลยตัดปัญหาไปเลย

สนธิ- อ๋อ คือๆ งี้ เราต้องเข้าใจในหลักธรรมก่อน ในข้อเท็จจริง ตัวเรานี่ มันไม่ใช่ตัวกูของกู ของใครก็ไม่รู้ ที่เป็นของเราจริงๆ คือจิตเรา สมมติว่าเรา สมัยผมบวชนี่ ผมโดนแมงป่องต่อย ปวดมากเลย ต่อยตรงขานี่ หลวงพ่อญาท่านเดินมา ท่านจับหัวบอก สนธิ กำหนดจิตดีๆ ตั้งใจ แยกจิตออกจากกาย นี่มันคือกาย อย่าไปรู้สึกมัน จิตแยกมาเลย ในช่วง 10 วินาที 20 วินาที ผมทำได้ ผมไม่รู้สึกปวดเลย แสดงว่า ร่างกายไม่ใช่ของเรา ถ้าร่างกายเป็นของเรา มันจะแก่เฒ่าไหม ไม่แก่เฒ่า ถูกไหมถูก เพราะร่างกายมันเป็นขันธ์ 5 พอเกิดมาก็เป็นเด็ก สาวมาหน่อยก็เต่งตึง วัยกลางคนเริ่มเหี่ยว แก่ลงก็เริ่มย่น ในที่สุดก็ตายไป แต่พอตายไป จิตตายด้วยไหม ไม่ตาย จิตก็ไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ควรจะไป จิตที่ดีก็ขึ้นไปในที่ๆ ดี จิตไม่ดี ก็ลงไปข้างล่าง

เพราะฉะนั้น ในเมื่อกายไม่ใช่ของเราแล้ว เวลาคนตาย จิตออกไปตั้งนานแล้ว เข้าใจยัง จิตออกไปนานแล้ว เมื่อจิตออกไปนานแล้ว ก็เผาซิ อังคารจะลอยก็ได้ ไม่ลอยก็ได้ จะเก็บไว้ในโถก็ได้ ทุกวันนี้ผมยังเก็บอังคารพ่อไว้ในโถเลย วางไว้ในห้องพระ จบ

กรองทอง- แต่คนจีนนี่ ฮวงซุ้ยเขา

สนธิ- แต่คนจีนเขาเชื่อในเรื่องฮวงซุ้ย ว่า วันจะต้องศพของบรรพบุรุษ จะต้องวางเอาไว้ หลังชนภูเขา ข้างหน้าต้องมีน้ำ มีหัวมังกรอยู่ที่นี่ หางมังกรอยู่ที่นี่ หนวดมังกรอยู่ที่นี่ วางให้ถูกหลักแล้วจะส่งผลให้ลูกหลานร่ำรวย อันนี้ก็เป็นความเชื่ออันหนึ่ง คำถามก็มีอย่างนี้ ว่าถ้าอย่างนั้นแล้ว คนจีน คนไทยเชื้อจีนที่ร่ำรวยเจริญเติบโต ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือมีเงินมีทองเยอะแยะไปหมด ผมก็เจอหลายคนที่เขาไม่ได้ฝังไว้ในฮวงซุ้ย ก็เผาทั้งนั้น และจะมีคำตอบได้ไง เอาที่สะดวกดีกว่า

กรองทอง - มาที่เรื่องเพลง เรื่องบันเทิงบ้างนะคะ คุณแจ๊สถามว่า มีเพลงคลาสสิคชุดไหนที่แนะนำให้ฟังบ้างครับ

สนธิ- เอ น่าจะถามไอ้ต่อของผมนะ แต่จริงๆ ผมคิดว่า ฟังโมซาร์ทดีที่สุด โมซาร์ต เป็นเพลงที่น่าฟังมาก แต่ถ้าจะฟังให้มันสนุกสนานก็น่าจะเป็น ซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเบโทเฟน อันนั้นก็ได้อารมณ์

กรองทอง- หรือไม่ถ้าถามคุณต่อพงษ์ คุณต่อพงษ์ต้องให้ไปซื้อหนังสือ

สนธิ- ซื้อหนังสือ

กมลพร- และแถมซีดีเลย

สนธิ- แถมซีดี คุณต่อพงษ์เป็นคนขาย

กมลพร- เสร็จแล้ว พร้อมมีลูกได้เลย

กรองทอง- เชลโล่ ก็เป็นหน้าปกอยู่ตอนนี้

สนธิ- จริงๆ น่าซื้อหนังสือคุณต่อพงษ์ เรื่องเพลงคลาสสิค เพราะเขาอธิบายเรื่องวิธีการฟังเพลงคลาสสิคให้เข้าใจได้ดีมาก

กมลพร- มีคุณศุภกรณ์ ถามว่า อยากทราบการปฏิบัติธรรมของคุณสนธิในแต่ละวันว่า ทำอะไรบ้าง เพราะดูคุณสนธิเปลี่ยนไปมาก ใจเย็น และดูมีความสุข

สนธิ - ทุกวันนี้ เอาเป็นว่า ผม ส่วนใหญ่ผมจะตื่นประมาณตีสี่ครึ่งถึงตีห้า ผมมีเวลา 1 ชั่วโมง ที่จะทำเรื่องส่วนตัว ก็นั่งอมน้ำมะพร้าว กินเข้าไป 15-20 นาที แล้วหยอดตา กินน้ำดื่มน้ำด่าง 3-4 ถ้วย ทานกาแฟถ้วยหนึ่ง และก็อ่านหนังสือพิมพ์ที่มาตอนเช้า โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ เสร็จเรียบร้อยค่อยเข้าห้องน้ำ คือ เช้าๆ เป็นเวลาที่ไม่ควรเร่งรีบ ผมเลยใช้เวลาประมาณชั่วโมงหนึ่ง แต่ถ้าผมเร่งรีบ ผมก็ทำได้ไม่เกิน 10 นาที และผมจะมาถึงที่ทำงาน ประมาณ 6 โมงเช้า 6 โมง 15 ผมจะไหว้พระตามที่ต่างๆ และผมเข้าห้องพระใหญ่ และผมก็จุดธูปจุดเทียน และผมก็นั่งสวดมนต์ประมาณ 1 ชั่วโมง พอสวดมนต์เสร็จแล้ว ผมจะนั่งสมาธิประมาณ 20 นาที และจบ เสร็จแล้วตอนกลางคืนกลับไปถึงบ้าน ทานข้าวเย็นเสร็จ ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยทานข้าวเย็น พอพระอาทิตย์ตกเย็นผมก็จะสวดมนต์ เหมือนกับที่ทำที่ออฟฟิศ ในห้องพระผมอยู่ในห้องทำงานเลย พอสวดเสร็จเรียบร้อย ภาวนาเสร็จเรียบร้อย นั่งสมาธิเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอถึงประมาณ 3 ทุ่มครึ่งถึง 4 ทุ่ม หัวโขกพื้นแล้ว มันง่วง ก็นอน จบ เป็นชีวิตที่ธรรมดามาก แต่เป็นชีวิตที่มีความสุขและสงบ

กรองทอง- มีอีกคำถามคะ อยากขอคำแนะนำจากคุณสนธิ จะจัดการอย่างไรดีกับพวกที่ชอบยืมเงิน ยืม 2-3 ครั้งก็โอเค ไม่เป็นไร แต่นี่เล่นยืมทุกเดือนเลยจะทำอย่างไรดีคะ

สนธิ- ผมคิดว่าเป็นปัญหา

กรองทอง - โชคดีนะเราไม่เจออย่างนั้นนะ เพราะไม่มี

สนธิ- คือไม่ใช่ มันเป็นปัญหาที่โง่มากนะ และคุณไม่ควรถามปัญหานี้เลย ผมไม่รู้ คือผมจะตอบก็สงสารคุณนะ ว่าทำไมคุณถึงโง่อย่างนี้ คุณไม่พอใจก็ไม่ต้องให้เขายืมซิ ก็จบ ไม่ยาก ผมจะบอกให้รู้ ชีวิตผมนี่ผ่านมาโดนยืมเงินมามาก จนกระทั่ง ผมไม่ให้เขายืมนะ แต่ผมจะให้เขา เพราะผมรู้ว่ายืมแล้วไม่ได้คืน ยืมแล้วถ้าให้ยืมไป ต้องทะเลาะกันเพราะเขาไม่ได้คืนให้เรา และเวลาคนเดือดร้อน เวลายืมนี่ สัญญา ถ้ามันสัญญาจะเหาะให้เราดู มันก็จะเหาะให้ดู แต่ขอให้มันยืมเงินก่อน เข้าใจยัง

เพราะฉะนั้น นับประสาอะไรกับที่มันบอกว่า เดือนหน้าคืนแน่นอน ใครก็ตาม ที่บอกว่าผมเดือดร้อน ช็อตช่วงสั้นๆ แค่ 15 วัน หรือ 1 เดือน รับรองว่า ไอ้ที่พูดอย่างนี้ ไม่คืนแน่นอน เพราะฉะนั้น ผมจะดูสถานภาพตัวผมเอง สมมติผมเงินเดือน 30,000 - 40,000 บาท มีคนมายืมหมื่นบาท นี่มัน 25% ของเงินเดือนผมนะ ผมว่ามันเยอะไปนะ แต่ว่ามันเป็นเพื่อนรักผม และผมรู้ว่าเงินที่มันยืมไปนี่ มันต้องดูเจตนารมณ์ของการยืมด้วย ยืมไป ผมก็รู้ว่ามันเอาไปทำเรื่องไร้สาระ ไปเที่ยวผู้หญิง เข้าผับ นู้นนี่นั่น ผมจะบอกว่า เฮ้ย ไอ้ห่า กูไม่มีเว้ย เอางี้ ควักเลย มึงเอาไปพันนึง เอาไปเลย ให้เลย เสีย 10% ของยอดหมื่นนึง เอาไปเลย จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน เพราะบางคน ผมเคยเจอเพื่อนผมสมัยหนึ่ง มันมายืมผม ด้วยเหตุผลที่ว่า พ่อมันตาย ต้องเผาพ่อ บอกกูไม่มีเงินเลย กูจนมากช่วงนี้ ธุรกิจกูพังทลายหมด กู ไอ้โต ผมชื่อเล่นชื่อโต เห็นแก่พ่อวะ บวกค่างานศพเบ็ดเสร็จทั้งหมด กูคิดว่าคงแสนนึง เอาไป เอาไปเลย หลังจากนั้นอีก 5 ปี เจอมัน พ่อมันตายอีก นี่เรื่องจริง

กรองทอง - มีพ่อหลายคน

สนธิ- ไม่ใช่ คนมันเดือดร้อนเงิน มันจะอ้าง แม้กระทั่งพ่อแม่มัน ตายแล้วตายอีก โดยที่มันลืมว่ามันเคยพูดกับเรา คือมันคงไปพูดทุกคนว่า พ่อมันตาย หลายคน มันคงมาทีละแสน ทีละแสน

กรองทอง - ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นลุง เป็นแม่ อะไรบ้าง

สนธิ- คือหนักแน่นกว่า โอย พ่อทั้งที มนุษย์เราเกิดมานี่ กว่าจะตายต้องเสียค่าโง่หน่อย ไม่มีใครไม่เสียค่าโง่ ขอให้เชื่อผม

กมลพร- งั้นขอคำถามสุดท้ายคะ คุณธนวัฒน์ พี่เก๋เห็นคำถามมาตั้งแต่คราวที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ตอบ อยากถามคุณอาสนธิว่า คุณอาสนธิ มีชื่อจีนหรือเปล่าครับ

สนธิ- มี ผมแซ่ลิ้ม เขาเรียกภาษาจีนกลางอ่านว่า หลิน หมิง หมิง คือวันพรุ่งนี้ ต๋า หลิน หมิง ต๋า ชื่อจีนที่มี ต๋า นี่แปลว่าถึงแล้ว ถึงแล้วซึ่งความสว่าง

กมลพร- อ๋อ หลิน หมิง ต๋า

กรองทอง- ความหมายดี

สนธิ- ถ้าภาษากวางตุ้งเขาเรียก ลั๋ม มั๋ง ตั๊ก ถ้าภาษาไหหลำ เขาเรียกว่า ลี เมง ตั๊ก (***)

กมลพร- อ๋อ เลยเป็นชื่อ ตั๊บ หรือเปล่าคะ

สนธิ- ลี เมง ตั๊ก ที่ชื่อตั๊บนี่ ชื่อผมคือ หมายเลข 10 ที่เป็นเลข 10 เพราะตอนผมเล็กๆ เกิดมานี่เลี้ยงยาก จะตายเอา พ่อแม่เลยเอาไปยกให้แม่อีกคน ซึ่งมีลูกแล้ว 9 คน ผมเลยเป็นคนที่ 10 ส่วนอยู่อัสสัมศรีราชานี่ หัวโต เขาเลยเรียกไอ้โต

กรองทอง-กมลพร- เข้าใจแล้ว เคลียร์คะ

กมลพร - แต่จริงๆ มีคำถามอีกเยอะนะคะ ถ้าเกิดว่า ในรอบ 1 เดือนนี่ ใครอยากจะต้องการคำถามเพิ่มเติมที่ไม่ใช่เรื่องการเมืองเป็นประจำทุกวันศุกร์กับคุยทุกเรื่องกับสนธิ ส่งเข้ามาได้นะคะ ในที่นี่ไม่มีการเมือง คุยทุกเรื่องกับสนธิ และเราจะมาตอบเดือนละครั้ง

กรองทอง - ใช่ค่ะ ทุกวันอาทิตย์ที่ 4 ของทุกเดือนนะคะ จะรวบรวมคำถามแบบนี้มา ตอบคำถามได้ทุกเรื่องจริงๆ เหมือนอย่างวันนี้เป็นต้น ซึ่งวันนี้หมดเวลาลงแล้วนะคะ สำหรับที่นี่ไม่มีการเมือง ทุกวันอาทิตย์ที่ 4 กลับมาเจอกันเหมือนเดิมนะคะ และสำหรับทุกๆ คืนวันศุกร์ 2 ทุ่ม คุยทุกเรื่องกับสนธิ ค่ะ วันนี้ลากันไปก่อนนะคะ

กมลพร- ขอบคุณ คุณสนธิด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

กมลพร-กรองทอง-สนธิ - สวัสดีคะ / สวัสดีครับ




กำลังโหลดความคิดเห็น