ข่าวปนคน คนปนข่าว
ในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติประจำปี 2556 เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯหุ่นเชิดของนักโทษหนีคดี มีโอกาสได้ไปอ่านโพย แต่คงต้องถือเป็นช่วงเวลาที่ไม่ดีนัก
เพราะเดิมคงจะวาดฝันให้คำกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ ลึกซึ้งกินใจยกย่องโครงการรับจำนำข้าวที่กำลังทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคการจำนำประเทศ ว่า เป็นนโยบายดีเลิศประเสริฐศรีที่รัฐบาลได้ช่วยเหลือชาวนา
แต่เมื่อสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ อย่างมูดี้ส์ ออกมากระตุกแรง ๆ ด้วยการระบุว่า เครดิตประเทศกำลังจะมีปัญหาจากการขาดทุนมหาศาลของโครงการรับจำนำข้าวที่ สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในสมัยเป็นประธานคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวสรุปยอดขาดทุนไว้ที่ 260,000 ล้านบาท
เป็นตัวเลขที่ทำให้รัฐบาลดิ้นหนักดุจดั่งไส้เดือนโดนขี้เถ้า
กระทั่งเด้ง สุภา ไปรับผิดชอบงานธุรการดูแลสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง และสำนักงานเศรษฐกิจการคลังแทน การรับผิดชอบกรมบัญชีกลาง และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
แต่ดูเหมือนว่าความพยายามที่จะปกปิดตัวเลขการขาดทุนจำนำข้าวด้วยการเด้งสุภาออกจากความรับผิดชอบในเรื่องการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลคงจะไม่ได้ผล เพราะแม้จะมีคนใหม่เข้ามาดูแลและตกแต่งตัวเลขให้ดูดีเป็นไปตามการคาดหมายของรัฐบาลที่พยายามสะกดจิตให้คนเชื่อว่าจะขาดทุนไม่เกินแสนล้านบาทได้ แต่ก็คงไม่สามารถทำให้คนไทยหรือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง มูดี้ส์เชื่อได้
ยิ่งปกปิดมีลับลมคมในมากเท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลก็จะติดลบมากเท่านั้น ซึ่งจะสั่นคลอนไปถึงความน่าเชื่อถือของประเทศด้วย และนั่นหมายถึงว่าเรากำลังมีรัฐบาลมีบริหารชาติถอยหลัง ทำร้ายประเทศไม่หยุดด้วยนโยบายประชานิยมบ้าคลั่ง แถมคนบริหารก็ไร้สติสัมปชัญญะในการหยุดยั้งความเสียหาย มีแต่จะเพิ่มหายนะมากขึ้นเรื่อย ๆ อันเป็นผลมาจากความโลภของ คนไม่รู้จักพอ
ถ้าจำกันได้ก่อนหน้านี้ เคยมีการออกมาประมาณการความเสียหายในโครงการนี้ว่าไม่ต่ำกว่าสองแสนล้านบาทต่อปี ใกล้เคียงกับที่ทีดีอาร์ไอเคยประเมินไว้ที่ 1.7 แสนล้านบาท ขณะที่ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่เคยฟันธงไว้ว่าการขาดทุนในโครงการนี้จะเกิดขึ้นปีละประมาณ 2 แสนล้านบาท และหากยังเดินหน้าต่อไป ประเทศไทยเจ๊งแน่
ในขณะที่รัฐบาลโดย กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เคยแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวไว้อย่างน่าเศร้าแทนประเทศไทยอย่างยิ่ง ที่มีคนเช่นนี้เป็นผู้กุมชะตาเศรษฐกิจของประเทศ
กิตติรัตน์ อ้างว่า โครงการจำนำข้าวจะขาดทุนไม่เกิน 6 หมื่นล้านบาท และเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลยังไม่ขายข้าว เมื่อนั้นการขาดทุนก็ไม่มี
ถือเป็นคำพูด ที่นอกจากจะไร้ความรับผิดชอบต่อประเทศแล้ว ยังเป็นการกล่าวคำเท็จต่อประชาชนด้วย เพราะข้าวไม่ใช่หุ้นที่จะได้เก็บไว้รอวันราคาดีแล้วค่อยขายเพื่อไม่ให้ขาดทุน แต่ข้าวเป็นสินค้าเกษตรยิ่งเก็บนานก็ยิ่งเสื่อมสภาพแถมยังมีภาระด้านการบริหารจัดการตามมาอีกมากมายด้วย
ไม่น่าเชื่อว่าคำอธิบาย “ห่วยแตก”ของกิตติรัตน์ในวันนั้น ยังคงถูกนำมาใช้จนถึงปัจจุบัน ถึงขนาด พิเชษฐ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย แลบลิ้นยาวเลีย ยิ่งลักษณ์ จนขนหน้าแข้งไม่เหลือว่า โครงการรับจำนำข้าวที่ขายไม่ออกนั้น ทำให้ไทยเป็นประเทศมหาอำนาจด้านอาหารเพราะมีสต็อคข้าวมากกว่าชาติใดในโลก
ในขณะที่ สมชาย สัจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ชักปากตามใบสั่งการเมืองว่า การประเมินโครงการจำนำข้าวยังทำไม่ได้ เพราะข้าวยังไม่ได้ขาย หากขายออกไปก็เชื่อว่ายอดการขาดทุนจะลดลง โดยแสดงความมั่นอกมั่นใจว่าจะขาดทุนไม่เกิน 1 แสนล้านบาท แถมยังปากดีไปประณาม มูดี้ส์ ที่จ้องหั่นเครดิตประเทศจากโครงการจำนำข้าวที่กำลังจะทำให้ฉิบหายกันทั้งประเทศ เพราะบังอาจไปทำให้นายกฯ มู๊ดดี้ อึกอักจนออกอาการโง่ให้นักข่าวจับได้ว่าไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย
หรือถ้าที่ผ่านมารู้ดีทั้งหมด ก็แสดงให้เห็นถึง “วิชาตอแหลขั้นเทพ” แต่ที่มากไปกว่านั้นคือคำตอบของ ยิ่งลักษณ์ ทำให้คนไทยที่วิจารณญาณไม่บกพร่อง เล็งเห็นได้ทันทีว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่สมควรที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกต่อไป
ยิ่งลักษณ์ บอกว่า เธอยังไม่ได้รับรายงานตัวเลขการขาดทุนจากกระทรวงพาณิชย์ และให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ชี้แจง ส่วนเรื่องที่ไทยเสี่ยงต่อการถูกหั่นเครดิตประเทศก็ให้กระทรวงการคลังไปชี้แจง
คำตอบดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าเธอไม่มีความใส่ใจต่อปัญหาชาติเลยแม้แต่น้อย เพราะโครงการจำนำข้าวนั้นมิใช่เพิ่งจะถูกท้วงติงว่าจะเกิดปัญหาการขาดทุนมโหฬาร จนจะกลายเป็นภาระด้านงบประมาณมหาศาล กระทบหนี้สาธารณะให้พุ่งไปถึงกว่า 60 % ได้หากดำเนินการต่อเนื่อง 4 ปี ตามวาระของรัฐบาล
แถมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ก็เคยร่อนหนังสือถึง ครม.ยิ่งลักษณ์มาแล้วสองครั้งสองคราให้ยกเลิกโครงการนี้เนื่องจากเปิดช่องให้เกิดการทุจริตทุกขั้นตอน ในขณะที่เงินไปถึงมือชาวนาเพียงแค่ 37 % ของยอดเงินทั้งหมดที่ใช้ในโครงการนี้เท่านั้น
แต่ ยิ่งลักษณ์ ก็จะท่องอยู่คาถาเดียวคือ “ให้ชาวนาเถอะค่ะ” โดยไม่สนใจว่านโยบายนี้ชาวนาไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและไม่เคยมีชาวนาคนไหนที่จำนำข้าวได้ 15,000 บาท ตามราคาที่รัฐบาลตั้งไว้
ส่วนคนที่อิ่มจนพุงกางก็พวกเครือข่ายนักการเมืองที่ทั้งตระกูลร่วมกันเนรคุณแผ่นดิน แทะทึ้งบ้านเมืองจนแทบไม่เหลือซากแล้วในวันนี้ แถมกินกันอร่อยปากแล้วยังได้หน้ากับชาวนาว่าทุ่มงบประมาณมาดูแลอีกด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม นักโทษหนีคดี ถึงเคยลั่นวาจาว่า “โครงการรับจำนำข้าวผมคิดเองคนเดียว ให้คิดใหม่อีกกี่ครั้งก็ยกเลิกไม่ได้”
คนที่ตกถังข้าวสาร ไม่มีใครอยากปีนออกมา ฉันใดก็ฉันนั้น ช้างตายทั้งตัวจะเอาใบบัวมาปิดไม่มีทางมิด ดังนั้นไอ้ที่คิดว่าโครงการนี้ทำให้นักการเมืองบางครอบครัวเหมือนกับหนูตกถังข้าวสารแดกกันมันปากนั้น สุดท้ายก็อาจทำให้หนูตายยกครัวในถังข้าวสารได้เหมือนกัน