โครงการรับจำนำข้าวเมื่อปีที่แล้วถือว่าเป็นปีแห่งการโกหกเรื่อง การส่งออกจีทูจี โดยมีกระทรวงพาณิชย์รับหน้าเสื่อเป็นหนังหน้าไฟ โกหกรายวันเรื่องปริมาณการส่งออกข้าวไทยแบบรัฐต่อรัฐ ว่าสามารถขายให้ประเทศต่างๆ เป็นจำนวนมาก จึงไม่มีปัญหาเรื่องการส่งออกแน่
ความจริงเป็นอย่างไร ทั้งคนโกหกก็รู้อยู่แก่ใจ ทั้งคนทั่วไปที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องโกหก ประเทศไทยส่งออกข้าวได้น้อยเป็นประวัติการณ์ จาก 10 กว่าล้านตันเมื่อปีก่อนหน้า คือ ปี 2554 ลดลงเหลือเพียง 6 ล้านตันกว่าๆ เท่านั้น
ส่วนเรื่องขายข้าวแบบจีทูจีก็เป็นเรื่องแหกตาประชาชน เพราะขายได้ไม่กี่แสนตันเท่านั้น กระทรวงพาณิชย์ไม่กล้าเปิดเผยตัวเลขว่า ขายให้ประเทศใด เท่าไร โดยอ้างว่าเป็นความลับ แต่แท้ที่จริงแล้วขายไม่ได้
โกหกกันจนเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ทั้งคนก่อนและคนปัจจุบัน ลงมาจนถึงอธิบดีและรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ที่ดูแลเรื่องการส่งออก จนเป็นที่ซุบซิบนินทากันในหมู่ข้าราชการว่าเป็นปลัดยังไม่ถึงปีจมูกยาวขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
มาถึงปีนี้ โครงการรับจำนำข้าวเป็นปีแห่งการโกหกเรื่องความเสียหายที่ตกอยู่กับประเทศชาติ ถึงคิวกระทรวงการคลังรับหน้าเสื่อ เป็นหนังหน้าไฟ โกหกและปกปิดข้อมูลตัวเลขขาดทุน
ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังได้พิสูจน์แล้วว่ารับใช้นักการเมืองได้ดีไม่แพ้กระทรวงพาณิชย์ เมื่อเทียบกันในระดับปลัดกระทรวงด้วยกันแล้ว ปลัดกระทรวงการคลัง นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ดูจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ เพราะรับใช้การเมืองอย่างเต็มที่ ถึงขั้นลงดาบผู้ใต้บังคับบัญชา ย้ายนางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ออกจากการทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว เพราะไม่ต้องการให้คนไทยรับรู้ว่าจำนำข้าวปีที่แล้วขาดทุนถึง 2.6แสนล้านบาท
ระดับรองลงมาอย่างนายสมชัย สัจจพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค.ก็เพิ่งจะสลัดคราบนักวิชาการทิ้ง หันมาสวมวิญญาณทาสรับใช้นักการเมือง ด้วยการประณามมูดีส์ว่าไม่เป็นมืออาชีพ ใช้ข้อมูลตัดแปะจากหนังสือพิมพ์มาสรุปว่าโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลขาดทุนสูงถึง 2.6 แสนล้านบาทอาจจะเป็นปัญหาต่อการทำงบประมาณสมดุลและอาจจะมีผลต่ออันดับความน่าชื่อถือหรือ เครดิต เรตติ้งของประเทศไทย
รายงานของมูดีส์ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา ระบุว่าใช้ข้อมูลจากสื่อของไทยเอง แต่ในรายงานฉบับเดียวกันนี้ยังอ้างด้วยว่าไม่สามารถยืนยันข้อมูลการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวกับรัฐบาลไทยได้
หน่วยงานของรัฐบาลไทยที่มีหน้าที่ให้ช้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทย กับสถาบันจัดอันดับเครดิตอย่างมูดีส์ เอสแอนด์พี และฟิทช์เครดิตเรตติ้ง คือกระทรวงการคลัง และหน่วยงานในกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบในเรื่องนี้โดยตรงก็คือสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่นายสมชัยเป็นผู้อำนวยการอยู่นั่นแหละ
การที่มูดีส์ระบุไว้ในรายงานว่า ไม่สามารถยินยันความถูกต้องของตัวเลขการขาดทุนจากการรับจำนำข้าวกับรัฐบาลไทยได้แสดงว่า มูดีส์ คยขอข้อมูลจาก สศค.แล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง จึงต้องอ้างอิงข้อมูลจากสื่อ
ทำไม สศค.และกระทรวงการคลังจึงไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลด้านการเงินที่แท้จริงของโครงการรับจำนำข้าวแก่มูดีส์ นี่เป็นคำถามที่นายสมชัยต้องตอบตัวเอง มากกว่าไปประณามมูดีส์ว่าไม่เป็นมืออาชีพ
โครงการรับจำนำข้าวในขณะนี้เหมือนช้างตายทั้งตัวที่รัฐบาลพยายามจะเอาใบบัวมาปิด แต่ปิดอย่างไรก็ไม่อยู่ เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งที่เกิดจากตรรกะมั่วๆ ของ นช.ทักษิณที่ว่าประเทศไทยจะเป็นผู้กำหนดราคาข้าวในตลาดโลกเอง และที่เกิดจากเจตนาทั้งในเรื่องการทำลายระบบส่งออกข้าวของชาคิและการโกงกินในทุกขั้นตอน เป็นเรื่องใหญ่โตมาก ที่ได้รับความสนใจไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระดับโลก ทั้งตลาดข้าวโลก ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ มาจนถึงมูดีส์ ต่างจับตามอง
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว แต่ไม่รู้เรื่องเลยว่าขาดทุนเท่าไร ทำได้อย่างเดียวคือ โกหก โกหก และโกหก ซื้อเวลาไปเรื่อยๆ
โครงการรับจำนำข้าวซึ่ง นช.ทักษิณ เคยให้สัมภาษณ์นิตยสาร ฟอร์บส์ว่าเขาเป็นคนคิดเองนั้น เป็นหนึ่งในความล้มเหลวผิดพลาดของ นช.ทักษิณ มีตัวอย่างความล้มเหลวที่เกิดขึ้นมาแล้ว และคาราคาซังจนถึงปัจจุบัน เช่น โครงการบัตรอีลิทการ์ด โครงการแอร์พอร์ตลิงค์ ฯลฯ แต่โครงการรับจำนำข้าวสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติกว่าทุกโครงการที่ผ่านมา ทั้งในแง่ของการขาดทุน การคอร์รัปชั่นที่ต้องใช้เงินภาษีประชาชนนับแสนล้านบาทไปอุดหนุน และความเสียหายในแง่ของการทำลายโครงสร้างการผลิตและการส่งออกข้าวของไทยอย่างย่อยยับภายในเวลาปีเดียว
โครงการรับจำนำข้าวเป็นหนึ่งในโครงการที่มีผลต่อฐานะการคลัง ฐานะเศรษฐกิจของชาติ แต่รัฐบาลซึ่งไปโกหกชาวโลกว่าเป็นประชาธิปไตยเพราะมาจากการเลือกตั้งไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการดำเนินนโยบายสาธารณต่อสังคม ยังมีโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้ภาษีของประชาชาชนจำนวนมาก คือโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท และโครงการรถไฟความเร็วสูง 2 ล้านล้านบาท
ทั้งสองโครงการนี้ก็ไม่ต่างจากโครางการรับจำนำข้าว คือเป็นโครงการที่มีปัญหาในเรื่องความเป็นไปได้ มีปัญหาในเรื่องความไม่โปร่งใส มีการปกปิดข้อมูล ไม่ให้มีการตรอวจสอบ ไม่ให้ประชาชนรับรู้ มีการโกหกกันไปเรื่อยๆ ถึงความจำเป็น ความคุ้มค่าของโครงการ
การที่มูดีส์ออกรายงานเรื่องโครงการรับจำนำข้าวเตือนนักลงทุนทั่วโลกให้รับรู้ถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเป็นการส่งสัญญาณไปในตัวว่าโครงการน้ำ 3.5 แสนล้าน และโครงการรถไฟความเร็วสูง 2 ล้านล้านบาท น่าจะอยู่ในความสนใจของมูดีส์ด้วย