โฆษก ปชป.ชื่นชมทีมทนายฝ่ายไทย สู้คดีพระวิหารได้ยอดเยี่ยม พร้อมแนะรัฐบาลเตรียมรับมือคำพิพากษาศาลโลกทุกรูปแบบ หวังข้อมูลใหม่พลิกประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะกรณีที่เขมรดัดแปลงแผนที่เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง เหน็บ “ปึ้ง” รกศาลหวังเกาะชายกางเกงทีมทนายดัง จี้ “สุรพงษ์” ย้าย “วีรชัย” กลับมานั่ง เจบีซีไทย-กัมพูชา เหมือนเดิม หลังถูกเด้งโดยไร้เหตุผล
วันนี้(20 เม.ย.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแถลงให้การด้วยวาจาปิดการชี้แจงของฝ่ายไทย ในคดีปราสาทพระวิหาร ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ว่า ขอชื่นชมการทำงานของทีมกฎหมายฝ่ายไทย ตนอยากให้คนไทยติดตามการทำงานของศาลโลก โดยให้ความสำคัญใน ข้อ 60 ของข้อบังคับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่ระบุชัดว่า ศาลโลกไม่สามารถขยายคำพิพากษาหรือนำคำพิพากษาเดิมมาตัดสินใหม่ โดยทำได้เพียงการตีความคำพิพากษา ในกรณีที่คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย มีความเห็นต่างกันในเรื่องการตีความคำพิพากษา หรือในบทปฏิบัติการ
และไทยต้องยืนยันว่าไม่ได้เป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชา แต่กัมพูชาพยายามยั่วยุ ใช้อาวุธรุกรานไทยมาโดยตลอด โดยหวังให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันเพื่อให้เกิดภาพว่า ไทยรังแกประเทศที่เล็กกว่า และจะนำไปฟ้องในเวทีนานาชาติ ทั้งนี้กัมพูชาเห็นตรงกับไทยในการยอมรับคำสั่งศาลมาเกือบ 50ปี แต่วันนี้กลับไปบอกศาลว่า มีความเห็นไม่ตรงกัน จึงอยากให้ไทยได้ย้ำว่า เป็นเพราะเกิดจากการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกหรือไม่
นายชวนนท์กล่าวว่า นอกจากนี้หากศาลรับพิจารณาคำพิพากษา ในเนื้อหาสาระที่อยากให้รัฐบาลได้เน้นหนักในการต่อสู้คือ ข้อมูลใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการแก้ไขประวัติศาสตร์ ความเพลี่ยงพล้ำของเราในอดีต เช่น แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตารางกิโลเมตร ที่กัมพูชาพยายามกล่าวอ้าง แต่ทีมทนายของไทยระบุชัดว่าแผนที่ดังกล่าวของกัมพูชาไม่ได้มีฉบับเดียว และกัมพูชาเองก็สับสนในการใช้แผนที่ว่า จะใช้ฉบับไหน และยังมีการดัดแปลงลงในแผนที่ฉบับใหม่ จนทำให้เส้นเขตแดนเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ ประเด็นที่เราจะต้องเอาชนะกัมพูชาก็คือ ไทยกับกัมพูชาต้องกลับมาทำหลักเขตแดนให้ชัดเจนโดยใช้เอ็มโอยู 43 ซึ่งเป็นกระบวนการที่ครบ เมื่อเราตีแผนที่ของกัมพูชาตกไปแล้ว ก็ยืนยันว่าด้วยเหตุผลที่แผนที่ตกไปกัมพูชากับไทยจึงต้องกลับมาปักปันเขตแดนกัน ทั้งนี้รัฐบาลต้องเตรียมพร้อมรับมือกับคำพิพากษาทุกรูปแบบ อยากให้รัฐบาลคิดตั้งแต่วันนี้ไม่ใช่เริ่มคิดเมื่อคำตัดสินออกมาแล้ว หรือให้ทีมทนายความคิดให้ทั้งหมด
ส่วนที่รัฐบาล เช่น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ พยายามพูดว่า หากไทยแพ้คดีพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นผู้แต่งตั้งนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ และทีมทนายความนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยปฏิเสธความรับผิดชอบ แต่กลับเห็นความกลับกลอกของคนในรัฐบาล ที่เมื่อเห็นว่าทีมทนายความทำงานดีก็สวมรอยเอาเป็นผลงาน ซึ่งคนทั้งประเทศรู้ดีว่าเป็นผลงานของทีมทนายความไทย เพราะคนของรัฐบาล 3 คนที่ไปนั่งเกะกะในศาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร
“แต่ที่น่าอายคือ พอเห็นทีมทนายความทำงานดีก็เอามาอวดอ้างเป็นผลงานตัวเอง เกาะชายกางเกงเขาดังซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายใจ แต่ก็ทำให้เห็นได้ว่าคนที่ตั้งใจดูแล ปกป้องผลประโยชน์ประเทศจะมีความคงเส้นคงวาขณะที่คนหวังได้ชื่อเสียงไม่ยึดผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้งนั้นก็จะมีพฤติกรรมกลับกลอก หลอกลวง เหมือนหลายคนในรัฐบาลชุดนี้”
นายชวนนท์กล่าวว่า คนที่นายสุรพงษ์บอกว่าเป็นวีรบุรุษนั้น นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ เคยย้ายไปแขวนในตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวง โดยอ้างว่าเป็นความก้าวหน้า ซึ่งนายสุรพงษ์ควรมีความละอายใจ ที่ได้ย้าย นายวีรชัยออกจากการเป็นคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี จึงอยากให้ประชาชนคิดว่าคนอย่าง นายวีรชัย ควรที่จะอยู่ในเจบีซีหรือไม่ เพราะจะมีกี่คนที่รู้เรื่องนี้ดีกว่านายวีรชัย จึงอยากถามนายสุรพงษ์ว่าย้ายนายวีรชัยออกจากเจบีซีทำไม และขอเรียกร้องให้นายสุรพงษ์ แต่งตั้งนายวีรชัย เข้าเป็นเจบีซีเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ”