ผ่าประเด็นร้อน
แน่นอนว่าเวลานี้สำหรับคดีการกระทำความผิดสารพัดข้อหาตั้งแต่ฉ้อโกงไปจนถึง "กระทำชำเรา"เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ของ นายวิรพล สุขผล หรือที่เคยรู้จักกันในนาม "หลวงปู่เณรคำ" สามารถหลอกต้มญาติโยมให้หลงเชื่อบริจาคเงิน ทรัพย์สินจำนวนมหาศาล จนมีเงินในบัญชีส่วนตัวและคนใกล้ชิดมากมาย จนต่อมาเมื่อความแตกความจริงถูกเปิดเผยออกมาทำให้ถูกแจ้งความดำเนินคดีหลายข้อหา เป็นข่าวครึกโครมรับรู้กันไปทั่วแล้ว และแม้ว่าจนบัดนี้กำลังหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ แต่ก็กำลังมีการเคลื่อนไหวติดตามนำตัวกลับมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด
โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นตำรวจกองปราบปราม กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ที่นำโดย ธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่เสนอให้เป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว สำนักงานคณะกรรมการป้องกันการฟอกเงิน(ปปง.) รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศที่นำโดย สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ต่างร่วมมือประสานเป็นเนื้อเดียวกันในการดำเนินคดีโดยแยกกันทำหน้าที่ในการหาหลักฐานเอาผิดกับ นายวิรพล จอมลวงโลกคนนี้ให้ได้ เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก
แน่นอนว่าต้องชื่นชมยกย่องกับการติดตามและการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ที่มีหลักฐานและพฤติกรรมค่อนข้างชัดเจน ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันประสานงานกันอย่างเต็มความสามารถ และในกรณีของ "อดีตเณรคำ"ถือว่าน่าจะเป็นรายแรกก็ว่าได้ที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องายหน่วยงานเข้ามาร่วมมือกันติดตามดำเนินคดี แต่คำถามที่ตามมาก็คือทำไมถึงต้องเลือกดำเนินการอย่างแข็งขันเฉพาะกรณีนี้ หรือคิดว่านี่คือการ "กินหมู" หรือเปล่า เพราะถึงแม้ว่าในอดีตคนอย่าง อดีตเณรคำคนนี้จะยิ่งใหญ่ในระดับที่สามารถระดมเงินบริจาคได้มากมาย ไปไหนมีแต่คนนับหน้าถือตา มีตำรวจทางหลวงนำขบวน หรือแม้แต่เคยมีนายตำรวจใหญ่ ทหารใหญ่คแยติดตามรับใช้ขอเป็นลูกศิษย์มากมาย หรือแม้แต่การใช้ "ปัจจัย"เช่น บริจาครถยนต์หรูให้กับพระชั้นผู้ใหญ่เป็นการ"สร้างบารมีปิดปาก" แต่เมื่อมีการเปิดโปงหลักฐานที่ดิ้นไม่หลุด มันก็ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาอุ้ม ตรงกันข้ามมีแต่ชิ่งหนี และที่สำคัญคนอย่าง นายวิรพล ก็เป็นเพียงแค่ "บ้านนอกกระจอก"คนหนึ่งและเครือข่ายเมื่อเอาเข้าจริงก็ไม่มีอำนาจวาสนาอะไรที่จะมาคุ้มครองปกป้องได้ และนี่แหละอาจเป็นคำตอบของคำว่า "กินหมู"ไงละ เพราะไม่เสี่ยง อีกทั้งได้หน้าตาได้ทั้งผลงาน ซึ่งยังรวมไปถึงคดีรถหรูที่ถูกตั้งข้อสังเกตในทำนองเดียวกัน
แต่ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับอีกคดีหนึ่ง นั่นคือการติดตามดำเนินคดีกับ ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกศาลสั่งจำคุก 2ปี และคดีถึงที่สุดแล้ว รวมทั้งมีอีกหลายคดีที่ตกเป็นจำเลย และผู้ต้องหาในคดีอาญาร้ายแรงและกำลังหลบหนีออกนอกประเทศมาเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่มีหน่วยงานไหนขมีขมันหาช่องทาง "ลากคอ"มาดำเนินคดี เหมือนกับ "อดีตเณรคำ"อย่างที่เป็นอยู่ เพราะหากจะเปรียบเทียบกันแล้วความเสียหายที่ ทักษิณ กระทำต่อบ้านเมืองและคนไทยมีมากกว่า "สมีคำ"นับร้อยเท่า
ที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวจากกระทรวงการต่างประเทศ โดย สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิกถอนหนังสือเดินทางของ อดีตเณรคำ ขณะเดียวกันอีกทางหนึ่งก็มีข่าวว่ากำลังมีการประสานกับตำรวจสากล ทางการสหรัฐฯเพื่อขอตัวเป็น "ผู้ร้ายข้ามแดน"ส่งมาดำเนินคดีในไทยให้ได้โดยเร็ว อีกด้านหนึ่งมันก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความ "น่ากลัว" น่าสมเพช ระคนความรัดทดหดหู่ของหน่วยงานราชการไทยที่เลือกปฏิบัติ "สองมาตรฐาน"เลือกทำคดีเฉพาะที่เห็นว่า "หมู"ได้ผลงานแบบไม่ต้องเสี่ยงตามกระแสไปวันๆเท่านั้น
จริงอยู่กรณีของอดีตเณรคำ เป็นการกระทำผิดหลายข้อหา ทั้งอาญาและแพ่งรวมทั้งย่ำยีศาสนาให้มัวหมอง แต่ขณะเดียวกันเพื่อพิจารณาถึงการทำคดีของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่บางคนมันก็ยิ่งเพิ่มหมดศรัทธามากขึ้นตามไปด้วย และหากพิจารณาให้ไกลไปอีกลักษณะแบบนี้แหละที่เป็นสาเหตุทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย เพราะบางครั้งกลายเป็นว่า "เจ้าหน้าที่ของรัฐรับใช้โจร" นับถือโจร ไม่รู้จักหน้าที่ เมินความถูกต้องชั่วดี ซึ่งสามารถนำมาเปรียบเทียบกับกรณีของ ทักษิณ ชินวัตร ได้ดีที่สุด เพราะนอกจากไม่ติดตามจับกุมกลับมาแล้ว ยังพยายามอำนวยความสะดวกทุกวิถีทาง ทั้งที่เป็น "มหาโจร"ที่อันตรายที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมาเสียอีก !!