xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อสภาเป็นทาสโจร ชาวบ้านก็มีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญเอง!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

เชื่อว่าหลายคนยังรู้สึกผะอืดผะอม ขยะแขยงไม่หาย หากได้เห็นการอภิปรายในสภาระหว่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเมื่อสองสามวันก่อน เพราะการอภิปรายในสภาตลอดทั้งสามวันล้วนแล้วแต่อ้างประโยชน์ของประชาชน ทำเพื่อประชาชน และมาจากประชาชน พูดจายังกะท่องจำ เขียนบทแบบเดียวกันไม่มีผิด ทั้งที่ในเนื้อหาสาระล้วนแล้วแต่ทำเพื่อประโยชน์และอำนาจของนักการเมืองทั้งสิ้น ซึ่งนาที่นี้สังคมรับรู้กันไปแล้ว เพราะหากพิจารณากันโดยใช้สติปัญญาเพียงเล็กน้อย ก็ดูออกได้ไม่ยาก

ที่ผ่านมารับรู้กันแล้วว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้สติปัญญาของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้อยลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามนักการเมืองเลวๆพวกนี้ต่างหากที่เป็นตัวขัดขวางความเจริญของบ้านเมือง และเห็นแก่ตัวจนน่ารังเกียจ

ขณะเดียวกัน เมื่อมองสภาในเวลานี้ถือว่าระบบการถ่วงดุล และการแบ่งแยกอำนาจสามฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เมื่อ ฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาได้กลายเป็น “ลูกน้อง” หรือถ้าให้ตรงไปตรงมาให้เห็นภาพเข้าไปอีกอาจจะเรียกถึงขั้นเป็น “ขี้ข้า” ฝ่ายบริหารก็ได้ เพราะหากไล่เรียง ตั้งแต่ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานฯลงมา ล้วนแล้วแต่อยู่ในสังกัดพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ซึ่งผิดแผกแปลกประหลาดไปก็คือ คนที่สั่งการและมีอิทธิพลชี้นำกลับเป็นนักโทษหนีคดี มีสถานภาพไม่ต่างจากโจรห้าร้อย

เมื่อพิจารณาจากรูปการณ์ที่เป็นแบบนี้มันก็ไม่น่าแปลกใจว่าทุกความเคลื่อนไหวของนักการเมืองพวกนี้ก็ต้องทำเพื่อเป้าหมายและประโยชน์ของคนที่ชักใบบงการอยู่ข้างหลัง เพราะหากสังเกตจากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราคราวนี้ที่ผ่านการโหวตวาระแรกไปแล้วก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องประโยชน์ของนักการเมือง ซึ่งในที่นี้ในความหมายก็คือ “เจ้าของ” เท่านั้น และหากให้พูดตรงไปตรงตาให้ชัดขึ้นไปอีก ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ

หากพิจารณาจาก 3 ประเด็นหลักไม่ว่าจะเป็นการ แก้ไขมาตรา 68 ให้การยื่นเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญต้องผ่านช่องทางเดียวคือ ต้องผ่านอัยการสูงสุด เท่านั้น ไม่อาจยื่นเรื่องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญทำให้เป็นการลิดรอนอำนาจของประชาชนในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญลงอย่างสิ้นเชิง และสามารถเดาได้ล่วงหน้าเมื่อได้เห็นบทบาทของอัยการสูงสุดที่ผ่านมาว่าน่าประทับใจได้แค่ไหน อีกทั้งเมื่ออัยการสูงสุดได้รับแต่งตั้งจากฝ่ายบริหารให้เข้าไปกรรมการบอร์ดในรัฐวิสาหกิจ รับเบี้ยประชุม รับเงินเดือน ลองตรองดูแล้วกันจะเอียงไปทางไหน เป็นที่พึ่งพาของประชาชนตาดำๆได้หรือไม่

นั่นเท่ากับว่าเป็นการตัดสิทธิของประชาชนในการพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญของพวกเขาที่ผ่านการลงประชามติรับรองจำนวนกว่า 14.7 ล้านเสียง ไปโดยปริยาย

ประเด็นถัดมาก็คือ การแก้ไขมาตรา 111 ต้องการให้สมาชิกวุฒิสภาต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด โดยอ้างว่านี่คือประชาธิปไตย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบของประชาธิปไตยทั้งหมด และรัฐธรรมนูญปัจจุบันก็ได้เปิดช่องให้มี สมาชิกวุฒิสภามาจากการสรรหาจากทุกสาขาอาชีพ เพื่อความหลากหฃายและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ซึ่งในความเป็นจริงจากการทำหน้าที่จะพบว่า สมาชิกวุฒิสภาสรรหามีบทบาทมากกว่าพวก สมาชิกวุฒิสภาจากการเลือกตั้งที่มักเป็นเครื่องมือทำตัวรับใช้ผ่ายบริหาร ขณะเดียวกันความหมายของวุฒิสภาจะต้องเป็นกลาง ต้องมีวุฒิภาวะ ต้องกลั่นกรองกฎหมาย แต่ตราบใดที่วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเราก็จะเห็น “สภาผัวสภาเมีย” กลายเป็นทาสของฝ่ายบริหาร และพรรคการเมืองสมบูรณ์แบบ เพราะคนพวกนี้จะต้องอิงแอบการเมือง และคราวนี้ยังมีความพย่ายามแก้ไขให้สามารถลงเลือกตั้งได้อย่างไม่จำกัดวาระและไม่มีการเว้นวรรค ก็ถือว่าเป็นการนับถอยหลังไปสู่ “สภาทาส” กลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหารเหมือนในยุคก่อนหน้านี้อย่างชัดแจ้ง

สำหรับประเด็นการแก้ไขมาตรา 190 ก็เช่นเดียวกันถือว่า “น่ากลัว” เพราะเท่ากับว่าเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายบริหารไปเจรจากับต่างชาติในเรื่องที่เกี่ยวกับหนังสือสัญญาที่เป็นบทเปลี่ยนแปลงพื้นที่นอกอาณาเขตฯ หนังสือสัญญาที่เป็นผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงหนังสือสัญญาที่มีผลต่อการค้าการลงทุนหรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต่อไปนี้ก็สามารถทำได้โดยสะดวก ไม่ต้องให้รัฐสภารับรองหรือเห็นชอบเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งความหมายก็คือ จะมีเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” การเจรจาเรื่องธุรกิจพลังงานกับกัมพูชา และพม่าก็จะทำได้ราบรื่นไม่ต้องกลัวใครขัดขวาง การเจรจาเขตการค้าเสรีกับต่างชาติก็ไม่มีปัญหา

ลองคิดดูแล้วกันว่าถ้ามาตราสำคัญดังกล่าวนี้ผ่านไปได้ ผลประโยชน์จะตกอยู่กับใคร ต่อการการเจรจากับต่างประเทศแบบมีผลประโยชน์ทางธุรกิจแอบแฝง ผลประโยชน์ทับซ้อน การทุจริตเชิงนโยบายจะเกิดขึ้นได้ง่ายเพียงใด ที่ผ่านมาก็มีให้เห็นกรณีผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้า (เอฟทีเอ) จนทำให้ หอม กระเทียม สินค้าจากเพื่อบ้านเข้ามาตีตลาดจนย่ำแย่ในตอนนี้ โดยแลกกับผลประโยชน์ของกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ ม่กี่กลุ่มเท่านั้น

นั่นคือ ประเด็นสำคัญที่พวกนักการเมืองกำลังสุมหัวกันปล้นผลประโยชน์ของชาติเพื่อนำไปถวายใส่พานให้กับ “โจร” คนหนึ่งที่ชี้นิ้วสั่งการอยู่ข้างนอก ขณะเดียวกันบังอาจบังคับเจ้าของบ้านไม่ให้เงยหัวขึ้นมาขัดขืนเสียอีก นั่นคือการตัดมือตัดเท้าเสียเหี้ยน ซึ่งการแก้ไข มาตรา 68 เพื่อปิดช่องทางไม่ให้ประชาชนยื่นเรื่องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ จนไม่อาจพิทักษ์รัฐธรรมนูญได้ ความหมายก็ไม่ต่างกัน อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่งเมื่อเห็นหายนะอยู่ตรงหน้ามันก็ช่วยไม่ได้ที่ต่อไปนี้ชาวบ้านเขาจะเหลืออดแล้วลุกขึ้นมา “ขับไล่โจร” ออกไปอีกครั้ง เชื่อว่าคงไม่นานแล้ว เพราะทุกอย่างเริ่มสุกงอมเรื่อยๆแล้ว !!
กำลังโหลดความคิดเห็น