xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” ชี้ พท.ดัน กม.ปรองดองช่วย “แม้ว” แขวะ “ปู” จ้อ ปชต.ต้องปฏิบัติเองด้วย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (แฟ้มภาพ)
“อภิสิทธิ์” ไม่แปลกใจ ส.ส.พท.เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองของ “เฉลิม” เข้าสภาเพื่อช่วย “นช.แม้ว” ระบุแม้ตัด ม.5 ออกก็หนีกฎหมายการเงินไม่ได้ แขวะ “นายกฯ ปู” จ้อสื่อนอก โวเรื่องประชาธิปไตยต้องปฏิบัติเองด้วย อย่าวนเวียนแต่ผลประโยชน์ของกลุ่ม ชี้ “เหลิม” ฟ้องยูเอ็นต้านศาลเดียวหวังรื้อระบบช่วยนายใหญ่ พร้อมดักคอ “คำรณวิทย์” เลือกข้างการเมืองได้ แต่เปลี่ยนความจริงคนเผาเซ็นทรัลเวิลด์ไม่ได้ จี้รัฐบาลสะสางปัญหาพลังงาน รื้อโครงสร้าง ทำลายระบบผูกขาด ไม่หวัง “เพ้ง” แสดงสปิริตลาออกเหมือน รมต.เกาหลี มีแต่จะโยนประชาชนรับผิดชอบ


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยื่นร่าง พ.ร.บ.ปรองดองของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เข้าสภาว่า ไม่รู้สึกแปลกใจเพราะตนบอกมาตลอดว่าสุดท้ายก็ต้องเดินต่อเนื่องจากเป็นผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคงจะมีการผลักดันให้ผ่าน

ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า การที่รัฐบาลเดินเกมสองหน้าโดยพรรคเพื่อไทยสนับสนุนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย แต่ยังเสนอร่างกฎหมายของ ร.ต.อ.เฉลิมเข้าสภาด้วยนั้น เป็นเพราะสุดท้ายต้องไปจบที่ผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตนเชื่อว่าประชาชนมองออก มีแต่ในหมู่เสื้อแดงที่ไม่สนับสนุนร่างของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็อาจจะกดดัน แต่สุดท้ายแล้วก็คงพยายามหาคำตอบให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ดี

ส่วนปลายทางจะใช้วิธีเอามาร่วมกันพิจารณาหรือแปรญัตติก็ต้องให้สังคมจับตาและตรวจสอบตลอดเวลา เพราะถ้า ร.ต.อ.เฉลิมอ้างว่ากฎหมาย 2 ฉบับนี้ไม่สามารถนำมาพิจารณารวมกันได้ เพราะหลักการต่างกันนั้น ตนก็จะได้อ้างในเวลาที่มีการเสนอให้พิจารณารวมกันว่าทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าเวลาที่ ร.ต.อ.เฉลิมเพลี่ยงพล้ำ เช่น ยอมรับว่าเป็นกฎหมายการเงิน ตอนนี้ก็พยายามแก้ไขไม่ให้เป็นกฎหมายการเงิน

“แม้จะตัดมาตรา 5 ออกไป กฎหมายดังกล่าวก็ยังเป็นกฎหมายการเงิน เนื่องจากในมาตรา 4 ที่ยกเลิกคดีของ คตส.ทั้งหมดเป็นการก่อให้เกิดสิทธิที่จะเรียกร้องต่อรัฐได้ ดังนั้นการเสนอกฎหมายนี้ ต้องให้นายกรัฐมนตรีลงนาม แต่คาดว่าคงมีความพยายามที่จะตีความว่าไม่ใช่กฎหมายการเงิน เหมือนกับที่เคยมีปัญหาในการเสนอกฎหมายปรองดองที่ค้างอยู่ในสภาว่าไม่ใช่กฎหมายการเงินมาแล้ว จึงต้องดูว่าคราวนี้จะทำอย่างไร”

ส่วนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่ประเทศญี่ปุ่นว่าปัญหาของประเทศไทยจะจบลงได้ด้วยการพูดคุยตามวิถีประชาธิปไตยนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กระบวนการประชาธิปไตยและกระบวนการยุติธรรมเป็นคำตอบ แต่ต้องแยกแยะให้ถูกว่าเรื่องไหนใช้กระบวนการยุติธรรม เรื่องไหนใช้เสียงข้างมาก แต่ขณะนี้ปัญหาของรัฐบาลคือไม่ได้ใช้สองกระบวนการนี้อย่างเดียว แต่มีการใช้มวลชนและอำนาจรัฐในการกดดัน ซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตย และพยายามให้เกิดความสับสนในเรื่องที่ต้องจบโดยกระบวนการยุติธรรม แต่จะใช้เสียงข้างมากลบล้าง

ทั้งนี้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อ้างถึงคำว่าประชาธิปไตยบ่อยครั้ง ก็อยากเรียกร้องให้มาปฏิบัติด้วย เพราะหากยังปล่อยให้ผู้สนับสนุนตัวเองข่มขู่คนอื่น เจ้าหน้าที่รัฐยังถูกใช้ไปข่มขู่ในทางการเมือง อย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย ทำให้บ้านเมืองเดินไปไหนไม่ได้ เพราะยังวนเวียนอยู่กับผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่ง และยังเป็นการสร้างมาตรฐานหรือบรรทัดฐานที่อันตราย เนื่องจากมีการเอากำลังมวลชนมากดดันฝ่ายต่างๆ ที่ควรจะทำงานอย่างอิสระและเที่ยงตรง ซึ่งตนเห็นว่าสังคมต้องเข้มแข็งไม่หวาดกลัวต่อแรงกดดัน ทั้งนี้ยังเชื่อว่ายิ่งมีแรงกดดันมากขึ้นก็จะยิ่งทำให้เกิดการผนึกกำลังของคนที่ไม่ยอมให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง เข้ามาครอบงำมีเพิ่มมากขึ้น และขอแสดงความยินดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลอันดับที่ 31 ของโลก โดยขอให้ใช้อิทธิพลนั้นเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนไทย

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม เตรียมรายงานสหประชาชาติว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของไทยไม่เป็นไปตามหลักสากลเพราะพิจารณาศาลเดียวว่า การรายงานตามสนธิสัญญาก็ต้องรายงานตามข้อเท็จจริง แต่ในหลายประเทศก็มีการพิจารณาศาลเดียวเช่นเดียวกัน โดยเห็นว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็เป็นความพยายามที่จะรุกคืบกดดันเพื่อไปสู่จุดที่เป็นเป้าหมายคือประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นคนที่ก้าวไม่พ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม สำหรับต่างประเทศก็คงเห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาภายในของไทยและคนที่ติดตามข่าวก็จะเข้าใจดีว่าปัญหาอยู่ตรงไหน โดยในขณะนี้ก็พยายามที่จะรื้อระบบเพื่อแก้ปัญหาให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนเดียว ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ขัดแย้ง ถ้ารัฐบาลละทิ้งเรื่องนี้ไปแก้ปัญหาให้ประชาชนก็จะไม่มีประเด็นที่ต้องขัดแย้งกัน

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากการส่งสัญญาณผ่านเวทีเสื้อแดงที่ราชประสงค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ให้รองานใหญ่ก็คิดว่าน่าจะมีหลายเรื่อง ทั้งการกดดันศาล รื้อรัฐธรรมนูญ จึงมีความพยายามที่จะปลุกมวลชนขึ้นมา และใช้อีกหลายวิธีการ ซึ่งตนยืนยันว่าไม่ใช่วิธีการที่เป็นประชาธิปไตย ในส่วนของพรรคก็ทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเต็มที่ ทั้งการคัดค้านในสิ่งที่ไม่ถูกต้องและการตรวจสอบเชิงนโยบาย การสไกป์ของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่มีผลอะไรต่อการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เตรียมออกหมายจับผู้ต้องสงสัยเผาเซ็นทรัลเวิลด์ว่า สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องไปจบที่ศาล ใครทำไม่ถูกต้องก็ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ส่วนคดี พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่มีการเปลี่ยนแปลงคดีจากเดิมมีตัวผู้ต้องสงสัยกลายเป็นไม่มีความคืบหน้านั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องทวงถามความเป็นธรรมกันต่อ เพราะคดีในขณะนี้ก็มีข้อโต้แย้งกันอยู่มาก รวมถึงกรณีที่มีการดำเนินคดีต่อตนก็มีการฟ้องร้องกันอยู่

ทั้งนี้ เห็นว่าไม่ว่าจะมีความพยายามเปลี่ยนแปลงคดีในกระบวนการยุติธรรมตั้งต้นอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้ หากมีการบิดเบือนความจริงคนที่ทำผิดก็ต้องรับผิดชอบในทางกฎหมาย และการที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เลือกข้างในทางการเมืองก็ไม่สามารถเลือกข้อเท็จจริงได้ เพราะการประกาศเลือกข้างไปแล้วต้องไม่ให้มากระทบต่องาน แต่หากมีความพยายามจะเปลี่ยนแปลงความจริงก็เชื่อว่าจะถูกโต้แย้งจากผู้ที่มีข้อเท็จจริงโดยไม่ยอมให้มีการบิดเบือนเกิดขึ้น

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การที่ตำรวจนครบาลเพิ่งออกมาเปิดเผยข้อมูลทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมา 3 ปีแล้ว โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลเดียวกับของดีเอสไอในปี 2553 ก็ต้องตั้งคำถามว่าทำไมจึงทิ้งช่วงหายไปนาน แต่ที่มาเปิดเผยช่วงนี้อาจเป็นเพราะมีรางวัลจาก พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวตำหนิรัฐบาลว่าให้ความสนใจเกี่ยวกับปัญหาไฟฟ้าดับ 14 จังหวัดในพื้นที่ภาคใต้น้อย โดยในแต่ละวันจะมีแต่ข่าวเรื่องคนเสื้อแดงกับปัญหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งๆ ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สะท้อนถึงความมั่นคงด้านพลังงาน โดยรัฐบาลต้องชี้แจงว่า ทำไมจึงไม่มีระบบสำรอง ซึ่งการดำเนินการเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางพลังงานก็ต้องดำเนินการไป แต่ไม่ควรนำมาปะปนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม เพราะก่อนหน้านี้คำพูดของนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงานก็ชัดเจนมาก ดังนั้นจึงต้องมีการสอบหาข้อเท็จจริงเพื่ออธิบายต่อประชาชนจะได้ไม่มีการอ้าง หรือกล่าวหาตามมา

ทั้งนี้ เห็นว่าภาพรวมของพลังงานถึงเวลาที่ต้องเปิดเผยและสะสางอย่างเป็นระบบ เนื่องจากที่ผ่านมาข้อมูลจากภาครัฐที่เปิดเผยต่อสาธารณะยังไม่เพียงพอ ขณะที่ภาคประชาชนก็มีมุมมองอีกแบบหนึ่ง ดังนั้นจึงควรให้ทั้งสองฝ่ายได้เสนอข้อมูลต่อสาธารณะ เพื่อประเมินให้ตรงกันและเกิดความหลากหลายของแหล่งพลังงานที่เป็นที่ยอมรับ และมีความยั่งยืน แต่โครงสร้างการบริหารที่มีปัญหาผูกขาด ประชาชนต้องแบกรับภาระค่อนข้างสูงก็ต้องมาหาคำตอบเหมือนกัน ไม่ใช้ใช้วิธีขู่ประชาชนเพราะเรื่องที่ไม่ถูกต้อง โดยก่อนหน้านี้ก็เคยมีการอ้างว่าพม่าจะปิดซ่อมโรงไฟฟ้าซึ่งจะส่งผลกระทบให้ไฟฟ้าดับในช่วงเดือนเมษายนมาแล้ว

ส่วนเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเคยเกิดขึ้นปี 2554 ที่เกาหลีใต้ทำให้รัฐมนตรีที่ดูแลด้านพลังงานลาออกจากตำแหน่งนั้น คงไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกับการตัดสินใจของนายพงษ์ศักดิ์ รมว.พลังงานได้ เพราะมีแต่บอกว่าประชาชนจะต้องรับผิดชอบ จึงถือว่าเป็นคนละมาตรฐานกัน อย่างไรก็ตาม อยากให้ รมว.พลังงานเปิดเผยผลสอบข้อเท็จจริงกับสังคมด้วย เพราะเคยไปพูดในสิ่งที่ทำให้สังคมเกิดความหวาดระแวงอยู่แล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น