"ปานเทพ" ตอบทุกข้อสงสัยปัญหาสุขภาพ ผ่านทางรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"
เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 56 นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ติดภารกิจอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทางรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จึงได้เชิญ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ โดยมีนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และ นางสาวกาญจนา ทัพจีน เป็นผู้ดำเนินรายการ
คำต่อคำ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ศุกร์ที่ 24 พ.ค. 2556
ช่วงที่ 1
จินดารัตน์ - สวัสดีค่ะ ต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่รายการก่อนอะไรคะ
กาญจนา - คุยทุกเรื่องกับสนธิพี่แอน
จินดารัตน์ - เอ๊ะอะไรรู้เปล่า คือเวลาแบบมีเรานั่งแล้ว เจ้าของรายการเปลี่ยนไป เราจะรู้สึกแปลกๆ นะ นี่ไม่ได้มุขนะ เมื่อกี้เอ๊ะจะไปก่อนถึงจันทร์หรือจะอะไรอย่างไร
กาญจนา - คุยทุกเรื่องกับสนธิค่ะ
จินดารัตน์ - วันนี้จะผ่านใครบางคนผ่านอาจารย์ปานเทพ พงษ์พัวพันธ์
ปานเทพ - สวัสดีครับ
จินดารัตน์ - แอนไม่ได้มุขนะเมื่อสักครู่
ปานเทพ - สับสน
จินดารัตน์ - พอหันไปไม่ใช่คุณสนธินะ แต่วันนี้ได้รับมอบหมายหน้าที่จากเจ้าของรายการตัวจริง ซึ่งติดภารกิจอยู่ที่สหรัฐอเมริกา คุณสนธิไปคุยทุกเรื่องนอกรอบกันกับพันธมิตรฯ ที่สหรัฐฯ นะคะ ก่อนที่จะไปพูดถึงคุณสนธิว่าไปที่ไหนอย่างไรบ้าง ขออนุญาตอาจารย์ปานเทพนิดนึงนะคะ วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 วันนี้คงจะเป็นอีกวันนึงที่พุทธศาสนิกชนจะให้ความสำคัญอย่างยิ่งใช่ไหมคะน้องจุ๊ เพราะปีนี้เป็นปีที่
กาญจนา - ปีที่พุทธชยันตี 2,600 ปี ก็เชื่อว่าหลายๆ คนทำบุญตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว
จินดารัตน์ - งั้นค่ำคืนวันนี้เราจะมีแต่เรื่องดีๆ มามอบให้ โดยผ่านอาจารย์ปานเทพนะคะ ซึ่งตอนนี้เขาเรียกว่าอะไรนะคะ อาจารย์ปานเทพ หมอปานเทพ
กาญจนา - นักวิทยาศาสตร์ด้วย
จินดารัตน์ - เห็นอุปกรณ์แล้วตกใจ จะมาทดลองทดสอบให้ดู เพราะว่าหลังๆ มานี่ คอร์สล้างพิษตับโดนคนโน้นคนนี้มาใส่ไฟกันเยอะ เพราะฉะนั้นเลยต้องมาชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งเวลาอาจารย์ปานเทพชี้แจงไปทีไรเขาเงียบหายกันไปพักนึง แล้วนึกขึ้นได้ก็กลับมาหาเรื่องใหม่
กาญจนา - กลับมาหาเรื่องใหม่ และข้อมูลไม่ได้ไปสืบไปค้นมา แต่ว่ามีธงว่า เอ้ยมันเป็นเรื่องที่ไม่จริงหรือเปล่า แต่เวลาที่อาจารย์ตอบข้อมูลกลับไปก็เงียบไปแบบที่พี่แอนบอก
จินดารัตน์ - หายไป หายไปพักนึงไปตั้งตัวก่อน แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องนั้น แอนขออนุญาตคุณผู้ชมนะคะ อันนี้น้องจุ๊บอกรายละเอียดนิดนึง
กาญจนา - รายละเอียดนะคะ อันนี้เป็นล็อกเก็ตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จัดสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2528 นะคะ ในวาระวันประสูติเมื่อช่วงวันที่ 2 และ 3 ตุลาคม ตอนนี้ครบ 72 ชันษา ด้านหน้าจะเป็นพระฉายาลักษณ์ ด้านหลังติดชันโรงพร้อมจีวรย้ำลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชนะคะ อันนี้มีจำนวน 80 องค์ คุณผู้ชมที่สนใจและศรัทธา สามารถที่จะเช่าได้ในราคา 5,000 บาท ซึ่งรายได้จะมอบให้กับเอเอสทีวี ซึ่งใครที่สนใจนะคะ อันนี้รบกวนติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ของเอเอสทีวี ที่อาคารบ้านเจ้าพระยา หรือจะโทรศัพท์ไปสอบถามรายละเอียดที่เบอร์ 02-629-2948 อีกครั้ง 629-2948
จินดารัตน์ - อันนี้คือด้านหลังที่ติดชันโรง และพร้อมจีวร
กาญจนา - อันนี้จัดสร้างตั้งแต่ปี 2528
จินดารัตน์ - 80 องค์เท่านั้น
ปานเทพ - ขออนุญาตเสริมนิดนึงนะครับ เพราะว่าปี 2528 อันนั้นเป็นปีที่ครบรอบ 72 ชันษาของสมเด็จพระสังฆราช แต่ว่าที่น่าสนใจก็คือ มีความน่าประทับใจ เพราะว่าเหรียญชิ้นนี้ท่านคุณผู้ชมอาจจะไม่เห็นว่า ข้างในเป็นอย่างไร คือด้านหลังเป็นจีวร ให้ดูนิดนึงทางนี้ละกันนะครับ ด้านหลังเป็นชันโรง และจีวรของสมเด็จพระสังฆราช และถ้าท่านผู้ชมเห็นมีตัวอักษรมีลายเขียนเป็นลายพระหัตถ์โดยตรงของสมเด็จพระสังฆราช เพียงเท่านี้ก็ถือว่าหายากมาก ท่านอาจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ได้กรุณามามอบให้เพื่อให้เอเอสทีวีมีความสามารถที่จะอยู่ต่อไปได้นะครับ แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากแต่ก็ถือว่า ให้ท่านผู้ชมมีโอกาสเป็นเจ้าของได้ และก็ท่านผู้ชมสามารถมาที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์เอเอสทีวีได้ หรือโทรศัพท์มาสอบถามก็ได้นะครับ มีจำนวนจำกัดมากๆ คือแค่ 80 องค์เท่านั้น
จินดารัตน์ - ใช่ค่ะ ต้องมาด้วยตัวเองจะลำบากนิดนึง แต่ว่าถ้ารีบมาจะได้รับไป เพราะว่าตอนนี้มีคนสนใจเยอะ และปีนี้ก็ครบ 100 ปี ของพระองค์ท่านด้าน เอาละค่ะจากเรื่องนี้เราจะไปเรื่องของคุณสนธิ อยู่ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อกลางๆ สัปดาห์ก็ไปพูดที่นิวยอร์ก มีภาพมาให้ดูด้วยนะคะ ร้านศรีประไพ ที่นิวยอร์กก็จัดงานให้พันธมิตรฯ ทุกครั้ง ที่มีแกนนำเดินทางไปปราศรัยที่นั้น ปรากฏว่าไปพี่น้องเราไปมากันเกือบ 200 คน
กาญจนา - 300 คนได้นะพี่แอน คึกคักกันอย่างภาพที่เราเห็น ก็มาร่วมกันในงานคุยทุกเรื่องกับสนธิสัญจรนะคะ และแน่นอนเวลาทุกครั้งที่ไปพบปะเจอพี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคนมีน้ำจิตน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือเอเอสทีวี รวมถึงกองทุนช่วยเหลือสู้คดีด้วย โดยที่พ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ นิวยอร์กเขารวบรวมเงินบริจาคให้เอเอสทีวีจำนวน 10,920 เหรียญสหรัฐ และมีอีกส่วนหนึ่งที่มอบให้กับทางกองทุนสู้คดีจำนวน780 เหรียญสหรัฐด้วยค่ะ
จินดารัตน์ - ขอบคุณพ่อแม่พี่น้องด้วยนะคะ ที่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา และจะเดินทางไปอีกหลายเมือง เพราะฉะนั้นเราก็จะมีภาพมาให้ชมกัน สัปดาห์หน้าคุณสนธิจะกลับมาจัดรายการปกตินะคะ สัปดาห์นี้เราเรื่องสุขภาพล้วนๆ บอกแล้วได้รับมอบหมายแบบนี้
ปานเทพ - เป็นตัวสำรองไปก่อน
จินดารัตน์ - คุยทุกเรื่องกับสนธิผ่าน อาจารย์ปานเทพ พงษ์พัวพันธ์ ต้องถามก่อนที่อาจารย์ปานเทพจะเล่าให้ฟัง เรื่องราวเป็นอย่างไร เราจะมีวิธีพิสูจน์ความจริงในการล้างพิษตับผลดีที่เกิดขึ้นอย่างไร นี่ต้องถามคนนี้ค่ะ อาจารย์ปานเทพคนนี้เขาเพิ่งกลับจากสมุยเป็นอย่างไรบ้างน้องจุ๊
กาญจนา - 6 วันเลยนะคะพี่แอน สำหรับคอร์สล้างพิษตับไปที่ธัญญะสมุยของพี่กอบ คืออาการตอนแรกก่อนจะไปต้องบอกก่อนว่า สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง แต่ว่าเวลาที่สุขภาพไม่แข็งแรงเวลาที่เรารักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันที่ชัดๆ เลยคือ ต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่องโดยที่เราอาจจะยังไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วถ้าเราหยุดยาเราก็อาจจะไม่เจ็บก็ได้ ซึ่งจริงๆ เป็นแบบนั้นนะคะพี่แอน พอได้เข้าคอร์สล้างพิษตับ สิ่งหนึ่งที่มันเห็นได้ชัดเจนคือ จุ๊หยุดยาได้โดยที่จุ๊ไม่เป็นอะไร ไม่ปวดหัวเข่า รวมไปถึงอาการทั่วไปตาที่เคยแดง ที่เคยเข้าใจว่า เป็นเพราะใส่คอนแทคเลนส์ตลอดเวลา และก็อาจจะนอนดึกขยี้ตาบ้างจริงๆ ไม่ใช่ พี่กอบอธิบายว่า เป็นเพราะว่า ตับร้อน พักผ่อนไม่เพียงพอ ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ด้วย
จินดารัตน์ - น้องจุ๊อาการเจ็บป่วยคือ ปวดหัวเข่า
กาญจนา - อาการปวดหัวเข่า เพราะว่าข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย
จินดารัตน์ - แล้วแพทย์แผนปัจจุบันเขาบอกเป็นโรคอะไรคะ
กาญจนา - แพทย์แผนปัจจุบันบอกว่า เป็นข้อเข่าเสื่อมค่ะพี่แอน วิธีของเขาก็คือ ให้บริหารหัวเข่ายกหัวเข่าที่กำหนด และทานยา แต่ยาก็คือเป็นยาแรง และอีกโรคนึงก็คือ เอสแอลอีก็เป็นยาแรงอีกเหมือนกัน แพ้ภูมิตัวเอง
จินดารัตน์ - แพ้ภูมิตัวเอง หรือที่เรารู้จักกันโรคพุ่มพวง ใช่ไหมคะ เป็นมานานหรือยัง
กาญจนา - น่าจะประมาณปีนึงนะคะที่อาการเริ่มเห็น เพราะปกตินี่ก็ใช้ชีวิตแบบไม่ออกกำลังกาย ทานอาหารพอทานไม่อ้วนก็เลยทานทุกอย่างค่ะ แล้วอันตรายมาก เห็นผังออกมาแล้วโอ้โหกลับมานี่ระวังขึ้นเยอะเลยค่ะ
จินดารัตน์ - แต่โรคที่หนูเป็นที่บอกกินแล้วไม่อ้วน แล้วกินทุกอย่าง พี่กินแล้วอ้วนพี่ก็กินทุกอย่างเมื่อก่อน
ปานเทพ - แล้วเป็นอย่างไรครับ ฝ้าหายไป
กาญจนา - ฝ้าหายไปค่ะ คือมีฝ้าบางๆ คือหน้าจะเป็น ก็เข้าใจอีกว่า เป็นฝ้าจากสปอร์ตไลท์เวลาเรานั่งอ่านข่าว ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่อีก
ปานเทพ - เป็นปัญหาที่ตับ
กาญจนา - ฝั่งนี้หายไปเลย และฝั่งนี้จางลง
ปานเทพ - หายไปเลยใช่ไหมครับ
กาญจนา - หายไปเลย ยังคุยกับพี่กอบเลยว่า ฝ้าหนูหายไปจริงๆ หนูไม่ได้อำ พี่กอบบอกว่าจริง เพราะว่าตัวพี่กอบเองก็ฝ้าหายไปทั้งหมดเหมือนกัน
จินดารัตน์ - และกลับมาไม่ปวดเลิกกินยา
กาญจนา - คือไม่ปวดตลกมากตรงที่ปกติถ้านั่งขัดสมาธิสักประมาณ 10 นาที ต้องเปลี่ยนท่าเพราะว่า มันจะแรงเหมือนเสียวๆ รู้สึกในหัวเข่า
จินดารัตน์ - เหมือนมันเสียดสีกัน
กาญจนา - ใช่ค่ะ เหมือนข้อเข่ากระดูกมันชนกัน เพราะว่าน้ำในข้อต่อมันหายไปแล้ว เคยเอ็กซเรย์ดูแต่ว่าไปช่วยพี่กอบและพี่ๆ คนอื่นๆ นั่งพับผ้าเช็ดมือที่ธัญญะสมุยนั่งพับคุยเล่นไปเป็นชั่วโมงนะคะ
ปานเทพ - ไม่เป็นอะไรเลย
กาญจนา - จนพี่กอบถามว่า จุ๊ไม่ปวดเข่าแล้วหรอ จุ๊ต้องบอกไปเลยว่า จุ๊ลืมจริงๆ ไม่ปวดเข่าแล้ว
จินดารัตน์ - กลับมาก็เลิกทานยาเลย
กาญจนา - เลิกทานเลยค่ะพี่แอน
จินดารัตน์ - แล้วเปลี่ยนอาหารการกิน
กาญจนา - ใช่ค่ะ เปลี่ยนอาหารก็ตั้งแต่ตอนก่อนที่จะไปที่อาจารย์ปานเทพแนะนำว่า ทานผักให้เยอะขึ้น และลดเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด ถ้าเลิกได้ก็จะดี
จินดารัตน์ - ก็ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไรนะคะ คือต้องไปเจอด้วยตัวเอง อาจารย์ปานเทพอย่างหลายคนที่เขาบอกว่า จริงหรอ คือนั่งสงสัยอยู่ที่บ้าน แต่ไอ้อาการปวดก็กินยาไปเรื่อยๆ แต่นั่งสงสัยว่า คนที่เขาไปเขาหายจริงหรือเปล่า เรามีตัวอย่างให้ดูตั้งมากมายว่า เขาหายจริง อาการที่เขาเลิกกินยาอย่างไรๆ
ปานเทพ - เยอะมาก คนหลายคนที่อาการดีขึ้นจากอาการเจ็บป่วยพื้นฐาน ไม่ว่าปวดข้อ หรือว่าปวดหลังบางคนหายด้วยเรื่องง่ายๆ ด้วยการดื่มน้ำด่างเฉยๆ ปรับสภาพความเป็นกรดลงในร่างกายแค่นี้ก็ฟื้นขึ้นหลายคนแล้วนะครับ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องล้างพิษตับที่มีโรคเรื้อรังหลายชนิดที่มีอาการดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นโรคไวรัส ตับอักเสบดี ซึ่งมีคนไทยเป็นเยอะ และหายไปอย่างมีนัยสำคัญจนหายขาดเลยก็มี โดยเฉพาะอย่างเช่น อาจารย์แก่นฟ้า แสนเมือง ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการหลักสูตรล้างพิษตับเป็นผู้บุกเบิกหายป่วย และอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็นคุณชัชชัยที่อาการดีขึ้นจากภาวะไวรัสตับอักเสบดี มีแบบผลตรวจทางการแพทย์ในทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนมาก ยังไม่รับโรคนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งทั้งในสถิติทั้งในประเทศ และต่างประเทศจำนวนมาก เขาไปค้นพบมาว่า มีอาการดีขึ้นแบบเป็นรูปธรรม คือสามารถตรวจวัดด้วยอัลตร้าซาวด์ชัดเจน บางรายเคยมีอาการที่ต้องผ่าตัดอันนี้ชัดเจนว่า มีบางคนที่ต้องนัดคิวผ่าตัดแล้ว และก็ไปล้างพิษตับเสียก่อนที่สมุยอย่างเช่นบางคนนะครับ ปรากฏว่าตรวจอัลตร้าซาวด์อีกทีนึงหายไปเฉยๆ ไม่ต้องผ่าตัด คือคำว่าผ่าตัดนี่มันหมายถึงมันมีขนาดใหญ่แล้ว มีจำนวนมากแล้ว มันหายไปก็แสดงว่า เราน่าจะมาสืบค้นข้อเท็จจริงว่า ทำไมคนถึงหายป่วยได้เป็นจำนวนมากขนาดนี้ วันนี้ผมก็ได้มีโอกาสมาคุยเต็มๆ นะครับ นับเป็นหลายชั่วโมงใช่ไหมครับที่เราจะมีโอกาสได้คุยวันนี้
จินดารัตน์ - เอาสัก 5 ชั่วโมงเลยไหมคะ วันนี้ก็ไม่ต้องหลับต้องนอนกันเนอะ แต่แอนว่าคุณผู้ชมเราดูได้นะอย่าท้า
ปานเทพ - เพราะว่าข้อแรกเลย ผมขออนุญาตเริ่มต้นจากหนังสือที่ผมพิมพ์ขึ้นมานะครับ ตอนนี้พิมพ์ครั้งที่ 2 กำลังจะพิมพ์ครั้งที่ 3 แล้ว กินดื่มด่างล้างพิษตับ ซึ่งหลายท่านที่ซื้อเครื่องทำน้ำด่างได้ไปหมดแล้ว บางท่านที่ยังไม่ได้กรุณาติดต่อมาที่คอลเซ็นเตอร์ 02-633-5353 สำหรับคนที่ซื้อเครื่องทำน้ำด่างจะต้องได้ทุกเครื่อง ทุกเครื่องที่ซื้อได้ 1 เล่ม
จินดารัตน์ - ตอนนี้ทยอยส่ง
ปานเทพ - ทยอยส่งไปแล้วนะครับ ถ้าท่านผู้ชมอยากจะซื้อแบบนี้นะครับ ถ้ามีความรู้สึกว่าอยากจะสนับสนุนเอเอสทีวีมากหน่อย ไปโทรที่คอลเซ็นเตอร์ 02-633-5353 เช่นเดียวกันสามารถซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ รายได้ไม่ต้องไปหักค่าวางเชลล์ หรือว่าค่าวางชั้นหนังสือของตามร้านหนังสือต่างๆ แต่ถ้าท่านผู้ชมไม่มีทางเลือกอื่น และไม่สะดวก ก็สามารถไปได้ทั้งซีเอ็ด B2S ร้านนายอินทร์ ตอนนี้ก็มีจำหน่ายอยู่เช่นเดียวกัน
กาญจนา - กระแสตอบรับจากหนังสือดีมาก
จินดารัตน์ - คนทวงถามเยอะ ถ้าสมมุติว่าสั่งเครื่องทำน้ำด่างไปนานแล้ว รอหนังสือเอ๊ะยังไม่มาส่งหรือยังไง โทรไปที่คอลเซ็นเตอร์
ปานเทพ - โทรเลยนะครับ ผมไปเปิดตัวหนังสือสัปดาห์หนังสือแห่งชาติกับคุณแอนคือภาพที่ผมอยู่ในจอ จุดเล็กๆ จุดเดียวนะครับ ไม่ทราบว่าภาพจะทันไหม เป็นภาพที่ผมบอกว่า มีคนมาเข้าคิว เดี๋ยวผมให้ดูใหม่ละกัน เดี๋ยวผมให้ดูใหม่นิดนึง โอเคสักครู่นะครับ
จินดารัตน์ - มีคนไปเข้าคิวรอ
ปานเทพ - รอหนังสือหมายถึงว่า รอเซ็นหนังสือในวันที่สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่ผมจุดเล็กๆ ตรงปลายนี่นะครับ อยู่ด้านขวาหัวมุมนี่นะครับ
กาญจนา - บนขวาค่ะ
ปานเทพ - นั้นแหละครับ ผมเซ็นหนังสืออยู่ในวันนั้นมีคนรอเข้าคิวหนังสือเล่มนี้จากจุดที่ผมเซ็นลายเซ็นอยู่ ต่อเข้าคิวกันทุกคนจะหยิบหนังสือของผมคนละเล่ม สองเล่ม ยาวไปจนถึงด้านหลังเลยขึ้นบันไดนะครับ และไปไกลถึงไปรษณีย์ต่อคิวยาวเหยียดเลย เขาว่ากันว่าวันนั้นเป็นวันที่มีเพียงอาจจะคนหรือสองคนเท่านั้น ที่มีคิวยาวในการรอเซ็นแบบนี้ในการซื้อหนังสือ ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่งนะครับ ผมกำลังจะบอกให้เห็นว่า มันสะท้อนให้เห็นว่า คนกำลังแสวงหาแนวทางแพทย์ทางเลือกอย่างมาก เพียงเพราะว่าเขามีความรู้สึกว่า แพทย์แผนปัจจุบันอาจจะตอบสนองกับเขาไม่เพียงพอ หรือเป็นทางเลือกที่ไม่มากพอ ทำให้เขาสนใจแนวทางเลือกทางอื่น ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่หมอ ไม่ใช่เภสัชกรเลย แต่ว่าผมเป็นนักเขียนที่เป็นสื่อมวลชนที่คอยค้นหาข้อมูลบอกประชาชนเท่านั้น
จินดารัตน์ - ภาพนี้ถ่ายโดยแฟนรายการคนนึงที่เขาก็ตกใจ เขาเลยถ่ายเอาไว้ว่า เฮ้ยแถวยาวขนาดนี้เลยหรอ
กาญจนา - คิวแน่นมาก
จินดารัตน์ - แล้วพี่ยืนอยู่แถวนั้น จุ๊พี่อยู่แถวนั้น คนผ่านไปผ่านมาก็เอ๊ะใครมา ดาราเปล่าน้อง
กาญจนา - ทำไมคนถึงเยอะอย่างนี้
ปานเทพ - กราบขอบพระคุณมากนะครับ ที่สนับสนุนหนังสือเล่มนี้ และผมคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้ชมทุกท่านที่ได้อ่าน และเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้ชมที่เอาไปให้คนอื่นได้อ่าน
กาญจนา - แบ่งปันกัน
ปานเทพ - แบ่งปันความรู้ แบ่งปันข้อมูลที่ผมไปสืบค้นมา อีกประการหนึ่งที่ผมหยิบยกมา เพื่อเชิญชวนมาว่า ทำไมผมมาสนใจธรรมชาติบำบัดได้อย่างไร มันมีจุดเริ่มต้นจากการจุดประกายความคิด จากคนหลายคนนะครับ กลุ่มคนแรกคือ กลุ่มสันติอโศก กลุ่มชาวอโศกซึ่งนำโดยคุณหมอเขียว กลุ่มชาวอโศกโดยทั่วไปซึ่งมีแพทย์ทางเลือกจำนวนมากเลย เขามีตลาดปัญญาเราไม่เคยรู้เลยนะครับ ชุมนุมมาตั้งหลายปี เราไม่เคยรู้ว่าเขามีการระดมตลาดปัญญาที่มีองค์ความรู้ เพื่อการพึ่งพาตัวเองเป็นจำนวนมาก นี่คือคนกลุ่มแรกที่ผมได้ความรู้จากพวกเขานะครับ กลุ่มคนที่สองคือ จะมีคุณนิดา หงษ์วิวัฒน์ ที่จะมาจุดประกายความคิดเรื่องปัสสาวะบำบัด ว่ามันสามารถรักษาโรค รักษาแผลได้อะไรบ้าง ซึ่งเดี๋ยวนี้มีคนเอามาใช้กันเยอะ อันที่สามที่ผมคิอว่า เป็นการจุดประกายให้ผมเริ่มสนใจหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เพราะว่ามีคนหนึ่งชื่อ คุณหมอเจคอบ วาทักกันเชรีคุณหมอเจคอบมาบรรยายในเมืองไทยเพราะว่า ชาวอโศกนี่แหละเชิญมา ที่สันติอโศกในปีนั้นเป็นปี 2553 หน้าตาอย่างนี้นี่แหละครับ คุณหมอเจคอบ วาทักกันเชรี มีโรงพยาบาลที่อินเดีย 4 แห่ง ใน 4 แห่งของเขาไม่ใช้ยาเคมีเลย แต่รักษาคนในโรงพยาบาลด้วยวิธีการใช้ธรรมชาติบำบัดอย่างเดียว ประเทศไทยยังไม่มีนะครับ ถึงขั้นเป็นโรงพยาบาลธรรมชาติบำบัด แต่อินเดียมีโรงพยาบาลธรรมชาติบำบัดโดยเฉพาะ โดยปราศจากยาเคมี
วันนั้นคุณหมอเจคอบ วาทักกันเชรี พูดเนื้อหาได้น่าสนใจมาก เพราะว่าเป็นการจุดประกายที่ผมไปสืบค้นทางวิทยาศาสตร์ภายหลังว่า ทำไมคุณหมอเจคอบถึงได้อธิบายเรื่องเหล่านี้ คุณหมอเจคอบพูดเรื่องจากเริ่มต้นว่า มนุษย์ไม่ควรเป็นสัตว์กินเนื้อ ด้วยทางสรีระ ลักษณะฟัน ผิวหนังที่ไม่หยาบกร้านนิ่ม ไม่แข็ง นิ้วที่ไม่มีเล็บที่สามารถจะตะปบสัตว์ชนิดใดได้ ฟันที่ไม่มีเคี้ยวที่จะไปเขี้ยวกล้ามเนื้อสดๆ ของเนื้อ หรือว่าสัตว์ที่มีชีวิต หรือฉีกเนื้อออกได้เลย แม้กระทั่งลำไส้ซึ่งมีขนาดยาว ยาวกว่าสัตว์กินเนื้อทั่วๆ ไป ทำให้เนื้อสัตว์ทั้งหลายเวลามันเข้าไปมันจะเน่าเร็วมากในลำไส้เรา ด้วยเหตุผลนี้เองถือว่า มันเป็นภาวะที่ทำให้ร่างกายเราเป็นโรคมาก ในขณะที่ซากพืชนั้นมันเป็นซากที่เน่าเหม็นช้ากว่าซากสัตว์ ดังนั้นเรากินไปก็ถือว่า ไม่มีผลร้าย หรือว่าเกิดพิษน้อย ลักษณะฟัน ลักษณะเล็บ ลักษณะที่เราเห็นเนื้อสัตว์ และเราเห็นแมว เห็นหมาแล้วเราไม่เกิดอาการหิว หรือน้ำลายหกถูกไหมครับ สัญชาติญาณแบบนี้บ่งบอกให้เห็นว่า เราไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ คือคุณหมอเจคอบพยายามอธิบายว่า ส่วนใหญ่เราเป็นโรคมาจากที่เรากินเนื้อสัตว์
อันนี้ข้อแรกเลยนะครับ นี่ผมพยายามสรุปในหลายๆ ชั่วโมง คุณหมอเจคอบพูดเรื่องที่สองน่าสนใจคือว่า คุณหมอเจคอบบอกว่า สงสัยที่ทุกวันนี้เราเป็นโรคได้เพราะว่า เรากินยามากเกินไป คุณหมอเจคอบบอกว่า อาการต่อไปนี้ มันเป็นอาการขับพิษทางร่างกายทางธรรมชาติ 1.หายใจ 2.อุจจาระ 3.ปัสสาวะ 4.ประจำเดือน 5.เหงื่อ 5ประการนี้เป็นการที่เราสามารถขับพิษตามธรรมชาติ เป็นวิถีชีวิตปกติไม่ได้ลำบากอะไร ผู้หญิงอาจจะได้เปรียบตรงที่มีการขับพิษในทางเลือดด้วย โดยผ่านประจำเดือน สุขภาพจะดีกว่าผู้ชาย และอายุขัยมากกว่าผู้ชาย คุณหมอเจคอบบอกว่า 5 ประการนี้ มันเป็นกระบวนการขับพิษตามธรรมชาติ แต่ทันทีที่เรามีอาการผิดปกติ เช่น เราไม่สามารถขับพิษด้วย 5 ทางนี้แล้ว หรือว่ามีพิษร้ายแรงจนกระทั่ง 5 ทางนี้ขับพิษไม่ทัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นจะเกิดอาการดังนี้ 1.อาเจียน 2.ท้องร่วง 3.ก็คือเกิดอาการน้ำมูกไหล
กาญจนา - เหมือนเวลาเราเป็นหวัดใช่ไหมคะ
ปานเทพ - 4.คือกระบวนการที่อาจจะเกิดอาการคล้ายๆ ผื่นขึ้น ผิวหนังขึ้น คือมันปะทุทางผิวหนัง ทั้งหมดนี้มันสะท้อนให้เห็นว่า กระบวนการที่คุณหมอเจคอบกำลังจะบอกว่า อาการเหล่านี้มันเป็นอาการเพื่อขับพิษ และรวมถึงข้อที่ 5.ที่คุณหมอเจคอบพูดถึงก็คือว่า ถ้าพ้นจากภาวะปกติ 4 ข้อนี้แล้วยังมีอาการไข้ด้วย คือ ล้างพิษตามธรรมชาติ 5 ประการนะครับ
จินดารัตน์ - ร่างกายมันจะสั่งเอง
ปานเทพ - ทบทวนอีกทีนะครับ อาเจียน มีน้ำมูกมาก มีผื่นขึ้น และมีอาการไข้ สิ่งเหล่านี้เป็นอาการ รวมถึงท้องร่วง สิ่งเหล่านี้เป็นอาการขับพิษอย่างรวดเร็วนอกเหนือกระบวนการปกติ แต่ที่น่าสังเกตคือว่า อาการทั้ง 5 ประการที่ผมพูดถึงเป็นอาการที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากวิธีปกติแล้ว แพทย์แผนปัจจุบันมักจะมองว่า อาการทั้ง 5ประการเป็นอาการที่มนุษย์เราไม่สบาย ไม่สบายตัว และใช้วิธีการระงับปลายอาการเหล่านี้ทั้งหมดไม่ให้ขับพิษ ด้วยการกินยาหยุดอาการเหล่านี้ทั้งหมด และไปใช้วิธีอื่นแทนคือ ใช้ยาเคมีชนิดหนึ่งไปฆ่าสิ่งที่มีชีวิต หรือ สิ่งแปลกปลอมนั้นให้มันหยุดทำงาน เช่น ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราค่อยๆ ไปฆ่าสิ่งที่มีชีวิตในร่างกายเรา ซึ่งมันไม่ได้มีความแม่นยำที่จะไปฆ่าเฉพาะสิ่งที่เป็นโรคกับเราเท่านั้น มันฆ่าสิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเราด้วย และทำให้เกิดโรค หมอเจคอบบอกว่า ยกตัวอย่าง ยาแก้ไข้ ในบรรดายาแก้ไข้ทั้งหมดมีผลต่อตับแน่นอน ยาแทบทุกชนิดนับร้อยชนิดมีผลต่อตับและไต ไม่ตับก็ไต บ้างก็ตับและไตทั้ง ยิ่งทานไปเรื่อยๆ อาการตับก็จะทรุดลงทำงานแย่ลง คุณหมอเจคอบเลยจุดประกายให้ผมคิด เพราะว่าผมเป็นช่วงนั้นพอดี คือผมเริ่มมีอาการน้ำตาลในเส้นเลือดสูง ทั้งๆ ที่ผมผอม คุณหมอเจคอบบอกว่า คนที่เป็นหวัดบ่อยๆ กินยาแก้หวัด กินยาลดไข้ กินยาปฏิชีวนะ อีก 10-20 ปีถัดมาจะเป็นโรคไมเกรน ทั้งๆ ที่ตอนเด็กไม่เป็นบางคนเป็นไซนัส ผมเป็นไมเกรน และหมอก็บอกว่า ถ้าเรากินยาไมเกรนต่อเนื่องกันอีกสัก 5 ปีต่อมา น้ำตาลในเลือดเราจะเริ่มสูงขึ้นกว่าปกติ เพราะว่าตับทำงานหนัก เป็นโรคเบาหวาน พอกินยาเบาหวานอีกไม่กี่ปีถัดมา เราก็จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง พอกินยาความดันโลหิตสูงเราก็จะเป็นโรคหัวใจ พอเป็นโรคหัวใจเราก็จะกินยาเยอะมากขึ้น จนกระทั่งตับและไตพังก็ต้องมากินยา และกินยาเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเป็นโรคร้ายเกี่ยวกับตับและไตในท้ายที่สุด คนที่รวยที่สุดก็จะเป็นบริษัทยา
โอเคนะครับ นี่เป็นคอนเซ็ปต์ที่คุณหมออธิบาย และพูดถึงวิถีธรรมชาติว่า ยาสีฟันเป็นอันตราย ทำให้ฆ่าแบคทีเรียที่ดีด้วย เพราะฉะนั้นคุณหมอเจคอบจะเปลี่ยนวิถีการใช้ยาสีฟันที่เป็นไปตามธรรมชาติที่สุด ไม่ใช่เพื่อฆ่าเชื้อ แต่เพื่อดูดพิษออก อย่างนี้เป็นต้นนะครับ กระบวนการเหล่านี้เป็นกระบวนการที่คุณหมอเจคอบพูดเอาไว้เมื่อสักหลายปีแล้ว ประมาณสัก 3-4 ปีแล้ว ในเวลาตอนนั้น ตอนนั้นผมก็ฟังเพิ่งมาฟังเมื่อต้นปีที่แล้ว เอายูทิวบ์มาเปิดและคิดว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ แต่คุณหมอเจคอบก็พูดต่อว่า อาการเหล่านี้สามารถที่จะแก้ไขเวลาเกิดโรคร้ายได้ด้วยการอดอาหาร คุณหมอเจคอบถึงขนาดบอกว่า เขาจะดีใจมากวันที่เขาไม่สบายเป็นหวัด และวันนั้นเขามีอาการไข้ขึ้นท้องร่วง
กาญจนา - นี่แปลว่าร่างกายขับพิษออก
ปานเทพ - ร่างกายมีกลไกในการเยียวยาตัวเอง สามารถต่อสู้กับโรคได้ เขาจะดีใจมากเลย เขาบอกว่ามันคือเขากำลังจะหาย และเขาก็อดอาหาร
จินดารัตน์ - โดยไม่กินยา
ปานเทพ - ไม่กินยา อดอาหาร และก็กินแต่น้ำผลไม้ ผมฟังดูมันเป็นคอนเซ็ปต์ หรือเป็นหลักคิดที่มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราเชื่อทั้งหมดเลย เช่น เราเชื่อว่ากินยา เป็นไข้ต้องกินยาลดไข้ เขาบอกว่าไม่กินยาลดไข้ เขาบอกว่าน้ำมูกไหลต้องกินยาลดน้ำมูก เราบอกว่าไม่กินยาลดน้ำมูก
จินดารัตน์ - ยาแก้อักเสบด้วย
ปานเทพ - ยาแก้อักเสบด้วย และอื่นๆ อีกมากมาย ผมฟังข้อมูลนี้ด้วยความน่าทึ่ง รวมไปถึงเรื่องนมวัว หมอเจคอบบอกว่า มนุษย์เราไม่น่าจะกินนมวัว สัตว์ทุกชนิดมันกินนมวัวจนถึงอายุ 1-2 ปี และมันจะเลิกกินไปตลอดชีวิต เพื่อหาอาหารอื่น ยกเว้นมนุษย์ที่กินนมจากสัตว์ชนิดอื่น อยากกินนับสิบๆ ปี ทั้งๆ ที่มนุษย์เรามีเอนไซม์แลคเตสที่เอาไว้ย่อยแป้งที่จะใกล้เป็นน้ำตาลแลคโตสในนมถึงช่วงอายุ 2 ปีเท่านั้น พ้นจากนั้นมันจะเริ่มไม่ย่อย แต่เราก็ฝืนดื่มมันไป และโปรตีนจากนมวัว ไม่ได้เหมาะกับมนุษย์ ยังไม่ต้องนับนะครับว่า นมวัวจำนวนมาก วัวแม่วัวผลิตนมเพื่อเลี้ยงให้ลูกมัน 1-2 ปีเท่านั้น มันไม่ได้ออกแบบเพื่อให้มนุษย์กินสิบๆ ปี นมมันก็จะอักเสบ
จินดารัตน์ - หมายถึงนมวัวนี่นะคะ เต้านมจะอักเสบ
ปานเทพ - และแทบทุกฟาร์มโคนมหลายแห่ง เกือบทุกแห่งในโลกนี้ฉีดยาปฏิชีวนะให้กับวัว เพื่อลดการอักเสบ
กาญจนา - ให้เร่งนมด้วยไหมค่ะ
ปานเทพ - เราก็จะได้นมวัวที่มียาปฏิชีวนะไปด้วย ดังนั้นมันเป็นกลไกที่น่าฟังมาก ผมคิดว่าถ้าเรามีเวลานะครับ บางทีรายการใดรายการหนึ่งอาจจะเป็นสภาท่าพระอาทิตย์วันเสาร์นี้ ผมอาจจะเอาเทปอันนี้มาเปิดให้ฟัง เพื่อให้เป็นข้อมูลว่า เขาพูดไว้น่าสนใจ แต่ผมไม่ได้เชื่อง่ายๆ ผมมาสืบค้นต่อว่า มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ได้อย่างไร ผมมาหาเหตุผลต่อครับด้วยผมมาเจอภาพนี้ ผมคิดว่าเป็นภาพที่ท่านผู้ชมเคยดูหลายครั้ง แต่ผมคิดว่ามันมีนัยสำคัญมาก ผมเลยชวนมาดูภาพนี้แทน ภาพนี้เป็นภาพเม็ดเลือดขาว ที่เราเห็นกันบ่อยๆ นะครับ คืออยู่ตรงกลางๆ ตัวใหญ่ๆ ใหญ่สุดเลยนะครับ กลมๆ ที่เราเห็นอยู่กระจัดกระจายคือ เม็ดเลือดแดง ข้างหน้าเม็ดเลือดขาวมันมีแบคทีเรียอยู่ ร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันที่เม็ดเลือดขาวจะกินแบคทีเรียได้ด้วยตัวเองนะครับ ภาพต่อไปนี้เป็นภาพที่น่าทึ้งมาก เขาใส่น้ำเกลือลงไปนิดนึง เพื่อให้เม็ดเลือดขาววิ่งได้ มันวิ่งได้ไล่แบคทีเรียธรรมชาติจริงๆ นะครับ ฝ่าเม็ดเลือดแดงเป็นส่วนๆ ไป เพื่อไปจัดการกับแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคกับร่างกายเรา นี่แสดงว่าภูมิต้านทานเรา มีจริง และสามารถเยียวยาตัวเองได้จริง
นี่ก็แบคทีเรียไปแล้ว ข้างบนมีเชื้อราอยู่ก็จะไปกินเชื้อรา เห็นไหมครับ เม็ดเลือดขาวเรามีประโยชน์ขนาดนี้ ในการจัดการปัญหากับของเราเอง ทีนี่มักจะไม่ค่อยมีคนบอกเราเลยว่า นอกจากเม็ดเลือดขาวที่เราเห็นอยู่ตอนนี้แล้ว มันเคยมีใครบอกเราไหมว่า เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีในภาวะแบบไหน เดี๋ยวเราไปดูต่อนะครับ ผมไปค้นพบมาว่า ไข้ ไปเปิดตำราทางการแพทย์ สอนวิชาหนังสือพื้นฐานของการรักษาพยาบาล หมอไม่เคยบอกเรานะครับว่า ไข้มีประโยชน์กับร่างกายเราด้วย เคยบอกไหมครับ
จินดารัตน์ - ไม่เคยค่ะ
ปานเทพ - เขาบอกให้เรากินยาแก้ไขตลอดเลย
กาญจนา - ถ้าเป็นยาแก้ไขต้องพาราเซตามอนลดไข้ตลอดเลย
ปานเทพ - ไม่เคยมีใครบอกเราเลยว่า มันมีตำราสอนทางการแพทย์ว่า ถ้าไข้มีประโยชน์จากงานวิจัยของ Carven R and Hirnle นี่ถือว่า 7 ปีมาแล้วนะครับ ในหนังสือการศึกษา ในหนังสือตำราเรียนพื้นฐานของการรักษาพยาบาลบอกว่า ไข้เป็นกลไกในร่างกาย ที่มีผลถึง 5 ประการ คือ 1.ทำให้จุลชีพที่เป็นพิษในร่างกายของเราลดลง ประการที่ 2. คือทำให้การเคลื่อนไหวเม็ดเลือดขาวเร็วขึ้น เห็นไหม จุลชีพพอเดิมมีอยู่ในอุณหภูมิหนึ่ง ถ้าเราเปรียบเทียบเหมือนต้มน้ำร้อน จุลชีพหรือเชื้อโรคมันเคยอยู่ในอุณหภูมิหนึ่งที่มันมีความสุขดี พอมันร้อนขึ้น มันจะเริ่มช้าลงอ่อนแอลง เพราะมันเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ร่างกายเราออกแบบฉลาดมาก เพื่อให้ร่างกายเรามีอุณหภูมิสูงขึ้นเห็นไหมครับ และพองานวิจัยชั้นนี้บอกว่า เม็ดเลือดขาวเราจะวิ่งเร็วขึ้นในภาวะที่เรามีไข้ นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมเม็ดเลือดขาวถึงได้กินแบคทีเรียได้เร็วขึ้นในภาวะที่มีไข้นะครับ
ต่อมาคือ 3. ทำให้เม็ดเลือดขาวสามารถกลืนกินเชื้อโรคที่เป็นพิษได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีก นอกจากเคลื่อนเร็วยังกินได้มีประสิทธิภาพขึ้น 4.เพิ่มการแบ่งตัวของทีเซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกัน Lymphocyte จัดการกับไวรัส แบ่งตัวได้อีก แบ่งตัวเพิ่มจำนวน และสนับสนุนการทำงานของสารอินเตอร์เฟอรอนคือ ช่วยส่งเสริมการแก้ไขปัญหาเรื่องไวรัสในร่างกายเรา ตกลงร่างกายเรามีเม็ดเลือดขาวจัดการกับปัญหาตัวเราเองได้ เพียงเพราะว่าเรามีอาการไข้ เห็นไหมครับพอเรารู้ว่าไข้มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่เราถูกสอนให้กินยาลดไข้
จินดารัตน์ - ใช่ค่ะ
ปานเทพ - ทีนี้พอพูดถึงเรื่องไข้นะครับ เราก็มาพูดต่อว่า พอเรามีไข้สิ่งที่ตามมาคือ ตัวเราะหนาวสั่น สังเกตไหมครับ ทั้งๆ ที่ข้างนอกไม่ได้หนาวเลย แต่ร่างกายฉลาดมากครับ ทำให้ร่างกายเรารู้สึกหนาว เพราะว่าร่างกายเขาต้องการผลิตความร้อนไปจัดการ 5 ประการนี้ เป็นไข้โดยเฉพาะนี้นะครับ ปรากฏว่าตัวเราจะรู้สึกหนาว เพราะว่าอุณหภูมิข้างในกับข้างนอกต่างกันมาก เราเลยรู้สึกว่าข้างนอกหนาว ทั้งๆ ที่ความจริงข้างนอกไม่ได้หนาวเลย แต่ร่างกายก็ฉลาดกว่านั้นที่ให้เรารู้สึกหนาวจนถึงขั้นขนลุก เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่า การขนลุกนั้นเขาไม่ต้องการให้อุณหภูมิความร้อนรั่วไหลไปหาความเย็นข้างนอก เขาจะบังคับให้เรารู้สึกหนาวสั่น เพื่อให้เราห่มผ้าการห่มผ้าทำให้อุณหภูมิภายนอก กับภายในกลับมาใกล้เคียงกัน รักษาอุณหภูมิความร้อนเพื่อจัดการกับเชื้อโรคได้ เห็นไหมครับในทางตรงกันข้าม เวลามีไข้นะครับ ปากเรามักจะขมและไม่อยากกินอะไร ผู้ใหญ่มักจะสอนว่า ให้เรากินเยอะๆ จะได้ไปต่อสู้กับโรค
จินดารัตน์ - อีกหน่อยเธอก็ได้กินยา
ปานเทพ - มันเป็นความเชื่ออย่างนั้น จะกินยาแก้ไข และกินยาแก้หวัด และกินยาแก้อักเสบ เขาเลยคิดสูตรให้เรากินยาต้องกินอาการด้วย แต่ว่าที่เราปากขม มันเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ คือเขาต้องการทำให้สภาวะของร่างกายไม่อยากกินอาหาร เพื่อเอาพลังงานทั้งหมดมาผลิตเป็นความร้อนอย่างเดียว เพราะว่าถ้าเรากินอาหารเมื่อไร ร่างกายจะเปลืองพลังงานมาก กับการมาใช้พลังงานทั้งหมด ในการย่อยอาหาร และพลังงานในการย่อยอาหารใช้เยอะมากเลยนะ เกือบจะเรียกว่ายิ่งกินมากยิ่งหายช้า กลายเป็นอย่างนั้นไป และร่างกายเราจึงบังคับให้เรารู้สึกไม่อยากกินและปากขม เป็นความมหัศจรรย์ใช่ไหมครับ
จินดารัตน์ - กับผู้ใหญ่นี่ไม่เท่าไรนะคะ อาจารย์ปานเทพ แต่กับเด็กนี่บังคับแล้วบังคับอีก
ปานเทพ - ทีนี้พอปากขมเสร็จ เราแทนที่จะปล่อยให้กลไกฆ่าไข้ทำงาน จะมีคนบอกว่า แผมถ้าคนอุณหภูมิสูงแล้วช็อกละ ใครจะรับผิดชอบใช่ไหมครับ อันนี้โดยธรรมชาติใช่ไหมครับ ที่จริงแล้วมีเหตุผลอยู่นะครับ คือว่าร่างกายถ้ามีอุณหภูมิสูงมากจนกระทั่งร้อนจัด มันอาจจะถึงจุดที่เราทนไม่ไหว คือผลิตความร้อนจนมีเป้าหมายสูง แต่เรามีผลกระทบต่อร่างกายอย่างอื่นด้วย จริงครับเราต้องลดอุณหภูมิลง ด้วยการเช็ดตัวให้มันเย็นลง ดูดความร้อนออกมามากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่า หยุดความร้อนทันที เราตั้งเกณฑ์ก็ได้ครับ ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส เราก็ถือว่า ให้เขาทำงานด้วยกลไกของเขาเอง เพียงเท่านี้ก็ได้แล้ว แต่เราถูกสอนให้กินยาลดไข้ จนบัดนี้ยาลดไข้ติดอันดับ 2 ของประเทศนะครับ ที่คนกินมากที่สุด เมื่อก่อนอันดับ 1 ตอนนี้อันดับ 2 แพ้ยาปฏิชีวนะ ต่อมาพอเรามาเห็นกลไกนี้ เราถูกสอนต่อมาว่า เวลาเป็นไข้มีน้ำมูก เราควรต้องกินยาลดน้ำมูก ใช่ไหมครับ มาคู่กันเลย กินยาลดไข้แล้วกินยาลดน้ำมูก โดยที่เราไม่เข้าใจว่าร่างกายเราผลิต แต่ถ้าเราค้นหาสาเหตุทางการแพทย์ ความหมายของน้ำมูกเรานี่นะครับ เราก็จะรู้ว่ามันเป็นกระบวนการผลิตเซลล์เราที่ผลิตมูกออกมา ในนั้นก็จะมีทั้งเอนไซม์และการฆ่าเชื้อ ในนั้นก็จะมีเมือกเหนียวๆ เพื่อผลิตออกมาดักจับเชื้อโรค และแบคทีเรีย ร่างกายเราจะถูกผลิตเมือกเหล่านี้ออกมา เพื่อพ่นมันออกมาด้วยการจาม น่าทึ่งใช่ไหมครับ เหมือนกับท่อมทอมซิลที่คนบอกว่าต่อมทอมซิลอักเสบต้อตัดมัน ทั้งๆ ที่ต่อมทอมซิลเป็นต่อมที่ดักจับเชื้อโรคมารวมตัวกัน และฆ่ามัน แต่เราไม่เข้าใจมัน แทนที่จะปล่อยให้กลไกน้ำมูกนั้น เอาออกมาให้ได้จากกระบวนการผลิตร่างกายเราด้วยการจามแล้วออกให้มากที่สุด เรากลับกินยาลดน้ำมูก ร่างกายเราก็ไม่ได้ใช้ไข้ เยียวยาแก้หวัด ร่างกายเราก็ไม่ได้ใช้น้ำมูกเพื่อขับพิษออกมาแต่เราทำให้น้ำมูกแห้งกรังข้างในแล้วที่ตกค้างก็อยู่ข้างในโพรงจมูกเราอยู่ด้านในทำให้ถึงมีภาวะเกิดพิษในร่างกายที่ก่อให้เกิดไซนัสและไมเกรน ปวดหัวง่ายตามมา หรือใครจะเชื่อครับว่าพอในที่สุดเราให้กินยาลดน้ำมูก กินยาลดไข้เวลาเป็นหวัด สิ่งที่ตามมาเราก็ให้กินยาปฏิชีวนะ ภาษาอังกฤษคือ Antibiotic คือยาฆ่าสิ่งที่มีชีวิตในร่างกายเรา พอเรากินไปเสร็จมันก็ฆ่าได้จริงครับ แต่ว่า 1.มันมีผลต่อตับ 2.มันฆ่าจุลินทรีย์ที่ดี มันก็ทำให้จุลินทรีย์ที่ดีที่ช่วยย่อยอาหารไม่สมบูรณ์ พอไม่สมบูรณ์เสร็จก็อาจจะมีโปรตีนตกค้างเข้ามาตามกระแสเลือด เกิดภูมิแพ้ผิวหนังได้ง่ายขึ้นไปอีก และโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดตามมากับคนที่กินยาปฏิชีวนะมากๆ ตามมา เราก็จะกินยาแก้แพ้ต่อมาอีก พอกินยาแก้แพ้ต่อมามันจะสะสมพิษทั้งหมดไปที่ตับ ตับจะแย่ลง ยาแก้แพ้ทุกชนิดที่ผลต่อตับหมดที่ทำให้ทรุดลง ตับจะแย่ลง นานเข้าจะเป็นเบาหวาน น้ำตาลขึ้น แล้วก็มีโรคอื่นๆตามมา เป็นลูกโซ่ตามมา บริษัทยาจะร่ำรวยที่สุดในการทำให้มนุษย์เราสามารถกินยาที่เป็นลูกโซ่นั้น
กาญจนา - คือคนทั่วไปตอนนี้ใช้ยา เพื่อที่จะรักษาโรคหนึ่งทั้งๆที่จริงๆ แล้ว ทำให้เขาป่วยเป็นโรคต่อๆ ไปได้เรื่อยๆ
ปานเทพ - อาจจะหยุดไปอาการอย่างหนึ่ง แต่ก่อให้เกิดโรคปัญหาใหม่อีกปัญหาหนึ่ง เพราะตราบใดถ้าเป็นหลักทางธรรมชาติบำบัดคือ ถ้ามีพิษเอาพิษออก แต่กลไกในแพทย์แผนปัจจุบันคือ หยุดอาการมัน ซึ่งก็ดีนะครับทำให้สบายตัวแต่ไม่มีกลไกในการเอาพิษออกไปไว้ที่ไหน ไม่มีคำตอบ มันยังคงอยู่ในร่างกายเราเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคตายแล้ว หรือพิษจากยาก็สุดแท้แต่
จินดารัตน์ - แอนเพิ่งถึงบางอ้อ พออาจารย์ปานเทพ บอกว่า กินยาปฏิชีวนะนานๆ เข้า จะเป็นภูมิแพ้ เมื่อก่อนแอนไม่เป็นนะคะภูมิแพ้ ไม่เคยเป็น แต่ตอนไปทำผู้ประกาศข่าวใหม่ๆ คอเจ็บเส้นเสียงอักเสบเรื้อรัง หมอให้กินยาแก้อักเสบที 2 เม็ด สองอาทิตย์เกือบทุกเดือน เป็นทุกเดือน พอใช้เสียงหน่อย คอก็อักเสบ ก็กินอย่างนี้ มาเป็นปีๆ จนมาวันหนึ่งเพิ่งรู้ว่าตัวเองแพ้ฝุ่น แพ้อากาศ ไม่เคยเป็นมาก่อน
ปานเทพ - แล้วคุณแอนเชื่อไหม ต่อมทอมซิลมันเป็นต่อมที่มันฆ่าเชื้อได้ โดยธรรมชาติมันถึงดักจับเชื้ออยู่บริเวณคอเราและคนก็บอกว่าต้องตัดทิ้งเพราะมันอักเสบ แต่เขาอาจจะไม่รู้เลยว่า จริงๆแล้วทุกครั้งที่เราเอาน้ำมูกออก อาการเจ็บคอจะลดลง เพราะมันเชื่อมโยงกันในการขับพิษออก แต่ในที่สุดเรากินยาแก้ไข้ เรากินยาลดน้ำมูก ต่อมทอมซิลจะที่ระบายพิษออกได้ อาจจะมีพิษมากเกินไปจนไม่อยากระบายออก มันก็เหมือนถังขยะเต็ม ฆ่าเชื้อจนไม่ไหวแล้ว มันก็อักเสบจนต้องตัดทิ้ง ที่เราไม่เขาใจกลไกมันที่อยากจะเป็น อันนี้เป็นความคิดแบบธรรมชาติบำบัดที่เขาเชื่อแบบนี้
จินดารัตน์ - อย่างนั้นต่อไปนี้ถ้าคนเป็นไข้ รู้สึกเป็นหวัด หยุดยาเลย ไม่ต้องไปกิน
ปานเทพ - ลองเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ผมกับคุณสนธิ เปลี่ยนวิธีคิดอย่างนี้มาปีกว่าแล้ว เราค้นพบว่าหวัดที่เราเป็นอาจจะหายได้ไม่เกินสามวัน และเร็วบางกรณีวันถึงวันครึ่งก็หายแล้ว ไม่ต้องรอข้ามสัปดาห์เลย กินยาปฏิชีวนะแล้วก็ต้องดื้อยาต่อไป เพิ่มโดสต่อไป มีผลต่อตับมากขึ้น หยุดยาเหล่านั้น และมาสังเกตว่าเราเป็นหวัดเพราะอะไรใช้วิชาความรู้จากหมอเขียว หมอเขียวให้ความรู้เรื่องร้อนเย็น เราเป็นหวัดส่วนใหญ่ เกิดจากร้อนเกิน เย็นเกิน ถ้าเราตากแดดมากแล้วเราเป็นหวัด ให้สังเกตเลยว่า เราเกิดอาการร้อนเกิน พอร้อนเกินก็กินฤทธิ์เย็น ผัก พืช ผลไม้ น้ำปั่น เป็นฤทธิ์เย็น ให้ย่อยน้อยลง ดื่มไป เราจะหายเร็วขึ้น หรือฟ้าทลายโจร บางคนกินเป็นประจำเลยนะครับ จริงๆ กินไม่ได้นะครับ ต้องดูด้วยว่าร้อนหรือเย็น ฟ้าทลายโจรฤทธิ์เย็น ย่านางฤทธิ์เย็น ใบบัวบกฤทธิ์เย็น ใบเตยฤทธิ์เย็น แต่มาอีกด้าน ถ้าเราตากแอร์ เป่าหัว แล้วเป็นหวัด
อันนี้เป็นอีกกรณีหนึ่งถ้าไปกินฤทธิ์เย็น ก็จะทรุดลงกว่าเดิม ก็ต้องไปดูขิง ข่า ตระไคร้ อย่างนี้เป็นต้น ข้อสำคัญก็คือพยายามกินทุกอย่างอยู่ในอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น เพราะเรามีความรู้แล้วว่าเม็ดเลือดขาวทำงานในภาวะที่ดีร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น การที่เรากินน้ำอุ่นเข้าไปก็เพื่อทำให้มีอุณหภูมิจากความร้อน โดยที่เราไม่ต้องผลิตความร้อนแต่เพียงอย่างเดียว ใช้กลไกข้างนอกมาช่วยผลิตความร้อนด้วย อาการป่วยจากหวัดก็จะเริ่มดีขึ้น ผมพยายามจะบอกว่า แค่ภาพๆเดียวมันสะท้อนถึงวิธีคิดในเรื่องของกลไกบางอย่างได้
จินดารัตน์ - และถ้าเกิดเจ็บคอล่ะคะ ไม่กินยาแก้อักเสบมันไม่หายนะคะ
ปานเทพ - หาย คุณแอน ถ้าเป็นคุณสนธิ ตอนนี้ก็คือ ดื่มน้ำปัสสาวะ ใช้หลักคิดว่า ดื่มน้ำมันปัสสาวะ ดื่มกลับเพื่อให้เกิดเป็นเซรุ่ม หลักการเดียวกันคือ พิษต้านพิษ หรือถ้าเป็นสูตรหมอเขียวก็คือ ใช้ย่านาง น้ำมันเขียวแตะคอ อันนี้คุณแอนก็คงใช้ แป้บเดียวก็อยู่แล้ว ดื่มน้ำอุ่นๆ เยอะๆ จะหายแล้ว สั่งน้ำมูกออกให้เยอะมากๆ จะเริ่มดีขึ้น อันนี้สัมพันธ์กันเลยนะครับ ผมทดลองมาหลายรอบแล้ว ทุกครั้งที่เจ็บคอ น้ำมูกออกมาก อาการเจ็บคอจะลดลงตามลำดับในวิธีการธรรมชาติบำบัด
กาญจนา - คนทั่วไปอาจจะชิน ทนเจ็บคอไม่ได้ ฉะนั้นกินยาก่อนเลยดีกว่า
ปานเทพ - คนส่วนใหญ่ก็เลยกินยา และทำให้ยาก็ขายดี ขายยาลูกโซ่ต่อไปได้
จินดารัตน์ - ลองเชื่อตัวเองดูนะคะ เชื่อร่างกาย ระบบในร่างกาย จุ๊เป็นหวัดบ่อยไหม
กาญจนา - จุ๊เป็นหวัดไม่บ่อยค่ะพี่แอน แต่จะแพ้บ่อย แพ้ฝุ่น ซึ่งถ้าเวลาแพ้ปุ้บ วิธีของจุ๊ก็คือกินยาแก้แพ้ทันที เพราะจุ๊รู้สึกว่า รุ่งเช้ามันจะดีขึ้น มันจะหาย แต่จุ๊ก็ลืมคิดไปว่า อย่างที่อาจารย์บอก มันเก็บเอาไว้ข้างใน พิษอยู่ข้างใน และยาที่กินไปละอันอย่างที่บอกมันมีผลต่อตับ ต่อไต
ปานเทพ - ใช่ ถ้าเราคิดถึงกลไกที่ผลิต ไม่ว่าอาเจียน ท้องร่วงอย่างแรง ผื่นขึ้น ไข้ขึ้น ก็เป็นกลไกขับพิษที่เป็นธรรมชาติของร่างกาย แล้วเราไปหยุดปลายอาการเหล่านี้เพื่อขับออก คำถามก็คือว่า แล้วพิษมันจะหายไปไหนล่ะ มันจะอยู่ที่ไหน แล้วมันจะใช้อย่างไร หรือเราฆ่ามันได้แล้วมันฆ่าอย่างอื่นไหม ฆ่าแล้วมันไปอยู่ที่ไหน สะสมอยู่ที่ไหน แล้วเราไม่เคยเห็นกระบวนการเอาออกเลย แต่มันก็เน้นวิธีการฆ่า ในขณะที่ทางธรรมชาติบำบัด เน้นการเอาออกจากร่างกาย เราถึงเห็นกระบวนการล้างลำไส้ ดีท็อกซ์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ดีท็อกซ์ลำไส้เป็นหลัก เพราะเขารู้ว่าปลายอาการทั้ง 5 อย่าง ถ้าลำไส้ใหญ่ดึงออกมาได้ มันก็จะช่วยลดการปะทุทางอื่นให้ได้มากกว่าเดิม เป็นกระบวนการล้างพิษในเวลาต่อมา เพราะฉะนั้นหลักคิดจากหมอเจคอบก็ดี หมอเขียวธรรมชาติบำบัดก็ดี มันสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าเราอาศัยภูมิปัญญาของเรา เราก็คงจะสามารถหาทางเลือกอย่างอื่นที่ไม่ใช่แพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนปัจจุบันเพิ่งเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มาเต็มตัวในรูปแบบของทำให้แพทย์แผนไทยต้องเกือบสูญหายไป เราเพิ่งรื้อฟื้นกันในไม่กี่ปีนี้
จริงๆ แล้วภูมิปัญญาไทยมีความสามารถมากนะครับ สมัยก่อนเวลาเราเป็นไข้ คนโบราณเขาจะสอนให้เราห่มผ้าหนาๆ ใส่เสื้อหนาๆให้เหงื่อออกให้มาก แล้วเช้าก็หาย หรืออาการดีขึ้นเกือบหาย แต่ยุคนี้เรากินยาหนักมากขึ้น กินยามากขึ้นจนผมเคยถามในทุกเวทีว่า เคยไหมครับว่าเราอยากปลดแอกจากการเป็นทาสของยาเคมี ผมเป็นหนึ่ง เป็นคนที่ติดยาเคมีมาตั้งแต่เด็กแต่เล็กเลย กินยาแทบทุกสัปดาห์ ไม่มีสัปดาห์ไหนที่ไม่กินยา กินยาน้ำ กินยาแก้ไอ สุดแท้แต่ แต่ว่าผมปลอดจากยาเคมีมาปีเศษแล้ว ถือว่าปีครึ่งแล้ว ที่ไม่มียาเคมีเข้าปากเลย ผมก็มีชีวิตอยู่ได้ แล้วอาการปวด ไม่ว่าไมเกรน หอบหืด น้ำตาลในเลือด คอเรสเตอรอล ที่มันขึ้นทั้งหมดมาจากกระบวนการกินยามาก รวมถึงไมเกรนที่โรคเรื้อรัง เป็นมานาน มันหายไปหมด โดยที่เราแค่เปลี่ยนวิธีคิด และไม่ต้องใช้เงิน เปลี่ยนวิธีคิดใหม่โดยตัวเอง
จินดารัตน์ - และอาการเหล่านี้ก็มาจากการกินยามาแต่เด็กๆ นั่นแหล่ะ
ปานเทพ - แล้วผมก็เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ พออ่านเรื่องน้ำด่างมากขึ้น ผมก็ดื่มน้ำด่าง แล้วหลายคนมีอาการดีมากขึ้น อาการที่เคยเป็นกรดเกิน ซึ่งก่อให้เกิดหลายโรค ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการกินเนื้อสัตว์มากมันก็ทยอยลดลงจากการเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน พฤติกรรมการดื่ม เพียงแค่สองอย่างนี้ก็ฟื้นฟูได้เยอะ ยังไม่นับการขับพิษของเก่าออก อันนี้ก็จะเป็นความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่เลย
กาญจนา - อย่างที่อาจารย์บอกเมื่อสักครู่ว่า ถ้าเรารักษาตัวเองด้วยรูปแบบธรรมชาติแล้วหลีกเลี่ยงยาเคมี หลายๆคนน่าจะเคยกินยาเคมีที่ระบุว่ากินแล้วอาจจะมีผลต่อตับ หรือว่า กินแล้วคุณมีแผนจะตั้งครรภ์ไหม ถ้าคุณมีแผนจะตั้งครรภ์คุณอย่าเพิ่งกินยานี้ หรือคุณต้องหยุดยานี้ก่อน อันนี้จุ๊เคยเจอพี่แอนแล้วคุณหมอก็บอกว่า ถ้าทานยานี้ปัสสาวะคุณจะมีสีเข้มนะ จุ๊ก็ถามคุณหมอว่า ถ้ามันเข้มแล้วมีผลต่อตับต่อไปหรือเปล่า ไม่มี ไม่มีเหรอคะ แต่ขอตรวจตับตรวจไต ขอเจาะเลือดตรวจทุกเดือนเลยค่ะพี่แอน ถ้าหลายคนลองเปลี่ยนวิธีน่าจะดีขึ้น
ปานเทพ - ผมก็เลยเห็นว่า กระบวนทัศน์ในการมอง คิดเปลี่ยนใหม่ มองปลายอาการเป็นปัญหา ให้เป็นมองปลายอาการเป็นสัญญาณที่เราต้องทำอะไรบางอย่างในการขับพิษออก มันจะเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่หมดเลย เช่น ถ้าปวดหัวหมายความว่า ต้องการพักเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเป็นกระบวนการปัจจุบันเขาก็จะบอวก่าต้องกินยาระงับอาการปวดนั้นเสีย แต่ถ้าเราระงับอาการปวดเราจะไปแก้ที่ต้นเหตุได้ไง เราไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ ยกตัวอย่างง่ายๆ เพราะฉะนั้นการแสดงอาการขับพิษ อาเจียน ผิวหนัง มีไข้ หรืออาการปวดทั้งหลาย มันคืออาการปวดที่บ่งบอกว่า เราต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่าง หรือการขับพิษออกได้แล้ว ไม่งั้นเราก็ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้
จินดารัตน์ - หลายคนที่เป็นโรคร้าย ต่อเนื่องยาวนาน คือพอเวลามีอาการเตือนเหล่านี้ ไม่ได้คิดที่จะไปค้นหาว่ามันคืออะไร แล้วก็กินยากดเอาไว้
ปานเทพ - เหมือนกับลูกโป่งครับ ถ้าสมมติท่อน้ำ บ้านหลังหนึ่งมีรูรั่ว เราก็ไปปิดท่อนั้นเพราะตรงนั้นรั่ว โดยที่อาจจะไปหาต้นเหตุไม่เจอว่า มันรั่วเพราะอะไร เราไม่ได้ไปหาต้นเหตุจริงๆ ทำไงก็รั่วออกอยู่ดี จริงๆมันอาจจะผิดตรงตั้งแต่แรงดันน้ำมากเกินไปแล้วก็ได้ ยกตัวอย่าง อันนี้ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า บางทีการหา ปิดปัญหาโดยที่อุดมันบางทีอาจจะแก้ปัญหาไม่ได้ ในทางธรรมชาติบำบัดนะครับ ผมไม่ปฏิเสธในแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์ปัจจุบันมีวิวัฒนาการที่ดี ระงับปลายอาการที่มีอาการรุนแรง จนกระทั่งร่างกายรับไม่ไหว สามารถเยียวยาแก้ปัญหาเฉพาะฉับพลันได้ดีกว่าแพทย์แผนธรรมชาติบำบัด แน่นอนเครื่องมือตรวจวัด และงานวิจัยก็เหนือกว่า แต่สิ่งที่ผมพยายามจะทำในวันนี้ ก็คือพยายามทำให้แพทย์แผนธรรมชาติบำบัดมีเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์มารองรับ
เพราะฉะนั้นผมก็พยายามจะหาเหตุผล หรือหางานวิจัย มาทดสอบเทียบเคียง รวมถึงการเปิดพระไตรปิฎกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้า บอกว่าร่างกายหมักหมมมาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะขอฉันยาถ่าย หมอชีวกโกมารภัจจ์ก็ใช้ยาโดยการให้ดมดอกบัว 3 ก้าน ถ่ายได้ถึง 29 ครั้ง อาบน้ำร้อนอีก 1 รอบ ถ่ายได้ครบ 30 ครั้ง ร่างกายจึงจะขับพิษได้ แสดงว่ากระบวนการในการขับพิษมันไม่ได้มีอย่างที่เราคิด เพิ่งคิดในเวลาตอนนี้ เป็นกระบวนการตามธรรมชาติ ที่เราควรจะต้องเรียนรู้มัน และมีการพัฒนามัน เพื่อจะทำให้เกิดการเข้าใจมากขึ้น ในการที่จะดำรงชีวิตโดยที่ไม่ต้องไปพึ่งพายาเคมีแต่เพียงอย่างเดียว
จินดารัตน์ - เพราะสมัยก่อนคงไม่มียาเคมีให้กินอยู่แล้ว
ปานเทพ - แม้กระทั่งสัตว์คุณแอน มีสัตว์อะไรบ้างที่มันไม่ป่วย มันไม่มีหมอประจำสัตว์เลยในป่า แต่มันมีกระบวนการในการหยุดของมันเอง เช่น สุนัขถ้าเราสังเกตเห็น เวลามันไม่สบายมันจะไม่กินอะไรเลย แล้วมันจะกินหญ้า เห็นไหมครับ มันหาคอโรฟิลล์กิน เพิ่มปริมาณเอนไซม์จากพืชและสัตว์ที่มันมีระบบต่ำกว่า 47 องศาเซลเซียส เพื่อเพิ่มปริมาณเอนไซม์ในร่างกายมัน กินอาหารก็น้อยลง มันมีกระบวนอดเช่นเดียวกัน
จินดารัตน์ - แล้วอาการซึม
ปานเทพ - คือให้พักผ่อนแล้วก็หลับ เราเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ เข้าใจตัวเองมากขึ้นมันก็นำไปสู่การเปลี่ยนวิธีคิดในการดูแลตัวเองได้มากขึ้น
จินดารัตน์ - ก่อนที่จะพักกัน ช่วงหน้ากลับมาคุยเจาะลึกถึงการล้างพิษตับนี่นะคะ มีหลายคนถามเรื่องเครื่องทำน้ำด่าง ว่าอาจารย์คะ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว จองแล้วกี่เดือนได้ ได้เร็วขึ้นไหม
ปานเทพ - ก็เร็วขึ้นนะครับ อาจจะประมาณมิถุนายน กรกฎาคม เร็วขึ้นขนาดนั้น
จินดารัตน์ - ก่อนประมาณสัก 3 เดือน
ปานเทพ - มีคนถามบอกว่า มันดีอย่างไรกันถ้าเราจะมีเครื่องทำน้ำด่างแบบนี้ ผมต้องตอบได้ว่า มันดีมาก ไม่เจอกับตัวเองไม่รู้ หรือคนในครอบครัว ผมคิดว่าถ้าใครเคยมีปัญหาเรื่องลำไส้ แล้วเคนส่องกล้องในลำไส้ แล้วมีปัญหา เช่นเนื้อมีเส้นเลือดปูด ขอด หรือมีเนื้อเต็มไปหมด มีโอกาสเกิดขึ้นมากกับคนที่กินเนื้อสัตว์มากๆ ระบบขับถ่ายไม่ค่อยดี ถ้าเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทั้งหมด กินเนื้อสัตว์น้อยลง ดื่มน้ำด่างเข้าไปด้วย 1 ปี เชื่อไหมครับ ลำไส้สะอาดเหมือนคุณหมอฮิโรมิ ชินย่าพูดเลย สะอาดจริงๆ ครับ
นอกจากนี้กระบวนการลำไส้ที่ดีขึ้น อย่าลืมนะครับว่าเลือดเราต้องการความเป็นด่างที่ PH 7.3 - 7.4 คือ 7 นี่คือตรงกลาง ต่ำกว่า 7 คือเป็นกรด สูงกว่า 7 คือเป็นด่าง เลือดเราต้องการความเป็นด่างอ่อนๆ ถ้าเรากินอาหารที่เป็นกรดมาก ร่างกายก็จะดึงทุกสัดส่วนเพื่อมาสมดุล ให้เลือดเป็นด่างให้ได้ เช่นเรากินน้ำกรดมาก กินเนื้อสัตว์เยอะ เป็นกรดเยอะเลยนะครับ ร่างกายเราก็จะหากระบวนการ หาสิ่งที่เป็นด่างในร่างกายมาช่วยสมดุล หนึ่งในนั้นก็คือกระดูกจากแคลเซียมเป็นเบื้องต้นเลย เอามาสมดุลความเป็นกรดในร่างกายเรา ฉะนั้นคนที่มีปัญหาเรื่องกระดูก ข้อ หรือกระทั่งการกร่อนของกระดูก ฟัน ไม่ว่าจะเป็นกระดูกส่วนไหนก็ตาม ส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มที่เป็นกรดเกิน ร่างกายจึงต้องเกิดไปสมดุลใหม่ให้ได้ เพื่อให้เลือดคงความเป็นด่างหมือนเดิม และถ้าเลือดเราเป็นกรดอ่อนๆ มันเกิดปัญหาตามมามากมาย โรคอะไรก็เป็นได้ครับ เพราะว่าภูมิต้านทานตกลงไปทันที เหมือนกับการกินน้ำตาล น้ำหวาน 1 แก้ว บางคนชอบติดหวาน ดื่มน้ำหวาน 1 แก้ว เค้ก 1 ชิ้น ผมพูดเสมอครับว่าคนมักไม่ค่อยรู้ว่ามีงานวิจัย บอกว่าการกินแค่นี้ ภูมิต้านทานเราหมายถึงการเคลื่อนไหวเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง การกินเชื้อโรค มันจะลดลงไป 75 % ติอต่อกัน 6 ชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แค่การกินหวานเกินอย่างเดียว แล้วเป็นอย่างไรครับ 6 ชั่วโมงที่จะฟื้นขึ้นมาทำได้อย่างไรถึงจะไม่เป็นโรค แต่ถ้าเรากินทุกวัน ทุกเวลา มื้อเช้า มื้อเย็น มันป่วยง่ายมากครับ ดังนั้นดื่มน้ำด่างก็เพื่อลดความเป็นกรดจากภาวะแบบนี้ มีส่วนช่วยได้ทำให้สภาวะการฟื้นฟูร่างกายเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ เพราะฉะนั้นการที่เราเข้าใจในเรื่องธรรมชาติบำบัดมากขึ้น มันก็จะเป็นข้อมูลประกอบทำให้เรามีความเข้าใจกลไกในการที่จะดูแลตัวเองได้มากขึ้น ด้วยวิธีที่เราพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น
จินดารัตน์ - ที่อาจารย์บอกว่า ต้องดื่มน้ำด่างเพื่อเข้าไปปรับสมดุลความเป็นกรดด่างในเลือด บางคนบอกว่า สบายเลยคราวนี้ ชอบกินน้ำหวาน กินได้เหมือนเดิม เอาน้ำด่างมาช่วย ก็ไม่ได้ใช่ไหมคะ
ปานเทพ - ไม่ดีครับ ลดหวาน มัน เค็ม 3 อย่าง ทุกวันนี้วิถีชีวิตเราหวานเกิน มันเกิน เค็มเกิน หวานคือมันอยู่ในรูปของเครื่องดื่มแทบทุกชนิด มันที่อยู่ในเนื้อสัตว์ อยู่ในผัดที่มันเยิ้ม ต่อให้กินเจก็เถอะ ถ้ามันมากก็ไม่ใช่เรื่อง เค็มส่วนใหญ่อยู่ในอาหารแทบทุกชนิดที่มีการหมัก จะมีโซเดียมปนอยู่เสมอ 3 อย่างนี้มีเกินอยู่ในภาวะที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ทำให้เกิดโรคปัจจุบันด้วย คือมีอาหารจากอุตสาหกรรมมากก็ทำให้เกิดภาวะหวานเกิน มันเกิน เค็มเกิน ถ้าลด 3 ตัวนี้ได้ผมว่า เราจะมีร่างกายที่เเข็งแรงเพิ่มขึ้นได้
จินดารัตน์ - งั้นเดี๋ยวพักกันก่อน ช่วงหน้ากลับมาเรามาพูดถึงเรื่องการล้างพิษตับ ผลดี ผลเสีย คนที่ไปทำมาแล้วไม่ระมัดระวังจะเป็นอย่างไร มีคนโจมตีว่าอย่างไร เจอนักวิทยาศาสตร์ของเราแล้วจะอึ้งนะคะ เดี๋ยวพักกันก่อน สักครู่ ช่วงหน้าค่ะ
ช่วงที่ 2
กาญจนา - กลับเข้าสู่ช่วงที่ 2 ของรายการคุยทุกเรื่องกับสนธินะคะ ช่วงนี้จะว่ากันด้วยเรื่องของการล้างพิษตับ ต้องยอมรับว่าถ้าเป็นเรื่องของพ่อแม่พี่น้องเราจะรู้กันอยู่แล้วว่ารายละเอียด เรื่องของการล้างพิษตับเป็นอย่างไร แต่ว่าพอมีรายการฟรีทีวีที่เขาออกอากาศ มันมีกระแสที่ถูกพูดถึงมากขึ้น และถูกต่อต้านด้วย วันนี้อาจารย์ปานเทพ มาพร้อมกับอุปกรณ์ที่จะพิสูจน์ และอธิบายนะคะว่า กระบวนการในการล้างพิษตับเป็นอย่างไร
จินดารัตน์ - ผู้ที่ชอบกุข่าว ใส่ไคล้ นั่งเทียน ช่วยกรุณาดูด้วยนะ จะได้คำตอบ ไอ้ที่นั่งเทียนคิดกันไปเอง ได้คำตอบแน่วันนี้
ปานเทพ - ผมอยากจะชวนคิดอย่างนี้นะครับ การที่เราจะตัดสินใจทำอะไรลงไปมันต้องเห็นผล ผมคิดว่าชาวอโศกเขาไม่ได้สนใจงานวิจัยที่ผ่านมา เพราะว่าเขามุ่งแต่จะช่วยคน คือมีคนป่วยจำนวนมากไปรักษาด้วยวิธีการล้างพิษตับ และลำไส้ แล้วหายป่วยเป็นจำนวนมาก ทั้งหายป่วยจากความรู้สึก ทั้งหายป่วยจากสภาพร่างกาย ทั้งหายป่วยจากผลตรวจของผลแล็บแพทย์เอง เยอะมาก เพียงแต่เขาไม่ได้รวบรวมเป็นสถิติ เพราะไม่มีเวลาจะทำอะไรเลย วันนี้ทุกหลักสูตร ผมคิดว่าทุกวันนี้น่าจะเปิดกันทั้งประเทศ แพทย์ทุกจังหวัดน่าจะมีแล้ว แต่ละคนจะไปสนใจเรื่องการดูแลคนป่วย หรือคนที่เข้ามาในหลักสูตร มาอบรม ใช้วิธีการล้างพิษ แค่ดูแลอย่างนี้ก็คิวยาวเหยียดทุกแห่งแล้วทุกวันนี้ ไม่มีที่ไหนไม่เต็มนะครับ มีแต่ล้น และมีแต่จองคิว ผมอยากจะชวนคิดว่าถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดจากเมื่อตอนแรกที่ผมพูดถึงเรื่องยา เรื่องอาหาร ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดได้ เราจะกินยาลดลง วิธีการกินอาหารถ้าเราเปลี่ยน ระบบการเกษตรเราจะเปลี่ยน สัดส่วนการเกษตรในการปลูกพืชจะมากกว่าปศุสัตว์ และถ้าการเกษตรดีขึ้น คนสนใจสุขภาพมากขึ้น การใช้สารเคมี การใช้ปุ๋ยเคมีจะต้องลดน้อยลง และการนำเข้าจะลดน้อยลง การพึ่งพาตัวเองมากขึ้น และถ้าเรามีสุขภาพที่ดี ยาที่นำเข้าก็น้อยลง ยาเคมีก็จะน้อยลง อุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไปก็จะเป็นผลทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพแข็งแรง งบในการสาธารณสุขจะลดลง นี่ผมพูดถึงการปฏิรูปประเทศครั้งยิ่งใหญ่ นี่มันคือการเปลี่ยนประเทศ แน่นอนครับวิธีแบบนี้มันจะต้องเป็นที่ไม่พอใจ สำหรับคนบางกลุ่มที่เสียประโยชน์บาง อยากลองวิชาบ้าง อยากดังบ้าง หรือเข้าใจผิดบ้าง ซึ่งผมก็คิดว่าการตรวจสอบเป็นเรื่องที่ดีเพราะว่า ผมก็เห็นด้วยกับการตรวจสอบ แต่เราต้องไปเอาอคติมาปะปน
จินดารัตน์ - มีเหตุและผล
ปานเทพ - ผมยกตัวอย่างเช่น วันนี้มีคนสนใจน้ำหมักเยอะมากที่เรียกว่า น้ำเอนไซม์ แต่ผมยังไม่แนะนำให้ใครดื่มยี่ห้อไหนเลย สังเกต เพราะผมกว่าจะเชื่ออะไรบางอย่างได้ ผมต้องมั่นใจในทางวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปด้วยถึงแม้ว่าจะได้ผลดีก็ตาม ผมส่งทดสอบของอโศกไปไม่ต่ำกว่า 12 ชนิด รวมถึงน้ำหมักจากเอนไซม์ที่เรานำเข้ามาแล้วมีการคัดพันธุ์จุลินทรีย์ชั้นดี ขอตรวจสอบปริมาณจุลินทรีย์ และเอนไซม์ที่ดีหน่อยว่า มันมีของดีขนาดไหน และมีของเสียไหม มีอันตรายไหม ก่อนจะแนะนำให้ท่านผู้ชมบริโภค รวมถึงแม้กระทั่งถ้าเราจะทำอย่างนี้ต่อไป ผมยังไปทดสอบเอาปัสสาวะที่หมักกับสมอดองตามพระไตรปิฎก ว่ามีจุลินทรีย์ชนิดอะไรบ้าง มีเอนไซม์ชนิดเท่าไร มีปริมาณเท่าไร ผมทดสอบแม้กระทั่งความเชื่อบางคนเชื่อว่าหายป่วยจากไข่ไก่หมักกับน้ำส้มสายชู เคยได้ยินไหมครับ แต่เขาดังกันมาก ผมค้นมา ผมส่งทดสอบด้วย อยากจะรู้ แต่อีก 2 เดือนจะรู้ผล ดังนั้นเราจะแนะนำอะไร ถ้าผ่านเอเอสทีวี เราต้องมั่นใจเหมือนเครื่องทำน้ำด่างที่เรามั่นใจแล้ว
ทีนี้ผมจะมาชวนดูภาพนี้ เพื่อให้ดูว่า นี่คือลักษณะของสภาพร่างกายเรานี้นะครับ นี่คือหลอดอาหาร ปกติพอเรารับประทานอาหารเสร็จมันก็จะมาอยู่ที่กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารเราเป็นกรดอย่างมากเลยนะครับ จากกระเพาะอาหารเสร็จมันก็จะผ่านมาเข้าสู่ลำไส้เล็ก ในช่วงนี้แน่นอนครับ ถ้าเป็นในส่วนของอย่างเช่น เรามีเอนไซม์เช่น จากการย่อยแป้งเป็นน้ำตาล น้ำลายย่อย เวลาเราอมข้าวจะหวานใช่ไหมครับ เอาง่ายๆ เลย กระเพาะก็มีเหมือนกันเอนไซม์ย่อยโปรตีน เขาเรียกว่าเอนไซม์โปรติเอส(protease) ย่อยโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโน เวลาเข้าสู่ลำไส้เล็กร่างกายจะย่อยได้ก็ต้องอาศัยน้ำดี น้ำดีมาจากถุงน้ำดีหนึ่งมาจากตับอีกส่วนหนึ่ง ค่อยๆผลิตลงมา เพื่อทำให้สภาวะเหมาะสมช่วยในการย่อย จากนั้นตับอ่อนก็จะช่วยทำหน้าที่ผลิตเอนไซม์ไลเปส ถ้าเป็นไขมันก็จะเอาเอนไซม์ไลเปสมาย่อยไขมัน
ฉะนั้นถ้าหลักการนี้เป็นหลักการที่เราคิด และเข้าใจแล้ว นี่คือลำไส้เล็ก พอลำไส้เล็กก็ขดไปขดมาเยอะมากเลย คอยดูด จะเห็นได้ว่าพอลำไส้เล็กเสร็จ ก็จะมีเส้นเลือดดำคอยดูดกลับเข้าสู่ตับอีกครั้งหนึ่ง มันก็จะดูดทั้งสารพิษ อาหาร ทุกอย่าง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมตับสำคัญมาก เพราะว่าตับจะมีหน้าที่คัดกรองของเสีย เป็นโรงงานกำจัดแยกขยะทิ้ง กำจัดสารพิษ รวมถึงเผาผลาญสารอาหารเป็นพลังงาน มันก็จะทำให้เส้นเลือดดำคอยดูดทุกอย่างจากลำไส้เรากลับไปหาที่ตับ แม้กระทั่งลำไส้เล็ก จากลำไส้เล็กก็มาสู่สำไส้ใหญ่แล้วก็ถ่ายออกในทุกๆ วันแบบนี้
เพราะฉะนั้นกระบวนการล้างพิษตับก็คือ ขั้นแรกเลยนะครับ เข้าใจว่า หลักการเลยคือ 1 อดอาหาร เพื่อหนึ่งในระหว่างการล้างพิษ เขาอดอาหารเพื่อให้สิ่งที่ตกค้างในลำไส้ไม่มีกากอาหารมาปะปนอะไรแล้ว และก็กินสมุนไพรซึ่งช่วยในการขับถ่ายสิ่งที่ตกค้างในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ เช่น ลิดท็อกซ์ ก็คือซิลเลียม ซึ่งพองในลำไส้กวาดทุกสิ่งทุกอย่างในลำไส้เล็กออกมาสู่ลำไส้ใหญ่ก็ออกมาเป็นปล้องลำไส้เลย หรือ 2 ยาชำระเมือกมันของหมอปาน คือชำระสิ่งที่เป็นเมือกมัน หรือมูกเมือกที่คอยดักจับสารพิษในลำไส้ก็มีเหมือนน้ำมูกเราแล้วก็ขับมันออก เพราะเรารู้ว่ามีสารพิษเหมือนเราเอาน้ำมูกออก สิ่งที่มันๆก็เอาออกด้วย 3.คือว่า ในระหว่างการอดอาหาร ร่างกายจะค่อยๆ เอาไขมันส่วนเกิน น้ำตาลส่วนเกินไปใช้ เพื่อเผาผลาญพลังงานช่วงที่เราอด ในระหว่างนั้นเองร่างกายจะลำเลียงส่วนที่ไขมันตกค้างเข้าไปตามกระแสเลือดด้วย เพื่อมาให้ตับผลิตเป็นพลังงาน ไม่แปลกงานวิจัยต่างประเทศค้นพบว่า ช่วงระหว่างการอดอาหาร คอเลสเตอรอลจะสูงขึ้นในเส้นเลือด กลับกัน ทั้งๆ ที่เราไม่ได้กินอาหารเลย ก็เพราะว่าร่างกายดึงไขมันส่วนเกิน หรือตามไขมันชั้นเลวให้มันหลุดมาตามผนังเส้นเลือด หลุดมาตามกระแสเลือด วัดเลือดอย่างไรก็จะเจอไขมันมากกว่าปกติ เพื่อเข้าไปผลิตเป็นพลังงาน
ทีนี้พอเข้าใจหลักการนี้แล้วเรามาดูก่อนว่า หลักคิดของการล้างพิษตับ อดอาหาร ล้างพิษ ล้างลำไส้ให้สะอาดแล้ว เดี๋ยวนี้ล้างลำไส้ก็ยังมีอีกเทคนิคหนึ่งที่ไต้หวันก็คือใช้ผงเอนไซม์ ไม่ใช่กวาด เพราะกลัวว่ากวาดจะกวาดทุกสิ่งที่อย่างก็ไปย่อยสลายสิ่งตกค้างแทน เขาจะย่อยสลายสิ่งที่ตกค้างไว้ ไม่มีชีวิต เช่น กากอาหาร สิ่งตกค้างในลำไส้ทั้งหมด หลุดออกมาโดยที่ไม่ต้องใช้ลิดท็อกซ์ก็ได้ เห็นได้ว่ากระบวนการล้างลำไส้ในเมืองไทยมีภูมิปัญญาเยอะ ยาถ่ายมะขามก็ทำได้ ทำได้หลายวิธี แต่ว่าเอนไซม์จากไต้หวันก็จะย่อยสลายได้ด้วยเช่นเดียวกัน ก็ไม่ใช่ของไต้หวันอย่างเดียวนะครับ จะมีอีกหลายประเทศสามารถทำได้ ถ้าเป็นเอเอสทีวีเราจะต้องคัด และตรวจสอบได้จริงๆ ทีนี้เมื่อเป็นกระบวนการนี้เสร็จ เราก็เข้าใจว่าลำไส้สะอาดแล้ว ตับจะขับสารพิษได้อย่างไร
คำตอบคืออย่างนี้ครับ พอเรากินน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาวพอตกมาถึงกระเพาะผ่านมายังลำไส้เล็ก ร่างกายก็จะหลั่งน้ำดีออกมาเป็นจำนวนมาก เพราะว่าอดอาหารมา ออมน้ำดีไว้เยอะ พอหลั่งมาเป็นจำนวนมากมันก็จะเกิดกระบวนการย่อยน้ำมันมะกอก โจทย์สำคัญ ความลับคืออะไรรู้ไหมครับ น้ำดีส่วนใหญ่ส่วนประกอบคือคอเรสเตอรอล น้ำดีเนี้ยนะครับ ส่วนใหญ่คือคอเรสเตอรอล ไขมันชั้นเลวอยู่ในตับ มีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วยครับ เช่น มีเกลือน้ำดี มีเรซิติน มันช่วยย่อยคอเลสเตอรอล และยังมีเม็ดเลือดแดงตกค้างที่ตายแล้ว ที่นำมาจากม้ามมาช่วยผลิตเป็นน้ำดีด้วย เข้าใจหรือยังครับว่า น้ำดีคือของเสียชนิดหนึ่งด้วย
ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกว่า เหตุในการเกิดโรค ถ้าเกิดจากภายในตัวเราเองไม่นับออกกำลังกาย ไม่นับกรรม ไม่นับอย่างอื่นมี 4 อย่าง 1.ดี 2.ลม 3.มูกเมือก นี่พระไตรปิฎกนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ บอกว่า 4 คือ 3 อย่างมารวมกัน เป็นโรค ลองคิดดูนะครับ คิดตามนะครับ มูกเมือกเราก็เขาใจแล้ว ดักจับสารพิษไม่ว่าจะเป็นในลำไส้ จมูก ลม อาหารเน่า ค้าง เกิดแก๊ส ท้องอืด และก็ดี แต่ว่าพระพุทธเจ้าบอกว่า ดี เป็นข้อที่ 1 ที่แท้ดีก็คือคอเลสเตอรอลชั้นเลวส่วนใหญ่ เข้าใจหรือยังครับ
ฉะนั้นการที่น้ำมันมะกอก ไขมัน แล้วต้องใช้วิธีผิด ต้องใช้เอนไซม์ไลเปส จะมาย่อย ต้องแปลงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ด้วยการเอาน้ำดีจำนวนมากเข้ามาช่วยทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมการย่อย และน้ำดีส่วนใหญ่คือ คอเลสเตอรอล กระบวนการนี้คือใช้น้ำมันมะกอกล่อน้ำดีออกมาให้มากที่สุด พอไขมันมีคอเลสเตอรอลหรือไขมันชั้นเลวลดลงตับก็จะฟื้นตัว และข้อสำคัญที่สุดก็คือไขมันจากตับคนไม่รู้นะครับ ว่าเวลามีสารพิษหรืออนุมูลอิสระ ไขมันมันไปเคลือบอยู่ ดังนั้นพิษจำนวนมากที่มันละลายได้ในไขมันไปถูกเก็บที่ตับ ดังนั้นพอตับละลายไขมัน คอเลสเตอรอลเหล่านี้เป็นน้ำดีขึ้นเมื่อไหร่ สิ่งตกค้างและสารพิษก็สามารถที่จะออกมาได้ด้วย
กาญจนา - ที่เขาว่ากันว่าไขมันพอกตับ ไขมันพอกตับก็ออกมาด้วย
คลิก! อ่านต่อ