ผ่าประเด็นร้อน
นึกอยู่แล้วเชียวว่าเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนใต้ในเวลานี้ไม่ว่ามองในมุมไหนให้เอื้อต่อการเจรจาสงบศึก หรือแม้แต่จะเรียกว่าเจรจาสันติภาพก็ตามที เพราะหนึ่งในเวลานี้ในพื้นที่มีกลุ่มที่ก่อความไม่สงบมากมายหลายกลุ่ม แทบจะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ลักษณะที่เป็นอยู่ก็ไม่เชิงเป็นการจัดตั้งองค์กรเป็นหลักแหล่ง ลักษณะจึงไม่ต่างกลุ่มวัยรุ่นที่ได้รับการปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังโดยเอาเรื่องเหตุการณ์ประวัติศาสตร์มาเป็นสาเหตุ หรือแม้แต่เหตุการณ์อัปยศที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในกรณี “ตากใบ-กรือเซะ”
ที่ผ่านมากลุ่มที่ก่อความไม่สงบเหล่านี้ปฏิบัติการเหิมเกริม และมีแนวร่วมเพิ่มขึ้นทุกวัน สังเกตได้จากหลังก่อเหตุอย่างอุกอาจแล้วยังสามารถใช้รถยนต์ขับหลบหนีเจ้าหน้าที่เข้าไปในหมู่บ้าน แต่ก็ไม่อาจจับกุมได้เลย นั่นก็แสดงว่าชาวบ้านไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ หรือให้ข่าวน้อยมาก จนแทยจะเรียกว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
นั่นเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังไม่อาจควบคุมสภาพได้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมืองที่เป็นเขตเศรษฐกิจและอยู่ในความรับผิดชอบหลักของฝ่ายตำรวจ ต้องบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าล้มเหลว เพราะมีการก่อเหตุได้ตามใจชอบหลายครั้งจนสร้างความเสียหาย มีผลกระทบทางจิตวิทยาในวงกว้าง
ด้วยบรรยากาศอย่างที่เห็น หากพูดกันแบบไม่ต้องเกรงใจก็ต้องบอกว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่ได้เปรียบ คุมสถานการณ์ให้อยู่ในวงจำกัดไม่ได้ ส่วนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนั้นแม้ว่ายังไม่มีศักยภาพในการ “ยึดพื้นที่” แต่มีศักยภาพในการก่อการสูงขึ้น นี่ว่ากันขนาดยังไม่มีการจัดตั้งองค์กรชัดเจนรวมไปถึงการประกาศวัตถุประสงค์อย่างเป็นทางการ
ความเป็นจริงเห็นกันตำตาอย่างนี้ เมื่อจู่ๆมีการเจรจาแบบ “เต็มคณะ” ใหญ่โต เพราะมีนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าร่วมด้วย ภายใต้การอุปถัมภ์ของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค แม้ว่าจะไม่ได้ร่วมวงลงนามถ่ายภาพออกสื่อ แต่จะแตกต่างอะไรละในเมื่อนายกรัฐมนตรีของไทยก็อยู่ในเหตุการณ์เจรจาด้วย รับรู้อยู่ทุกขั้นตอน
ขณะเดียวกัน การส่งระดับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร นำทีมเจรจาลงนามในกรอบสันติภาพกับตัวแทนของกลุ่มบีอาร์เอ็น ยังถือว่าไม่สมควร นอกเหนือจากการยกฐานะกลุ่มก่อความไม่สงบแยกดินแล้ว ยังเป็นการนำปัญหาชายแดนใต้ซึ่งเป็นปัญหาภายในออกไปสู่สากลอย่างเต็มตัว ได้ไม่คุ้มเสีย นี่ยังไม่นับในเรื่องที่กลุ่มดังกล่าวแทบจะไม่มีบทบาทในพื้นที่หยุดนิ่งมานานเป็นสิบปีแล้ว ไม่ต่างจากกลุ่มพูโล ที่เงียบหายไป ดังนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่การเจรจาดังกล่าวของรัฐบาลไทยจึงออกมาในลักษณะของการสร้างภาพการเมืองทั้งในพื้นที่เพื่อแย่งชิงกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างพรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงการเมืองระหว่างประเทศ ในกลุ่มผู้นำมุสลิมบางประเทศ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีมาเลยเซีย นาจิบ ราซัค ที่กำลังจะนำพรรคอัมโนลงเลือกตั้งใหญ่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
มีการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ นั่นคือ คำให้สัมภาษณ์ของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่เผยว่าเบื้องหลังการเจรจาดังกล่าวมี ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ประสานงานมา แน่นอนว่าเพียงแค่นี้มันก็ถึงบางอ้อ ทุกอย่างชัดเจนขึ้นมาโดยพลัน เมื่อมีชื่อคนๆนี้เข้ามา นั่นมันก็ต้องมีเรื่องธุรกิจการตลาดเข้ามาเชื่อมต่อ รวมไปถึงบุคคลอื่นที่ดึงมาเชื่อมโยงถึงกัน และภาพก็จะชัดในตัวของมันเอง โดยไม่ต้องอธิบายอะไรมากนัก
ล่าสุด รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ควบตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์หน่วยงานด้านยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ ก็หลุดปากเปิดเผยเรื่อง “มหานครปัตตานี” หรือว่า “นครรัฐปัตตานี” ว่าเป็นความคิดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระยะหลังรับรู้กันในวงการว่าถูกดึงมาเป็น “กุนซือ” ในด้านความมั่นคงของรัฐบาลอีกรอบ โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ถึงขนาดก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะมาเป็นประธานที่ปรึกษานายกฯด้านความมั่นคงกันเลยทีเดียว เพียงแต่จังหวะยังไม่เหมาะ
สำหรับเรื่อง “นครรัฐปัตตานี” นาทีนี้รับรองว่าไม่ใช่ข่าวมั่ว หรือสื่อเต้าข่าว ตามที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กำลังพยายามบิดเบือน เบี่ยงเบนไปเป็นอย่างอื่น เพราะก่อนหน้านี้ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ก็กล่าวแบบไร้เดียงสาออกมาให้เห็นว่า “เป็นปลายทาง” ของการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ ซึ่งตอนนี้มีกลุ่มบีอาร์เอ็นนำร่องเข้ามาก่อน และอ้างว่ายังมีอีก 8-9 กลุ่มกำลังซอยเท้าเตรียมเข้าร่วมเจรจา อ้างว่าจะตกขบวนสันติภาพ เพียงแต่ว่าเมื่อถูกด่ายับทำให้ต้องปฏิเสธในภายหลัง
ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยกำลังมีการคัดเลือกตัวแทนจำนวน 15 คนสำหรับการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบแบ่งแยกดินแดนในวันที่ 28 มีนาคมที่มาเลเซียอีกรอบ เหมือนกับการสร้างสถานการณ์ให้เห็นว่าสันติภาพกำลังเดินไปด้วยดี ท่ามกลางเหตุร้ายเกิดขึ้นรายวัน
เมื่อปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมไปถึงตัวบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และล่าสุดมีตัวละครสำคัญเข้ามาเพิ่มคือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทำให้ภาพของ “รัฐไทยใหม่” กับ “นครรัฐปัตตานี” ชัดเจนขึ้น และอย่าได้แปลกใจที่ในที่สุดแล้วเป้าหมายปลายทางจะเดินไปแบบนี้ เพราะทุกอย่างเหมือนกับการออกแบบเอาไว้ล่วงหน้า และทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ต่างจากการนำเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาแบ่งกัน โดยที่ตัวเองได้ชิ้นใหญ่ที่สุด ได้ประโยชน์ที่สุดนั่นเอง
หากบอกว่านี่คือหนึ่งในแผนชั่วที่กำลังสมคบคิดกันแยกแผ่นดิน ทั้ง “นครรัฐปัตตานี” และ “รัฐไทยใหม่” ในความหมายคนละเรื่องเดียวกันใช่หรือไม่!!