xs
xsm
sm
md
lg

พท.ยื่นไม่รับอำนาจศาล รธน.สัปดาห์หน้า ปัดส่งแดงเฝ้าหน้าศาล โวถ้าทำจริงมาเป็นแสน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (แฟ้มภาพ)
รองโฆษกเพื่อไทยคาดยื่นจดหมายไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญได้สัปดาห์หน้า ยันไม่ได้ล้มล้างองค์กรอิสระ แต่ขู่ถอดถอนถ้าเมินคำร้อง ปัด “นช.แม้ว” จัดตั้งแดงชุมนุมหน้าศาล อ้างถ้าทำจริงมาเป็นแสน ป้อง “นพดล” แค่ไม่เอาแถลงการณ์ร่วมเข้าสภา ไม่ได้ทำเสียดินแดน ซัด “ชวนนท์” ใส่ความเท็จ

วันนี้ (27 เม.ย.) ที่พรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการร่างจดหมายเปิดผนึก เพื่อแสดงจุดยืนไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ กรณีรับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า ขณะนี้หนังสือเปิดผนึกเพื่อปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอตรวจความเรียบร้อยในขั้นตอนสุดท้ายอยู่ คาดว่าจะส่งได้ภายในสัปดาห์หน้า โดยในวันที่ 30 เม.ย.นี้จะมีการประชุมพรรคเพื่อไทย จะได้นำร่างมาถกในที่ประชุม ส.ส.ก่อน ซึ่งคาดว่าในวันที่ 1-2 พ.ค.จะยื่นจดหมายดังกล่าวได้ เนื้อหาในหนังสือจะเป็นการยืนยันทางกฎหมายว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่ฝ่ายนิติบัญญัติทำได้ รวมถึงยืนยันหลักการแบ่งแยกอำนาจ 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ พร้อมยกเหตุผลประกอบและเอกสารอ้างอิง เพื่อชี้แจงทั้งศาลรัฐธรรมนูญรวมถึงประชาชนด้วยยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่การก้าวล่วงอำนาจศาลหรือต้องการสร้างความขัดแย้งกับศาลไปจนถึงต้องการล้มล้างองค์กรอิสระตามที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา

นายอนุสรณ์กล่าวว่า แต่เราจะยืนยันกับศาลรัฐธรรมนูญว่าจะก้าวล่วงฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้ เพราะขัดกับการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นการกดดันศาลรัฐธรรมนูญ หรือล้มองค์กรอิสระตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหา แต่เป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการถ่วงดุลอำนาจเท่านั้นส่วนความคืบหน้าการถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีรับเรื่องการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่าขณะนี้มี ส.ส.รัฐบาลมาลงชื่อไปแล้ว 100 กว่าคน ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะการยื่นถอนถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้เสียงเพียง 1 ใน 4 ของสมาชิกรัฐสภาเท่านั้น แต่กรณีนี้ ส.ว.จะไม่เข้าชื่อร่วมถอดถอนด้วย เพราะ ส.ว.ต้องทำหน้าที่พิจารณาถอดถอนในขั้นตอนสุดท้าย หากป.ป.ช.ส่งเรื่องมาให้ดำเนินการ โดยต้องใช้เสียง ส.ว.3 ใน 5 หรือ 90 เสียงในการถอดถอน แต่เราไม่ได้หวังถึงจุดนั้น แค่หวังแสดงจุดยืน แสดงท่าทีว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่ศาลรัฐธรรมนูญก้าวก่ายอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น ส่วนการยื่นถอดถอนนั้น จะถอดถอนเฉพาะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 3 คนที่รับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้พิจารณา ส่วนจะยื่นถอดถอนเมื่อใดนั้น ขอดูท่าทีจากศาลรัฐธรรมนูญ ภายหลังจากที่ 312 ส.ส.-ส.ว.ยื่นจดหมายเปิดผนึกปฏิเสธอำนาจศาลแล้วว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้ายังคงนิ่งเฉย และดำเนินการวินิจฉัยต่อไป ก็ต้องยื่นถอดถอน

นายอนุสรณ์กล่าวถึงข้อหาของคณะ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ใช้เป็นประเด็นในการยื่นถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญโดยเห็นว่า ข้อกล่าวหานายสมศักดิ์ ในเรื่องความไม่เป็นกลางและการทำผิดข้อบังคับนั้น ไม่มีน้ำหนักแต่อย่างใดเนื่องจากการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นผู้เรียกร้องให้นายสมศักดิ์ทำหน้าที่ประธานการประชุมแทนนายนิคมไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภาเองซึ่งแสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เองก็เห็นว่านายสมศักดิ์ มีความเป็นกลาง ขณะเดียวกันยืนยันว่านายสมศักดิ์ ไม่เคยร่วมประชุมพรรคเพื่อไทยเพื่อพิจารณากรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 แต่อย่างใด เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประธานสภาต้องวางตัวเป็นกลางซึ่งเป็นผลให้นายสมศักดิ์ไม่สามารถร่วมประชุมกับพรรคได้ โดยตั้งแต่รับตำแหน่งประธานสภามานายสมศักดิ์ก็ไม่เข้าประชุมพรรคแม้แต่ครั้งเดียวส่วนนายสมศักดิ์จะยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญในนามส่วนตัวหรือไม่ เป็นสิทธิส่วนตัว แต่จากปัญหาดังกล่าว เกิดจากการตามใจอภิสิทธิ์ชนไม่ถูก วันหนึ่งบอกว่าทำหน้าที่ดี วันดีคืนดีร้องถอดถอน หรือ ในอดีตบอกว่ารัฐธรรมนูญแก้แบบรายมาตราได้ วันนี้แก้ไม่ได้ ไม่มีหลักประกันอะไรทั้งนั้น ในสังคมอภิสิทธิ์ชนยกระดับ กรรมการชกคนดู

นายอนุสรณ์กล่าวถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์พาดพิงว่า พ.ต.ท.ทักษิณเกี่ยวโยงกับการชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญเพราะต้องการทำลายองค์กรอิสระ ว่า ไม่เป็นความจริง คนที่ไปชุมนุมมีประมาณ 100-200 คน หากเราจัดตั้งจริงคนจะมาเป็นหมื่นเป็นแสน ต้องยอมรับว่ามีประชาชนไม่น้อยที่คลางแคลงใจศาลรัฐธรรมนูญจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น ตัดสินให้การทำกับข้าวเป็นความผิด บังคับใช้กฎหมายที่มาจากคำสั่งคณะรัฐประหารลงโทษย้อนหลัง การชุมนุมอย่างสงบ เปิดเผย ปราศจากอาวุธ สามารถกระทำได้ แต่หากมีการกระทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ เพราะเราเองก็ไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ คงไม่มีใครกดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ เท่าที่ทราบ 2-3 ก็น่าจะยุติชุมนุมแล้ว แต่ท่าทีของทั้งสองฝ่ายอาจมีส่วนทำให้มีการยกระดับ จากกรรมการชกนักมวยมาเป็นกรรมการชกกองเชียร์แล้ว กลุ่มคนเสื้อแดงมีหลากหลายซึ่งเป็นผลจากความไม่เป็นธรรม ซึ่งต่างก็ได้ถอยให้กับความอยุติธรรมมามากพอแล้ว ส่วนตัวเห็นว่าไม่ควรปิดกั้น ควรเปิดพื้นที่ให้คนเหล่านั้นแสดงออกตราบเท่าที่การชุมนุมไม่ละเมิดกฎหมาย ซึ่งการชุมนุมนอกรั้วศาลรัฐธรรมนูญน่าจะทำได้ ไม่ใช่การเดินคู่ขนาน พรรคเพื่อไทยยึดมั่นในวิถีทางรัฐสภา

นายอนุสรณ์กล่าวถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์จัดงานพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และได้มีกลุ่ม นปช.แหลมฉบังหลายสิบคน ถือป้ายโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ผู้นำฝ่ายค้านและนำรถมาปราศรัยตรงข้ามกับที่จัดงาน ว่า เท่าที่ทราบ ทางตำรวจนำโดย พ.ต.อ.ศักดิ์รพี เพียวพนิช ผกก.สภ.แหลมฉบัง ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและตำรวจอาสารวม 40 นายมาเฝ้าระวังป้องกันเหตุรอบบริเวณงานเพื่อไม่ให้มีการกระทบกระทั่งด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่นายอภิสิทธิ์ต้องคิดไตร่ตรอง ในช่วงที่ผ่านมา ทำอะไรลงไปบ้าง ทำไมไปที่ไหน ถึงมีคนออกมาต่อต้านไม่หยุดหย่อน ทั่วทุกหัวระแหง หรือเกิดจากกรณีกรณีที่มีผู้เสียชีวิตในเหตุชุมนุมทางการเมือง แล้วไม่เคยออกมาขอโทษหรือไม่ กรรมออนไลน์ มาไวกว่าความรับผิดชอบทางการเมืองเสมอ จะหวังเอาแต่เปิดเวทียั่วยุแล้วฟ้องกรรมการ จะเอาจุดโทษอยู่ร่ำไปคงไม่ได้ เพราะกรรมการเขาไม่ว่าง ทะเลาะกับคนดูอยู่

นายอนุสรณ์กล่าวถึงกรณีนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ประทับรับคำฟ้องในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง นายนพดล ปัทมะ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีลงนามแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ว่า ไม่เหนือความคาดหมาย ที่นายชวนนท์ และพรรคประชาธิปัตย์ จะกระโดดเข้าผสมโรงกับศาลฎีกา ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเพียงแค่การไม่นำแถลงการณ์ร่วมเข้าสภา

นายอนุสรณ์กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ตีปีกราวกับว่านายนพดลเป็นผู้ทำให้เสียดินแดน ซึ่งเทียบไม่ได้กับ การสั่งการให้ปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธสงครามกลางเมือง การออกมาเหยียบย่ำซ้ำเติม กล่าวหาใส่ร้ายต่อคนไทยด้วยกันเอง ด้วยความเท็จว่าปล่อยให้กัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้ว หมายความว่าเรายกพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชาไปด้วย ซึ่งข้อเท็จจริง ก็เป็นไปตามที่นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ และศาสตราจารย์อแลง แปลเล่ต์ ได้ชี้แจงไปแล้วว่ากัมพูชาได้ไปเฉพาะตัวปราสาท ไม่รุกล้ำแนวเขตแดน ที่กำหนดโดยมติ ครม.สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทีมทนายฝ่ายไทยยังยืนยันว่า แถลงการณ์ร่วมสมัยรัฐบาลสมัครนั้น เป็นประโยชน์ จึงอยากยื่นเอกสารนั้นขึ้นมาต่อสู้คดี ทำเรื่องขอไปยังศาลปกครองแต่ใช้ไม่ได้ เพราะศาลปกครองสั่งให้เป็นโมฆะไปแล้ว การแถลงคดีจบแล้ว แต่นายชวนนท์ ทำตัวราวกับว่าเป็นทนายกัมพูชาไม่สิ้นสุด กล่าวหานายนพดลด้วยความเท็จ ทุ่มสุดตัว ด่าคนไทยด้วยกันเองแบบคนชอบเสี่ยง กล้าได้กล้าเสีย ทั้งที่ไม่เป็นผลดีกับการต่อสู้คดี


กำลังโหลดความคิดเห็น