“องอาจ” ชี้ กม.ปรองดองยาก โดนต่อต้านหนัก ทำบังหน้าเพื่อประโยชน์พวกพ้อง ด้าน “เทพไท” เชื่อแค่เอาใจนายใหญ่แต่ไม่เห็นหัวแดง ยันหมกเม็ดคืนเงิน “นช.แม้ว” ชัด แนะร่างใหม่ “ทักษิณ” ทำอะไรก็ไม่ผิด เชื่อแก้ รธน.เปลี่ยนวาระ ส.ว.มีต่อรอง
วันนี้ (18 พ.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ลงชื่อเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เข้าสู่สภาวันที่ 23 พ.ค.ว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ตนมองว่าอาจจะหวังดี และอยากให้ประเทศชาติสงบ และไม่เกิดความขัดแย้ง แต่ในทางปฏิบัติทางกฎหมายนั้น เป็นเรื่องยากที่กฎหมายดังกล่าวจะทำให้เกิดความปรองดองในประเทศได้ ด้วยเหตุผล 2 ประการ
นายองอาจ กล่าวว่า 1.เป็นการออกกฎหมายแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะกฎหมายที่ออกมาทำได้ยาก จะมีการต่อต้านทั้งในสภา และนอกสภาเหมือนปีที่แล้ว และการต่อต้านก็จะมีมากกว่าปีที่แล้วด้วย ดังนั้น กฎหมายดังกล่าวก็จะผ่านไปได้ยาก และคณะผู้เสนอกับหน่วยที่เกี่ยวข้องก็จะเกิดปัญหา และมีผลกระทบต่างๆ ตามมา ทั้งนี้ เห็นว่ารัฐบาลเคยประกาศว่า ในเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองนั้น จะต้องมีการสานเสวนาก่อน แต่จนมาถึงวันนี้รัฐบาลไม่ได้เริ่มสานเสวนาอย่างที่ประกาศไว้ กลับหักด้ามพร้าด้วยเข่านำกฎหมายนี้เข้าสภาเลย 2.กฎหมายดังกล่าวชัดเจนว่าออกเพื่อบุคคล และกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มากกว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ซึ่ง พ.ร.บ.ปรองดองดังกล่าวเป็นการทำลายระบบนิติรัฐ และความยุติธรรมของประเทศ เพราะมีกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากกฎหมายนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น กฎหมายดังกล่าวจึงไม่ใช่การปรองดองอย่างแท้จริง เป็นการใช้คำว่าปรองดองบังหน้าเพื่อนำไปสู่ประโยชน์ดังกล่าว
ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ของ ร.ต.อ.เฉลิม ถือเป็นการเสนอเพื่อเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยไม่สนใจกลุ่มคนเสื้อแดง ตนเชื่อว่า หากมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง จะทำให้มีกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนไม่เห็นด้วย เนื่องจากเป็นการเสนอนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ทำให้คนที่คนเสื้อแดงกล่าวหาว่า เป็นฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน ได้รับผลประโยชน์ไปด้วย และเมื่อดูสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ทั้ง 6 มาตรา ของ ร.ต.อ.เฉลิม จะพบว่า เป็นการล้างผิดให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งที่โต้เถียงกันมากที่สุดใน พ.ร.บ.ฉบับนี้คือ จะมีผลบังคับในการคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ แต่ ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่า ไม่มีการบัญญัติไว้ในรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.นี้ แต่ในมาตรา 4 ระบุชัดเจนว่า บรรดาการกระทำใดๆ ที่มาจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ไม่มีผล ซึ่งการยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาจากการฟ้องของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ตั้งโดย คมช.
นายเทพไท กล่าวว่า จึงอยากให้ ร.ต.อ.เฉลิม กลับไปดูมาตรา 3 วรรค 2 ว่า การกระทำใดๆ เกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นจาก คมช.หากอยู่ระหว่างฟ้องร้อง ให้พนักงานอัยการ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระงับการฟ้อง และหากอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดี แต่ถ้าคดีถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่า ไม่เคยต้องคำพิพากษาว่า มีกระทำผิด แต่ถ้าได้รับโทษให้ถือว่าโทษนั้นสิ้นสุด แสดงให้เห็นว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความผิด ตามมาตรา 4 ก็จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับเงินคืน ตามมาตรา 3 วรรค 2
“อยากบอก ร.ต.อ.เฉลิม ว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็น พ.ร.บ.ที่หมกเม็ด ช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหลัก ส่วนบุคคลอื่นที่ได้รับอานิสงส์ก็ถือว่า เป็นส่วนประกอบ ถ้า ร.ต.อ.เฉลิม จะเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยไม่อายประชาชน ผมอยากเสนอว่า ไม่ต้องเขียนถึง 6 มาตรา เขียนเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการร่างกฎหมายเพียง 2 มาตราก็พอแล้ว คือ มาตรา 1 พ.ต.ท.ทักษิณ ทำอะไรก็ไม่มีความผิด และมาตรา 2 ถ้าอะไรที่เป็นความผิดก็ให้กลับไปดูมาตรา 1” นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มา ส.ว. แถลงอีกว่า ตนตั้งข้อสังเกตถึงการพิจารณาว่าด้วยเรื่องที่มา ส.ว.ว่า ขณะนี้มีการจับมือระหว่าง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และ ส.ว.บางส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ และมีการต่อรองเงื่อนไขในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่มีการสรุป หรือหาข้อยุติในบางประเด็นไว้แล้ว แต่มีความพยายามให้นายใหญ่ลงมาสั่งการล็อบบี้ และบังคับให้เป็นไปตามความต้องการของ ส.ว. โดยมีความพยายามกลับมติ เหมือนกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ที่พรรคเพื่อไทย แพ้มติในวาระ 2
นายเทพไท กล่าวว่า จากนั้นเพียง 1 คืนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สไกป์มา ก็มีการกลับมติ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ในการแก้ไขประเด็นวาระของ ส.ว.โดยที่ประชุมได้มีข้อยุติว่า ให้ ส.ว.เลือกตั้ง มีวาระ 4 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับวาระการเมืองฝ่ายอื่นๆ แต่เมื่อมีการพิจารณาสรุปร่างเพื่อจะนำเสนอสภาฯ ใหญ่ก็มี ส.ส.เพื่อไทย และ ส.ว.บางส่วนเสนอให้เปลี่ยนแปลงเป็นวาระ 6 ปีตามเดิม ซึ่งก็ได้รับเสียงคัดค้านจากกรรมาธิการซีกพรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้วิธีการนับองค์ประชุม จนทำให้องค์ประชุมล่ม
“เชื่อว่า ในช่วงวันที่ 21-22 พ.ค. น่าจะมีการโหวตเปลี่ยนวาระของ ส.ว.ให้เป็น 6 ปี ตามความต้องการของ ส.ว. โดยเร่งรีบแก้ไขให้กฎหมายฉบับนี้ทันการหมดวาระของ ส.ว.ในวันที่ 2 มี.ค.2557 เพื่อสอดคล้องกับ ส.ส. บางส่วนที่ถูกปลดล็อก ในกรณีบ้านเลขที่ 109 เพื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง ส.ว.ได้โดยสะดวก และเงื่อนไขของการเข้าดำรงตำแหน่งของ ส.ว. ไม่มีการกำหนดคุณสมบัติว่า คนที่เคยเป็น ส.ส. อดีต ส.ว. คู่สมรส ลูกหรือใครก็ตาม จึงถือว่า นี่เป็นการปล่อยผีครั้งใหญ่ทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง” นายเทพไท กล่าว