อดีตแกนนำแดงหนีคดีหมิ่นเบื้องสูง โพสต์เฟซบุ๊กอ้างอยากกลับบ้านใจจะขาดแต่งานเพิ่งเริ่มต้น เหน็บ “วสิษฐ” ดิ้นพล่านสถาบัน-ปชช.ถูกรังแกเหมือนฆาตกรเปลี่ยนบุคลิก ไม่วายแอบกัดจิกเปรียบไทยเหมือนบริษัท พี่น้องทะเลาะหลังพ่อป่วย แต่กลับเลือกข้าง-กำจัดคนที่พ่อฟันธงว่าไม่ใช่ลูก ชี้กำลังเสียเปรียบ
วันนี้ (26 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.44 น. นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้พิมพ์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก “จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair” ระบุว่า “เมื่อคืนผมเดินทางไปยังกรุงพนมเปญ กัมพูชา เพื่อร่วมงานแต่งงานของลูกชายสมาชิกรัฐสภา เสี่ยง นำ และลูกสาวของครอบครัววงศ์สวัสดิ์ ผู้คนก็มากมาย งานก็ออกมาใหญ่โตสวยงามตามความคาดหมาย ผมพบพรรคพวกมากมายหลายท่านทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นรอง ซึ่งกรุณาถามผมแบบคนคิดถึงกันว่าเมื่อไหร่จะกลับบ้านเสียทีเล่า บางท่านสั่งเลยว่ากลับได้แล้ว บ้านเมืองรอให้ไปช่วยกันทำงานรับใช้อยู่ ผมก็ถามกลับไปอย่างสนิทสนมกันว่า ที่ถามอย่างนี้เพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์การเมืองไทยแท้ๆ เป็นอย่างไร หรือเพราะท่านทั้งหลายทำใจแล้วว่าเมืองไทยเราจะไม่ดีไปกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ จึงจะให้ผมกลับไปรับสภาพกึ่งเมืองขึ้นที่รัฐบาลและขบวนการประชาชนเผชิญอยู่ ผมบอกกับพี่ๆ และเพื่อนๆ ที่ได้พบกันว่าผมอยากกลับบ้านใจจะขาด ใครจะไม่อยากกลับไปสู่รากเหง้าของเราเองซึ่งที่ไหนในโลกก็ไม่มี แต่งานของเรายังเพิ่งเริ่มต้น จะให้ละทิ้งไปได้อย่างไร ทุกคนรู้นี่ครับว่าการเปลี่ยนแปลงแนวคิดขั้นพื้นฐานในเมืองไทยไม่สามารถทำได้ในประเทศไทย และสถานการณ์ปัจจุบันไม่อาจแก้ได้โดยชนะเลือกตั้งอีกร้อยรอบ อยากรู้ว่าเมืองไทยอยู่ตรงไหนในทางการเมืองและโครงสร้างสังคมก็ดูได้ไม่ยาก ดูตรงการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการออกกฎหมายนิรโทษกรรมก็แจ่มแจ้งนักแล้ว ก็แค่ปวงชนชาวไทยจะขอให้รัฐบาลที่เขาเลือกมากับมือช่วยแก้ไขความไม่เป็นธรรมที่ฝ่ายตรงข้ามสร้างเป็นปมขึ้นมา คนที่ควรสงบแล้วขนาดคุณวสิษฐ เดชกุญชร ยังต้องดิ้นพล่านออกมาตะโกนว่า เจ้าข้าเอ๊ย! สถาบันฯ ถูกรังแก! ประชาชนถูกรังแก! ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายกุมอำนาจที่แท้จริงในรัฐไทย ถ้าผมเขียนการ์ตูนเป็น ผมว่าจะเขียนภาพฆาตกรที่มีอาวุธครบมือเดินอาดๆ เข้ามา พอถูกเด็กขัดขาจนเซไปหน่อยก็ออกอาการเปลี่ยนบุคลิกไปเลย ตะโกนด้วยเสียงอันแหลมเล็กว่า “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! อย่างน่าสงสารสำหรับคนที่ไม่รู้ความจริง (หรือรู้ดีแต่ไม่ยอมมอง)
การสร้างหรือปรับกลยุทธ์ของรัฐไทยจึงไม่ใช่เรื่องหลักของไทย เรามีปัญญาที่ไม่ต่างจากใครในโลกนักหรอกครับ แต่ปัญหาไทยอยู่ที่ “กรรมสิทธิ์ในรัฐ” ต่างหาก ขณะนี้สภาพของเราคล้ายบริษัทครอบครัวที่ประสบความสำเร็จมาตลอดเวลานับร้อยปี แต่พี่น้องเกิดทะเลาะกันหลังพ่อล้มป่วยลง เราก็เกิดทุ่มเถียงกันว่าใครจะเป็นผู้กุมบังเหียนบริษัท ในขณะที่คู่แข่งปรับตัวเอาๆ จนบริษัทคู่แข่งที่เราเคยเหยียดหยามว่ากระจอกที่สุดก็โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้แล้ว เราจูงมือกันไปหาพ่อเพื่อให้พ่อตัดสิน พ่อก็ไม่ตัดสิน แถมยังเข้าข้างฝ่ายหนึ่งมาร่วมต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่งเสียด้วย เราเคยนึกว่าพ่อเลือกอย่างนั้นเพราะพ่อคิดว่าเราไม่ดี เราเคยคิดแบบคนเป็นลูกว่าเราคงเลวเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลักฐานก็ชัดเจนขึ้นว่าวิธีคิดของพ่อมิได้เป็นเช่นนั้นเลย พ่อเลือกเข้าข้างคนที่พ่อถือว่าเป็นลูก และส่งสัญญาณให้กำจัดคนที่พ่อฟันธงลงมาแล้วว่าไม่ใช่ลูก เพราะพ่อร่วมประโยชน์อยู่กับลูกคนนั้น เกมนี้จึงไม่มีกรรมการ มีแต่ผู้เล่น คนที่นั่งคอยนอนคอยให้กรรมการจุติลงมาเกิดเพื่อดับทุกข์เข็ญในห้วงหลายปีที่ผ่านมานั้น บัดนี้เหงือกแห้งกันไปหมดแล้ว
ผมนำมาเทียบกับบริษัทเพื่อให้เห็นประเด็นกรรมสิทธิ์ได้โดยง่าย แต่ผมรู้ครับว่ารัฐมิใช่บริษัท ใครที่คิดว่ารัฐกับบริษัทเหมือนกันและมีศักดิ์ที่เท่ากันคนนั้นคิดผิด บริษัทมีหน้าที่แข่งขันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเกือบทั้งหมดก็เป็นไปเพื่อกำไรสูงสุด แต่รัฐมีภารกิจที่เหนือไปกว่านั้น คือทำให้คนในรัฐผาสุก ได้รับสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่ และทำให้คนค้ากำไรและไม่ค้ากำไรอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องคิดฆ่ากัน แต่เราใช้สัญลักษณ์บริษัทครอบครัวมามองการเมืองไทยในขณะนี้ได้ เผื่อบางท่านอาจงงอยู่จนถึงทุกวันนี้ว่าเขาทะเลาะอะไรกัน จน อะ เกาหลี กลายเป็น เดอะ เกาหลี ไปแล้ว”