xs
xsm
sm
md
lg

“ชัย ราชวัตร” จ่อปิดตำนานผู้ใหญ่มาทุ่งหมาเมิน! ลั่นพร้อมสู้คดีหมิ่นไม่ตาขาวจนหนี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพจากเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
“ชัย ราชวัตร” รับเตรียมเลิกเขียนการ์ตูนให้ไทยรัฐจริง เผยอายุมาก เริ่มไม่สนุก ก่อนเล่าอัตชีวประวัติต่อสู้กว่าจะเป็นผู้ใหญ่มาทุ่งหมาเมิน ลั่น นสพ.ไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง แต่ต้องชี้ถูกผิดดีชั่วได้ ระบุสมัยนี้เขียนได้ไม่เต็มที่ อันตรายกว่ายุคเผด็จการ ยันไม่เคยทรยศคนอ่าน สุดภูมิใจได้ถวายงานในหลวง ขอบคุณชาวบ้านให้กำลังใจ งดโพสต์เฟซบุ๊กหวั่นงานเข้าเพิ่ม ย้ำสู้คดีหมิ่น “ปู” แน่ ไม่ตาขาวจนหนี จ่อถก ตร.กำหนดวันไปรายงานตัวเอง

วานนี้ (2 มิ.ย.) เว็บไซต์สำนักข่าวโพสต์ทูเดย์ ได้ตีพิมพ์รายงานพิเศษ ในหัวข้อ ปากคำ “ชัย ราชวัตร” กับ “ภารกิจสุดท้าย” สัมภาษณ์นายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ ชัย ราชวัตร คอลัมนิสต์การ์ตูน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โดยระบุว่า ตนเองอาจจะยุติการเขียนการ์ตูนให้กับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เนื่องจากอายุมากขึ้น และเรื่องไม่สนุกเหมือนเดิม พร้อมทั้งยังระบุถึงงานเขียนแต่ละชิ้นของตนไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด เพราะต้องใช้ความคิดอย่างมาก ขณะที่ตนจะขอเป็นกองเชียร์อยู่ด้านหลัง อาจมีโอกาสเขียนบ้างในบางครั้ง

“ผมลากสังขารมานานเต็มที และก็ 72 อายุมากแล้วด้วย การ์ตูนมันก็เหมือนตัวคนเขียนแหละ คือ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันควรจะวางมือตั้งนานแล้ว ถึงแม้ใจผมชอบการเขียนการ์ตูน แต่พอเขียนนานๆ เข้ามันกลายเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ชอบไม่ชอบก็ต้องทำ ไม่มีอารมณ์จะเขียนก็ต้องทำ มันบังคับไปแล้ว และมันก็ไม่สนุกเหมือนเดิมแล้ว ที่ผ่านมาโรงพิมพ์ก็ต่ออายุให้เราเรื่อยๆ ปกติไทยรัฐเขาเกษียณอายุ 60 ตอนนี้ต่ออายุมา 72 แล้ว ไหนยังต้องคอยหลบภัยจากเรื่องการเมืองนี่มันไม่สนุกหรอก ผมคงหาทางลงที่มันค่อยๆ ลง แต่ไม่ใช่ปุ่บปั๊บ โดดลงจากเวทีเลย” นายสมชัย ระบุ

นายสมชัย ยังระบุถึงที่มาของการ์ตูนล้อการเมือง ผู้ใหญ่มากับทุกหมาเมิน โดยได้ไอเดียจากช่วงที่นายป๋วย อึ้งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาการแห่งประเทศไทย ในขณะนั้น ได้เขียนเรื่องสั้นวิจารณ์ระบอบเผด็จการทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี โดยใช้ชื่อว่า นายเข้ม เย็นยิ่ง ถึง นายทำนุ เกียรติก้อง เมื่อปี 2514 ขณะที่ตนนำมาใช้ในช่วงที่ย้ายมาอยู่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เมื่อปี 2522 ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ที่มาจากการรัฐประหาร แม้จะให้เสรีภาพแต่ก็ยังไม่สามารถเขียนวิจารณ์ได้เต็มที่ โดยสมมติประเทศเป็นชื่อหมู่บ้านทุ่งหมาเมิน มีผู้ใหญ่บ้าน และไอ้จ่อย ซึ่งเป็นลูกบ้านคอยถกเถียงปัญหาบ้านเมือง

นายสมชัย ยังเล่าถึงสมัยยุคปฏิวัติ 6 ตุลา 19 ที่ต้องหลบหนีภัยทางการเมืองในช่วงที่นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้น ได้สั่งปิดหนังสือพิมพ์ที่วิพากษ์รัฐบาล โดยไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และใช้ชีวิตเป็นพนักงานล้างชาม ก่อนจะร่วมทำหนังสือพิมพ์สันติภาพต่อต้านรัฐบาล และกลับมาอยู่ประเทศไทยในสมัยรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ยอมรับว่า ในสมัยก่อนตนถูกคุกคามถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ถึงกับถูกฟ้องร้อง ทั้งนี้ตนเคยคิดจะเลิกเขียนคอมลัมน์ดังกล่าวในช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ

“ช่วงนั้นทหารปฏิวัติ ก็หยุดเขียน เพราะไม่รู้ทิศทางลมเป็นอย่างไร ตอนนั้นนึกว่าจะหยุดเลย ไม่นึกว่าจะเอากลับมาแล้ว ชิ้นสุดท้ายที่เขียนก็เขียนในลักษณะว่า ตอนนี้ เกิดมีโรคห่าลงมาหมู่บ้าน เสียงหัวเราะสรวลเสเฮฮาที่เคย มีอยู่ก็เงียบหายไป หมู่บ้านทุ่งหมาเมินกลายเป็นทุ่งร้าง ผมก็ทิ้งปริศนาไว้อย่างนั้น แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มสงบไม่มีการจับกุม พอเปิดหนังสือพิมพ์ผมก็เริ่มกลับมาเขียนใหม่ เพราะคนอ่านที่เป็นแฟนเรียกร้องอยากอ่านผู้ใหญ่มาต่อ ก็กลับมาเขียนผู้ใหญ่มาอีกครั้ง เรียกได้ว่าขาดช่วงไปแค่สัปดาห์เดียว” นายสมชัย ระบุ

นายสมชัย ยอมรับว่า ช่วงที่เขียนงานเครียดที่สุดคือช่วงที่มีการปฏิวัติ ส่วนช่วงที่สบายที่สุดคือช่วง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ บรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมันมีเรื่องให้ล้อเลียนตลอด ขณะที่ช่วงที่เขียนยากที่สุด แบ่งเป็น 3 ช่วง คือสมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะชื่นชอบและศรัทธาจึงไม่อยากโจมตี ช่วงนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต และยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากประชาชนและสื่อถูกแบ่งแยกออกเป็นสองขั้ว พอเขียนไม่ถูกใจคนกลุ่มหนึ่งก็จะมีคนมาต่อต้าน ทำให้นายทุนคิดมาก ก็เลยต้องพยายามให้เบาลง

“อย่างทุกวันนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนจำนวนมากสนับสนุนอยู่ เขียนอะไรบางทีก็ต้องเบรกเหมือนกัน คือ เขียนได้แต่ไม่เต็มที่ ในวงการสื่อด้วยกันก็ไม่ได้สามัคคีเป็นทิศทางเดียวกัน มันก็เลยยาก” นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย ยังยืนยันว่า ตนไม่เห็นว่าหนังสือพิมพ์จะต้องเป็นกลาง เพราะหน้าที่ของมันคือการชี้นำประชาชนให้รู้อะไรถูกผิดดีหรือชั่ว เปรียบเสมือนสุนัขเฝ้าบ้าน ตนไม่เคยเป็นกลางตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าสู่วงการในยุคเผด็จการทหาร ตนยืนข้างนิสิต นักศึกษา แต่ถ้าไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์โดยอ้างว่าต้องเป็นกลาง ถ้าอย่างนั้นใครก็มาเป็นนักหนังสือพิมพ์ได้ จบ ป.4 ก็มาเขียนได้ ความเป็นกลางมันคือหลุมหลบภัยของคนขี้ขลาด ทั้งนี้ตนยอมรับว่า บางทีก็รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะบางชิ้นที่เขียนเป็นเรื่องที่ไม่มีใครกล้าเขียน ไม่เหมือนสมัยก่อน ที่ต่อสู้ไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ก็ต้องเกรงใจเจ้าของหนังสือพิมพ์ ถ้าเสียงจำนวนมากคัดค้านทัศนะของเรา เราก็คงลำบาก ถ้าหนังสือพิมพ์ ถูกปิดก็จะลำบาก

ขณะที่นายสมชัย ระบุด้วยว่า ตนไม่ปฏิเสธที่จะกลัวอันตรายแต่ตนมั่นใจว่า สิ่งที่เราเขียนคือความถูกต้อง ถ้าไม่กล้าเขียน เพราะกลัวก็ควรเลิกเขียน ทุกอย่างมันขึ้นกับยุค ถ้าหนักที่สุดในยุคเผด็จการทหารก็จับขังคุก แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเดิม อย่างสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ยังแทบเอาชีวิตไม่รอด ฉะนั้นประชาชนอย่างเราธรรมดาก็ยิ่งอันตรายหนัก แต่ทั้งนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ายืนอยู่ข้างความถูกต้อง

“แม้จะมีคนอื่นบอกว่าผมเป็นฝ่ายอำมาตย์ล้าหลัง แต่ในอดีตถึงปัจจุบัน ผมก็ยืนในแนวทางของผมชัดเจน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งผมขอบอกคนอ่านว่า ผมไม่เคยทรยศต่อคนอ่าน แล้วก็ไม่เคยทรยศต่อจุดยืนของตัวเอง และเมื่อไรวันไหนวางมือไปผมก็จะวางมือลักษณะนี้ ไม่ใช่วางมือไปเพราะเปลี่ยนจุดยืนตัวเอง ไม่เหมือนนักการเมืองบ้านเราเปลี่ยนแปลงตลอด ทุกวันนี้ไม่ได้โกงกินอย่างเดียว แต่มีลักษณะยึดครองประเทศไทยไปถาวรเลย ขนาดคิดจะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง มันร้ายกาจกว่าเมื่อก่อนนี้เยอะแต่ประชาชนไม่ได้ตื่นตัวขึ้นจำนวนมากก็ยังพร้อมขายเสียงเหมือนเดิม คล้ายๆ ว่าค่าตัวแพงขึ้น แต่ก่อนซื้อ 20 บาท เดี๋ยวนี้ซื้อกันเป็นพัน” นายสมชัย กล่าว

ส่วนความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตนั้น นายสมชัย ได้ระบุถึงการเขียนการ์ตูนฉบับพระมหาชนก และคุณทองแดง ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตนถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่งที่ได้ทำงานรับใช้พระองค์ และมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ หลังจากเสร็จงานแล้ว พระองค์ก็พระราชทานเครื่องราชฯ มาให้ ก็ถือว่าทำงานเป็นที่โปรดปราน ทั้งนี้ยังเล่าถึงเหตุที่ได้รับเลือกให้เขียนงานทั้ง 2 ชิ้น รวมถึงความยากง่ายของงานอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม นายสมชัย ยังระบุถึงกรณีที่ถูก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฟ้องร้องว่า ขอขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ บางคนก็ช่วยเยอะ เสนอจะให้บ้าน ให้รถใช้ เปลี่ยนที่หลบภัย มันทำให้ตนรู้สึกไม่โดดเดี่ยวจริงๆ

ล่าสุด วันนี้ (3 มิ.ย.) นายสมชัย ได้เขียนข้อความผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Chai Rachawat ระบุว่า ว่างเว้นจากการสื่อสารกับเพื่อนพ้องบนเฟซบุ๊กในระยะนี้ด้วยเหตุคดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาทกำลังเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย การโพสต์ข้อความอะไรออกไปต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เป็นภาระเพิ่มแก่ทีมกฎหมาย จึงต้องสงบปากสงบคำไปก่อน และใคร่ขอชี้แจงทำความเข้าใจ 2 เรื่องดังนี้ 1.ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหมายแจ้งมาให้ไปรายงานตัววันที่ 5 มิถุนายนนี้ กำลังขอคำปรึกษาจากทนายเพื่อกำหนดวันไปรายงานตัวเอง จะเป็นวันไหนยังไม่แน่นอนครับ แต่การข่มขู่คุกคามกันว่าจะออกหมายจับนั้นอย่าหวังว่าจะมีวันนั้น คนๆ นี้ไม่ใช่ตาขาวจนคิดหนีคดี

2.ตามที่หลายท่านได้โค้ด นสพ.โพสต์ทูเดย์ ว่า ตนกำลังจะวางมือ เป็นความจริงที่ตนให้สัมภาษณ์นายชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม ผู้สื่อข่าว นสพ.โพสต์ทูเดย์ ไปเช่นนั้น ภารกิจสุดท้ายคือวางมือจริงๆ แต่ตนยังไม่วางอาวุธของตนแล้วเดินหันหลังกลับในขณะที่เพื่อนร่วมทางยังติดพันกับการสู้รบ แม้จะถูกพันธนาการด้วยขื่อคาของกฎหมายหรือเหตุใดก็ตาม ถ้ายังส่งเสียงให้กำลังใจเพื่อนได้ด้วยเสียงร้องเท่านั้นก็จะแหกปาก หากมีอะไรคืบหน้านอกเหนือจากนี้จะรายงานให้ทราบเป็นระยะ


ภาพจากเว็บไซต์เฟซบุ๊กชัย ราชวัตร
กำลังโหลดความคิดเห็น