ไพร่เทียมป้องขุนคลังมิได้ทรยศตำแหน่งตามที่ “กรณ์” กล่าวหา ยันคิดและเดินหน้าทำงานถึงกู้ 2 ล้านล้าน จวก ปชป.อภิปรายเสร็จไม่จบ แนะเลิกบ่นให้เตรียมสู้ชั้น กมธ.แทน ไม่แปลกใจมียื่นศาล รธน.สกัด รวมไปถึงยื่นค้านแก้ รธน. ย้อนมีพวกไม่อยู่ในกติกา เอะอะให้องค์กรอิสระใช้ดุลพินิจตัดสิน ไม่ฟังเสียงข้างมาก ปัดสวะมีวุ่นวาย รบ.ไม่เกี่ยว
วันนี้ (31 มี.ค.) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กโจมตีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กำลังทรยศต่อตำแหน่งขุนคลังในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทว่า บรรยากาศการเมืองตอนนี้หลังจากสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในวาระที่ 1 ไปแล้ว แต่พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ยอมจบ ยังพยายามขยายผลเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และทำลายความแข็งแรงของโครงการอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่สาระที่นำมาพูดเป็นประเด็นเดิมๆที่นำมาพูดในการอภิปรายไปแล้ว จึงคิดว่าแทนที่จะพูดซ้ำซากเวียนวนให้ประชาชนเกิดความรำคาญ แต่ให้ตั้งใจไปทำงานในชั้นกรรมาธิการจะเป็นประโยชน์กว่า
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทยที่จะไปเป็นกรรมาธิการก็พร้อมจะรับฟังความคิดเห็นของฝ่ายค้านด้วย ตนคิดว่าสิ่งที่นายกรณ์กล่าวหานายกิตติรัตน์ถือว่าพูดเกินไป ไม่เป็นข้อเท็จจริง เพราะคนทำหน้าที่ขุนคลังจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบริหารจัดการการเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด และโครงการนี้ก็เป็นโครงการประวัติศาสตร์ที่พลิกโฉมประเทศไทยภายใน 7 ปี ตนว่าต่างกันมากระหว่างขุนคลังที่คิดและเดินหน้าทำตามนโยบายทันที กับขุนคลังที่ใครทำอะไรก็ออกมาบอกว่าคิดไว้ก่อน แต่ไม่เคยเห็นทำสักที ขอยืนยันว่านายกิตติรัตน์ไม่ได้ทรยศต่อตำแหน่งขุนคลัง ส่วนที่จะมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความนั้น ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลต้องพยายามอย่างที่สุดที่จะหยุดยั้งร่างกฎหมายฉบับนี้ สิ่งที่ฝ่ายค้านและ ส.ว.กังวลจริงๆ ไม่ใช่โครงการจะไม่สำเร็จ แต่กังวลว่าโครงการนี้จะสำเร็จ
นายณัฐวุฒิกล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านและกลุ่ม 40 ส.ว.จะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ตนคิดว่า ส.ส.และ ส.ว.ที่เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราน่าจะตกผลึกทางความคิดกันแล้วพอสมควร การยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างชัดเจน เมื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในวาระแรกจึงน่าจะมีเสียงสนับสนุนทั้งจาก ส.ส.และ ส.ว.ทำให้ผ่านไปได้ ส่วนการคัดค้านต่อต้านมีอยู่แล้ว คงเป็นรูปแบบเดิม คือ มีการอภิปรายคัดค้านในสภา พอผ่านวาระที่ 1 ไปได้ก็จะไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งตรงนี้เป็นเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งว่าทำไมเราจึงต้องพูดถึงเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง
แกนนำ นปช.กล่าวอีกว่า มีคนบางกลุ่มไม่ได้คาดหวังในความศักดิ์สิทธิ์ของกติกา แต่คาดหวังในความโอนเอนขององค์กรผู้บังคับใช้กติกา ที่จะไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญนั้นคนกลุ่มนี้ไม่ได้คิดหรอกว่าบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา แต่ไปคาดหวังบทบาทและดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะมีโอกาสได้ประโยชน์ทางการเมืองกับฝ่ายตัวเอง จึงเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ เพราะในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเขาจบกันที่กติกา แต่บ้านเมืองนี้มีคนข้ามกติกา ไปคาดหวังดุลพินิจจากองค์กรอิสระ เราจึงต้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เกิดหลักนิติรัฐนิติธรรมให้ได้ ส่วนจะเป็นชนวนความวุ่นวายหรือไม่นั้นมีคนจะใช้ทุกเงื่อนไขสร้างความวุ่นวายอยู่แล้ว ชนวนความขัดแย้งไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล แต่อยู่ที่ฝ่ายต่อต้านที่พร้อมจะสร้างสถานการณ์ต่างๆ ให้เป็นชนวนตลอดเวลา ไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้จะทำอะไร