ข่าวปนคน คนปนข่าว
การประกาศจุดยืนของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยพิจารณาร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย กรณ์ จาติกวนิช รองหัวหน้าพรรค ที่ขีดเส้นตายให้รัฐบาลส่งข้อมูลเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ที่มีการหมกเม็ดเอาไว้ภายในวันที่ 3 มิถุนายนนี้
ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ร่วมสังฆกรรมกับการลากพาประเทศเป็นหนี้ยาวนาน 50 ปี ใช้ทั้งต้นทั้งดอกกันหัวบานไปยันรุ่นเหลนถึง 5.16ล้านล้านบาท
น่าจะเป็นเครื่องยืนยันต่อสังคมไทยที่ชัดเจนอีกกรณีหนึ่ง ถึงความไร้ธรรมาภิบาลของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เคยโจมตีคนอื่นมาวันนี้กลายเป็น “แชมป์สร้างหนี้” ให้ประเทศเรียบร้อยไปแล้ว
เพราะแค่ลำพังการออกกฎหมายพิเศษเพื่อกู้เงิน ยังไม่ถึงสองปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ทำสถิติการกู้ถึง 2.4 ล้านล้านบาท จากการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ 5 หมื่นล้านบาท และล่าสุดที่กำลังจะทำคลอดกันอยู่ในขณะนี้คือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท
อาจเรียกได้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ถนัดในการปั้นตัวเลขความจำเป็นในการกู้เงิน แต่ไม่มีความจริงให้กับประชาชน
เริ่มตั้งแต่ พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีอะไรเป็นมรรคเป็นผล เนื่องจากเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนดไม่ได้จูงใจที่จะดึงดูดให้เอกชนเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ไร้ความคืบหน้า
จนกระทั่งรัฐบาลแอบโยกวงเงินไปใช้ในการจำนำข้าวแทน ในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะครั้งล่าสุดช่วงต้นปีที่ผ่านมา
สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มีการวิเคราะห์ที่แม่นยำมากเพียงพอในการใช้เงิน เพราะการออก พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัตินั้น มีผลบังคับใช้มากว่า 1 ปี แต่กลับไม่มีความคืบหน้าในการทำงาน และทำท่าว่าอาจจะใช้จริงเพียงแค่ 3 พันล้านบาท จากตัวเลขที่มีการให้ข่าวเอาไว้
เท่ากับว่ารัฐบาลประเมินผิดพลาดในเรื่องกรอบวงเงินที่ต้องใช้สำหรับเรื่องนี้ไปถึง 4.7 หมื่นล้านบาท แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องดีที่สามารถประหยัดเงินได้ 4.7 หมื่นล้านบาท เพราะแม้ยอดหนี้ส่วนนี้จะลดลง รัฐบาลก็นำไปต่อยอดโยกเอาวงเงินสร้างหนี้ก้อนใหม่เพื่อรองรับการจำนำข้าวแทน
หมายถึงว่า รัฐบาลพร้อมเล่นแร่แปรธาตุโยกเงินแผ่นดินกันเป็นว่าเล่น เพื่อรองรับนโยบายประชานิยมบ้าคลั่งของตัวเองได้ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้การตรวจสอบการใช้จ่ายของรัฐบาลทำได้ยากมากยิ่งขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้นเงินกู้ 3.5 แสนล้านก็ฉาวโฉ่อย่างหนัก ถึงขนาดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ต้องแจกเอกสารฟ้องสังคมถึงความไม่ชอบมาพากลในการเปิดช่องโกงกันอย่างโจ๋งครึ่มในโครงการที่ไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้ แต่วางเงินแผ่นดินก้อนมโหฬารให้ต่างประเทศมาตัดเค๊กแบ่งกันอย่างไม่อายฟ้าดิน
ปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ที่นิยมการสวมบท พญามังราย ก็ออกแบบทีโออาร์ที่หละหลวม ทั้งการรวมสัญญาเดียวให้บริษัทเอกชนทำทุกอย่างตั้งแต่เวนคืนที่ดินไปจนถึงการก่อสร้าง เปิดช่องให้มีการเหมาช่วง กำหนดเงินประกันสูงสุดว่ารัฐบาลจะไม่จ่ายเพิ่มหากค่าใช้จ่ายเกินกว่าวงเงินประกัน จน ป.ป.ช.ต้องออกมาเตือนว่า จะเกิดปัญหาทิ้งงาน ทำให้เกิดเขื่อนร้างได้ในอนาคต
แต่ก็เชื่อว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์คงไม่นำพากับเสียงเตือนของ ป.ป.ช. ที่มีการส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการควบคู่ไปกับการออกมาให้ข้อมูลฟ้องประชาชนคนไทย เพราะก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.เคยเตือนรัฐบาลเกี่ยวกับโครงการจำนำข้าวว่าจะก่อให้เกิดความสูญเสียด้านงบประมาณมหาศาลถึงสองครั้งสองครา แต่รัฐบาลก็ไม่นำพาเดินหน้าจนมาถึงวันนี้ยอมรับกันอย่างไม่รู้สึกผิดบาปว่าใช้เงินไปแล้วกว่า 5 แสนล้าน ขาดทุนไปจิ๊บ ๆ แค่กว่า 2 แสนล้านบาทเท่านั้นเอง !
มาถึงเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ก็มาอีหรอบเดียวกันคือ รัฐบาลกระสันใช้เงินโดยไม่คำนึงถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ หรือภาระหนี้ที่จะเกิดขึ้นกับคนไทย นอกจากดึงดันใช้เสียงข้างมากผลักดันให้ได้ตามเป้าหมายของตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทั้ง ๆ ที่โครงการรถไฟความเร็วสูงที่นายกรัฐมนตรีบอกอย่างภาคภูมิใจว่าจะทำให้อาหารสด ไม่เน่านั้น ต้องใช้เงินมากถึงเกือบ 8แสนล้านบาท แต่ทุกโครงการที่รัฐบาลกำหนดเส้นทางแบบหางกุดไว้คือ กทม.-นครราชสีมาไม่ถึงหนองคาย ถึงหัวหิน ไม่ถึงปาดังเบซาร์ แต่ดันไปเพิ่ม กทม.-เชียงใหม่ที่เขามีการศึกษาว่าผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมีความคุ้มค่าน้อยเพราะไม่ได้เชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นผลการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)กระทรวงคมนาคมในปี 2553 หรือ ผลการศึกษาของจีน ไม่เว้นแม้กระทั่งผลการศึกษาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เองในโครงการ Thailand 2020 ต่างก็ระบุตรงกันว่า ผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ หรือ EIRR ของ กทม.-เชียงใหม่ นั้นมีความคุ้มค่าต่ำกว่าเส้นทาง กทม.-หนองคาย
จึงเกิดคำถามมากขึ้นว่า แล้วทำไมรัฐบาลเลือกที่จะทำโครงการที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจน้อย แต่ตัดเส้นทางที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากกว่าอย่าง กทม.-หนองคายทิ้ง
การเสกตัวเลขใหม่จึงเกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ล่าสุดในการประชุมกรรมาธิการฯเงินกู้ 2 ล้านล้าน สนข. หอบเอกสารชุดใหม่มาชี้แจงเมื่อวันที่ 22 พ.ค.56 มีตัวเลขที่น่าตกใจว่า เส้นทางรถไฟความเร็วสูง กทม.-เชียงใหม่ มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ 13.38 % สุงกว่า กทม.-หนองคายถึง 1.17 % โดยมีการกดตัวเลขผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของเส้นทางนี้อยุ่ที่ 12.21 % เท่านั้น
ซึ่งถือว่าแตกต่างจากผลการศึกษาเดิมของ สนข.ที่เคยทำไว้ในปี 2553 โดยสิ้นเชิง เพราะผลการศึกษาครั้งนั้นมีการระบุตัวเลขผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเส้นทาง กทม.-หนองคาย ไว้ที่ 17.76 % ส่วน กทม.-เชียงใหม่ อยู่ที่ 13.58 %
คำถามคือทำไมผลการศึกษาครั้งใหม่ของ สนข.ตัวเลขผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของเส้นทาง กทม.-หนองคาย จึงถูกหั่นลงถึง5.55 % คือจาก 17.76 % เหลือแค่ 12.21 % เท่านั้น ในขณะที่เส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ลดลง 0.2 % คือจาก 13.58% ลดลงเหลือ 13.38 %
ถ้าเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่มีความเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ 0.2 % แล้วอะไรทำให้เส้นทาง กทม.-หนองคาย มีความเปลี่ยนแปลงมากถึง 5.55 % ไม่มีอะไรเป็นคำตอบได้ดีเท่ากับเป็นการปรับตัวเลขใหม่เพื่อให้เส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ที่รัฐบาลต้องสร้างให้ได้ มีคำอธิบายว่าให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่คุ้มค่ากว่าเส้นทาง กทม.-หนองคายเท่านั้น
การตกแต่งตัวเลขสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่ต่างอะไรกับการสร้างเปลือกสีสวยห่อหุ้มตัวผู้นำหญิงเอาไว้
แต่สุดท้ายก็ปิดไม่สนิท เพราะความฟอนเฟะ เน่าใน ส่งกลิ่นจนเหม็นไปทั้งเมือง กระทั่งชุดสวยก็ยังไร้ความหมาย เนื่องจากความตายซากกำลังปรากฏให้ผู้คนได้เห็นประจักษ์ในความเป็นจริงมากขึ้น
การประกาศจุดยืนของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยพิจารณาร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย กรณ์ จาติกวนิช รองหัวหน้าพรรค ที่ขีดเส้นตายให้รัฐบาลส่งข้อมูลเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ที่มีการหมกเม็ดเอาไว้ภายในวันที่ 3 มิถุนายนนี้
ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ร่วมสังฆกรรมกับการลากพาประเทศเป็นหนี้ยาวนาน 50 ปี ใช้ทั้งต้นทั้งดอกกันหัวบานไปยันรุ่นเหลนถึง 5.16ล้านล้านบาท
น่าจะเป็นเครื่องยืนยันต่อสังคมไทยที่ชัดเจนอีกกรณีหนึ่ง ถึงความไร้ธรรมาภิบาลของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เคยโจมตีคนอื่นมาวันนี้กลายเป็น “แชมป์สร้างหนี้” ให้ประเทศเรียบร้อยไปแล้ว
เพราะแค่ลำพังการออกกฎหมายพิเศษเพื่อกู้เงิน ยังไม่ถึงสองปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ทำสถิติการกู้ถึง 2.4 ล้านล้านบาท จากการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ 5 หมื่นล้านบาท และล่าสุดที่กำลังจะทำคลอดกันอยู่ในขณะนี้คือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท
อาจเรียกได้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ถนัดในการปั้นตัวเลขความจำเป็นในการกู้เงิน แต่ไม่มีความจริงให้กับประชาชน
เริ่มตั้งแต่ พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีอะไรเป็นมรรคเป็นผล เนื่องจากเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนดไม่ได้จูงใจที่จะดึงดูดให้เอกชนเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ไร้ความคืบหน้า
จนกระทั่งรัฐบาลแอบโยกวงเงินไปใช้ในการจำนำข้าวแทน ในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะครั้งล่าสุดช่วงต้นปีที่ผ่านมา
สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มีการวิเคราะห์ที่แม่นยำมากเพียงพอในการใช้เงิน เพราะการออก พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัตินั้น มีผลบังคับใช้มากว่า 1 ปี แต่กลับไม่มีความคืบหน้าในการทำงาน และทำท่าว่าอาจจะใช้จริงเพียงแค่ 3 พันล้านบาท จากตัวเลขที่มีการให้ข่าวเอาไว้
เท่ากับว่ารัฐบาลประเมินผิดพลาดในเรื่องกรอบวงเงินที่ต้องใช้สำหรับเรื่องนี้ไปถึง 4.7 หมื่นล้านบาท แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องดีที่สามารถประหยัดเงินได้ 4.7 หมื่นล้านบาท เพราะแม้ยอดหนี้ส่วนนี้จะลดลง รัฐบาลก็นำไปต่อยอดโยกเอาวงเงินสร้างหนี้ก้อนใหม่เพื่อรองรับการจำนำข้าวแทน
หมายถึงว่า รัฐบาลพร้อมเล่นแร่แปรธาตุโยกเงินแผ่นดินกันเป็นว่าเล่น เพื่อรองรับนโยบายประชานิยมบ้าคลั่งของตัวเองได้ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้การตรวจสอบการใช้จ่ายของรัฐบาลทำได้ยากมากยิ่งขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้นเงินกู้ 3.5 แสนล้านก็ฉาวโฉ่อย่างหนัก ถึงขนาดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ต้องแจกเอกสารฟ้องสังคมถึงความไม่ชอบมาพากลในการเปิดช่องโกงกันอย่างโจ๋งครึ่มในโครงการที่ไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้ แต่วางเงินแผ่นดินก้อนมโหฬารให้ต่างประเทศมาตัดเค๊กแบ่งกันอย่างไม่อายฟ้าดิน
ปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ที่นิยมการสวมบท พญามังราย ก็ออกแบบทีโออาร์ที่หละหลวม ทั้งการรวมสัญญาเดียวให้บริษัทเอกชนทำทุกอย่างตั้งแต่เวนคืนที่ดินไปจนถึงการก่อสร้าง เปิดช่องให้มีการเหมาช่วง กำหนดเงินประกันสูงสุดว่ารัฐบาลจะไม่จ่ายเพิ่มหากค่าใช้จ่ายเกินกว่าวงเงินประกัน จน ป.ป.ช.ต้องออกมาเตือนว่า จะเกิดปัญหาทิ้งงาน ทำให้เกิดเขื่อนร้างได้ในอนาคต
แต่ก็เชื่อว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์คงไม่นำพากับเสียงเตือนของ ป.ป.ช. ที่มีการส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการควบคู่ไปกับการออกมาให้ข้อมูลฟ้องประชาชนคนไทย เพราะก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.เคยเตือนรัฐบาลเกี่ยวกับโครงการจำนำข้าวว่าจะก่อให้เกิดความสูญเสียด้านงบประมาณมหาศาลถึงสองครั้งสองครา แต่รัฐบาลก็ไม่นำพาเดินหน้าจนมาถึงวันนี้ยอมรับกันอย่างไม่รู้สึกผิดบาปว่าใช้เงินไปแล้วกว่า 5 แสนล้าน ขาดทุนไปจิ๊บ ๆ แค่กว่า 2 แสนล้านบาทเท่านั้นเอง !
มาถึงเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ก็มาอีหรอบเดียวกันคือ รัฐบาลกระสันใช้เงินโดยไม่คำนึงถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ หรือภาระหนี้ที่จะเกิดขึ้นกับคนไทย นอกจากดึงดันใช้เสียงข้างมากผลักดันให้ได้ตามเป้าหมายของตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทั้ง ๆ ที่โครงการรถไฟความเร็วสูงที่นายกรัฐมนตรีบอกอย่างภาคภูมิใจว่าจะทำให้อาหารสด ไม่เน่านั้น ต้องใช้เงินมากถึงเกือบ 8แสนล้านบาท แต่ทุกโครงการที่รัฐบาลกำหนดเส้นทางแบบหางกุดไว้คือ กทม.-นครราชสีมาไม่ถึงหนองคาย ถึงหัวหิน ไม่ถึงปาดังเบซาร์ แต่ดันไปเพิ่ม กทม.-เชียงใหม่ที่เขามีการศึกษาว่าผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมีความคุ้มค่าน้อยเพราะไม่ได้เชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นผลการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)กระทรวงคมนาคมในปี 2553 หรือ ผลการศึกษาของจีน ไม่เว้นแม้กระทั่งผลการศึกษาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เองในโครงการ Thailand 2020 ต่างก็ระบุตรงกันว่า ผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ หรือ EIRR ของ กทม.-เชียงใหม่ นั้นมีความคุ้มค่าต่ำกว่าเส้นทาง กทม.-หนองคาย
จึงเกิดคำถามมากขึ้นว่า แล้วทำไมรัฐบาลเลือกที่จะทำโครงการที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจน้อย แต่ตัดเส้นทางที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากกว่าอย่าง กทม.-หนองคายทิ้ง
การเสกตัวเลขใหม่จึงเกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ล่าสุดในการประชุมกรรมาธิการฯเงินกู้ 2 ล้านล้าน สนข. หอบเอกสารชุดใหม่มาชี้แจงเมื่อวันที่ 22 พ.ค.56 มีตัวเลขที่น่าตกใจว่า เส้นทางรถไฟความเร็วสูง กทม.-เชียงใหม่ มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ 13.38 % สุงกว่า กทม.-หนองคายถึง 1.17 % โดยมีการกดตัวเลขผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของเส้นทางนี้อยุ่ที่ 12.21 % เท่านั้น
ซึ่งถือว่าแตกต่างจากผลการศึกษาเดิมของ สนข.ที่เคยทำไว้ในปี 2553 โดยสิ้นเชิง เพราะผลการศึกษาครั้งนั้นมีการระบุตัวเลขผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเส้นทาง กทม.-หนองคาย ไว้ที่ 17.76 % ส่วน กทม.-เชียงใหม่ อยู่ที่ 13.58 %
คำถามคือทำไมผลการศึกษาครั้งใหม่ของ สนข.ตัวเลขผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของเส้นทาง กทม.-หนองคาย จึงถูกหั่นลงถึง5.55 % คือจาก 17.76 % เหลือแค่ 12.21 % เท่านั้น ในขณะที่เส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ลดลง 0.2 % คือจาก 13.58% ลดลงเหลือ 13.38 %
ถ้าเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่มีความเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ 0.2 % แล้วอะไรทำให้เส้นทาง กทม.-หนองคาย มีความเปลี่ยนแปลงมากถึง 5.55 % ไม่มีอะไรเป็นคำตอบได้ดีเท่ากับเป็นการปรับตัวเลขใหม่เพื่อให้เส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ที่รัฐบาลต้องสร้างให้ได้ มีคำอธิบายว่าให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่คุ้มค่ากว่าเส้นทาง กทม.-หนองคายเท่านั้น
การตกแต่งตัวเลขสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่ต่างอะไรกับการสร้างเปลือกสีสวยห่อหุ้มตัวผู้นำหญิงเอาไว้
แต่สุดท้ายก็ปิดไม่สนิท เพราะความฟอนเฟะ เน่าใน ส่งกลิ่นจนเหม็นไปทั้งเมือง กระทั่งชุดสวยก็ยังไร้ความหมาย เนื่องจากความตายซากกำลังปรากฏให้ผู้คนได้เห็นประจักษ์ในความเป็นจริงมากขึ้น