xs
xsm
sm
md
lg

“ธาริต” ธาตุไฟแตก “วัชระ” งัดคลิป ศอฉ. ปะทะคารมเดือดก่อนวอล์คเอาท์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อธิบดีดีเอสไอแจงกรณีชายชุดดำ อ้างคำเดิมไม่มี มีแต่กองกำลังไม่ทราบฝ่าย ส.ส.ปชป.ถามไม่สมัครใจแล้วมาทำไม เตรียมงัดคลิปแถลง ศอฉ. แต่เจ้าตัวเบรก ฟูมฟายถ้ามาซักฟอกขอตัวกลับ ก่อนรี่ออกนอกห้องประชุม ซัด กมธ.ไม่มีอำนาจซักฟอก ศอฉ. เตรียมทำหนังสือฟ้อง “สมศักดิ์” อ้างทำเกินหน้าที่


 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง " นายธาริต เพ็งดิษฐ์ " ตอบข้อซักถาม  

วันนี้ (13 มี.ค.) ที่อาคารรัฐสภา 2 ในการประชุม คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย ศรีหล้า ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ได้เชิญนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อให้มาตอบข้อซักถาม ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ซึ่งเป็นการเชิญนายธาริตมาให้ข้อมูลตาม พ.ร.บ.คําสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 เป็นครั้งที่ 3

โดยคณะกรรมาธิการได้สอบถามถึงการทำหน้าที่ของนายธาริต เมื่อครั้งเป็นกรรมการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ว่าเป็นอย่างไร นายธาริตกล่าวว่า เหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าว ตนก็เหมือนกับข้าราชการและเหมือนหัวหน้าส่วนราชการอื่นๆ ที่ถูกตั้งเข้าไปเป็นกรรมการ ศอฉ. ซึ่งกรรมการ ศอฉ.ประกอบด้วย 4 หน่วยหลักๆ คือ 1. ฝ่ายการเมือง ที่รับผิดชอบตามกฎหมาย ในการแก้ไขดูแลสถานการณ์ ที่ผู้มีอำนาจหลักคือนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีที่เป็น ผอ.ศอฉ. 2. ฝ่ายที่ใช้กำลังในการปฏิบัติการ ซึ่งประกอบไปด้วยแม่ทัพนายกอง 3. ฝ่ายตำรวจที่ดูแลความสงบเรียบร้อย 4. ฝ่ายข้าราชการพลเรือน สามัญทั่วไป เช่น อธิบดีเอสไอ ผู้ว่าฯ กทม. ปลัดกระทรวงต่างๆ

ทั้งนี้ การประชุมในแต่ละครั้งมีผู้เข้าร่วมกว่า 100 ครั้ง ซึ่งการประชุมของ ศอฉ.มีอยู่ 2 แบบ คือการประชุมทั่วไป และการประชุมในชั้นความลับ จะมีเฉพาะฝ่ายยุทธการได้แก่ ฝ่ายการเมือง ทหาร และตำรวจ ไม่เกี่ยวกับข้าราชการพลเรือนและดีเอสไอ และตนก็ไม่เคยเข้าประชุมฝ่ายยุทธการเลยสักครั้ง เพราะดีเอสไอไม่ได้มีบทบาทในการประเมินสถานการณ์ แต่เข้าไปรับผิดชอบเนื่องจากคดีความไม่สงบ ที่ถูกยกระดับจากคดีสามัญมาเป็นคดีพิเศษ ซึ่งในฐานะหัวหน้าหน่วยก็มีหน้าที่ให้ความเห็น ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นบางครั้ง เตือนผู้ชุมนุมไม่ให้ชุมนุมโดยผิดกฎหมาย แต่จะเป็นไปตามกรอบของดีเอสไอ ส่วนการใช้กำลังขอคืนพื้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับดีเอสไอ

นายธาริตกล่าวอีกว่า การประชุมใน ศอฉ.ไม่มีการพูดคุยถึงชายชุดดำ แต่มีการระบุถึงกองกำลังไม่ทราบฝ่ายซึ่งจะสอดคล้องกับการทำคดีก่อการร้าย ซึ่งระบุว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายอยู่ด้วย ซึ่งเป็นภาพรวมทั้งประเทศ ไม่ได้เจาะลึกจุดหนึ่งจุดใด หากที่ประชุมจะแปลว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่ายคือชายชุดดำ ตนก็ไม่เห็นด้วย ก็ไม่ทราบว่าจะพูดถึงชายชุดดำกันขึ้นมาเพื่อประโยชน์หรือวัตถุประสงค์อะไร แต่ที่แน่ๆ ในคดีที่ผู้บริหาร ศอฉ.ได้ถูกดำเนินคดีโดยดีเอสไอในข้อหาก่อให้ให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล มีผู้ต้องหา 2 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อแจ้งข้อหาไปแล้วทั้ง 2 ท่านก็ได้แจ้งข้อหาต่อตนและเจ้าหน้าที่ดีเอสไออีก 3 คน ท่านได้พูดถึงชายชุดดำในคดีที่ฟ้องตน และเจ้าหน้าที่ ก็อยากจะเรียนว่าการพูดถึงชายชุดดำคงจะมีประโยชน์ในหลายๆ มุม ส่วนคดีก่อการร้ายยืนยันอีกครั้ง มีแต่กองกำลังไม่ทราบฝ่าย ซึ่งก็มีการดำเนินคดีทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งกลุ่ม นปช. และฝ่ายที่ใช้อำนาจรัฐ คือ ศอฉ. ดำเนิคดีได้แค่ 2 ท่าน ยังไม่ได้ส่งสำนวนให้อัยการ การดำเนินคดีกับผู้บริหาร ศอฉ. ทั้ง 2 ก็ไม่มีชายชุดดำ

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของตนได้ตรวจสอบอำนาจหน้าที่คณะกรรมาธิการ แม้ว่าตามอำนาจหน้าที่จะมีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐแต่การซักถามงานของดีเอสไอ ก็จะน่าจะได้รับการคุ้มครอง อยู่ 2 ส่วน พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ การจะให้ข้อมูลที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายในกระบวนการยุติธรรมเสื่อมเสีย ก็คงเป็นข้อจำกัด ตนก็ต้องรักษากฎหมาย นายวัชระ เพชรทอง รองประธานคณะกรรมาธิการฯ เรียกร้องให้เคารพกฎหมาย ตนก็จะเคารพกฎหมาย และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการ คงไม่ครอบคลุมถึงการปฏิบัติหน้าที่ในกระบวนยุติธรรม แต่ก็ยินดีที่จะให้ข้อมูลเท่าที่จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดี เพราะตนก็ตกเป็นจำเลยในคดีอาญาด้วย ก็อาจเกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ

จากนั้นนายศุภชัยได้ชี้แจงว่า คณะกรรมาธิการมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และอำนาจตาม พ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ ที่เรียกหน่วยงานต่างๆ ให้มาชี้แจงได้ คณะกรรมาธิการมีอำนาจพิจารณาสืบสวนใดๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาการเมือง ซึ่งครอบคลุมเรื่องชายชุดดำ และเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ ฉะนั้นคณะกรรมาธิการไม่ได้ใช้อำนาจเกินเลยตามบทบัญญัติที่ให้ไว้

ต่อมานายวัชระได้ถามนายธาริตว่า “มาให้ข้อมูลด้วยความเต็มใจหรือเพราะสภาพบังคับของกฎหมาย” นายธาริตตอบทันทีว่า “ผมมาด้วยหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่สมัครใจมา ชัดเจนนะครับเพราะผมมีมุมมองว่าอำนาจของคณะกรรมาธิการที่จะมาสอบถามเรื่องในสำนวนการสอบสวนเป็นเรื่องที่ไม่มีอำนาจ แม้ท่านประธานฯ จะยืนยันว่ามีอำนาจก็เป็นสิทธิ์ของท่าน แต่ในมุมมองของข้าราขชการประจำที่เป็นหน่วยบังคับใช้กฎหมาย ถ้าจะต้องชี้ขาดโดยใครก็แล้วแต่ แต่ก็ยินดีมาปฏิติหน้าที่ตามคำสั่งที่ท่านเรียกมา”

จากนั้นนายวัชระสวนทันทีว่า “ถ้าไม่สมัครใจมาแล้วมาทำไม” นายธาริตกล่าวว่า “ผมก็ไม่อยากโต้แย้งกับท่าน ไม่ได้มีนิกเนมเป็นแจ็ก สแปร์โร ไม่ได้มุ่งหวังว่าในอนาคตจะมีตำแหน่งอะไรใหญ่โต ก็เป็นเพียงข้าราชการที่ถูกฝ่ายการเมืองเล่นงานมาตลอด ผมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ท่านผู้บังคับบัญชาก็แจ้งให้มาตามคำสั่งเรียก ผมก็ปฏิบัติตามวินัย”

นายวัชระถามต่อว่า นายธาริตได้แถลงข่าวในฐานะกรรมการ ศอฉ.บ้างหรือไม่ นายธาริตตอบว่า แถลงในฐานะกรรมการ ศอฉ. แต่ไม่เคยบอกว่าเป็นอะไร และพูดถึงคดีต่างๆ ในกรอบของดีเอสไอ

จากนั้นนายวัชระได้ขอให้เจ้าหน้าที่เปิดคลิปแถลงข่าวของนายธาริต นายธาริตแย้งขึ้นมาว่า ขอโต้แย้งไม่ให้เปิด และตนไม่ได้ถูกไต่สวนโดยศาล ประธานต้องทำหน้าที่ให้ตรงกับอำนาจหน้าที่ ไม่เช่นนั้นจะโต้แย้งเป็นลายลักษณ์อักษร และจะขออนุญาตลากลับไม่ชี้แจง

“มุมมองของผม คณะกรรมาธิการฯ ไม่มีอำนาจให้ผมชี้แจงในฐานะกรรมการ ศอฉ. ท่านวัชระเรียกร้องให้ทุกคนเคารพกฎหมายผมก็เคารพกฎหมาย แต่เจตนาของคณะกรรมาธิการต้องการซักฟอก บดขยี้ เล่นงานดีเอสไอ เมื่อมาชี้แจงแต่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็จะขอลากลับ ถ้าจะดำเนินคดีกลับ ผมก็ดำเนินคดี”

ด้านนายศุภชัยพยายามไกล่เกลี่ยว่าทำตามอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ และเห็นว่าหากข้อมูลในคลิปที่เปิดนั้นเป็นเช่นไร นายธาริตก็สามารถชี้แจงเพิ่มเติมได้ ซึ่งไม่น่ามีความเสียหายใดๆ และอาจเป็นประโยชน์มากกว่า ซึ่งเรื่องนี้ควรต้องเคารพซึ่งกันและกัน ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะมีความจริงเพื่อบอกไปสู่คนรุ่นหลังได้อย่างไร ถ้าจะให้เหตุผลว่า เรื่องนี้ไม่ได้ อันนี้ไม่ขอชี้แจง แล้วเมื่อไหร่จะมีความจริง

จากนั้นนายธาริตได้กล่าวว่า กระบวนการซักถามของประธานคณะกรรมาธิการฯ และนายวัชระ ไม่ตรงตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการ เป็นการทำการเกินอำนาจ และใช้เวทีนี้จัดการกับข้าราชการประจำ ดังนั้นจะขอไม่ชี้แจงและลากลับ แต่จะทำหนังสือไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งให้ทราบว่า คณะกรรมาธิการชุดนี้ทำเกินอำนาจหน้าที่ และต้องการให้ฝ่ายการเมืองทราบว่าข้าราชการประจำไม่ใช่ลูกไล่ของฝ่ายการเมือง ตนไม่ได้มีอารมณ์ แต่รู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ไม่สร้างสรรค์ ต้องขออภัยที่ตนจำเป็นต้องทำและไม่มีทางเลือกทางอื่น จากนั้นนายธาริตก็เดินออกจากห้องประชุมไป

ต่อมานายธาริตให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการว่า มาชี้แจงตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการ และเป็นไปตามภาระหน้าที่ของตนเอง แต่เมื่อมาแล้วประธานคณะกรรมาธิการ และนายวัชระ เพชรทอง รองประธานฯ ก็ได้ดำเนินการในลักษณะของการซักฟอก พยายามไต่สวนว่าการทำหน้าที่ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.เป็นอย่างไร ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ใน ศอฉ.นั้นได้รับคุ้มครองตามกฎหมาย จึงขอโต้แย้งต่อคณะกรรมาธิการชุดนี้ว่าไม่มีหน้าที่มาซักฟอก หรือค้นหาความจริงในการทำงานของ ศอฉ. แต่คณะกรรมาธิการก็ยังทำการไต่สวนต่อการกระทำอย่างนี้ก็ถือว่าเกินอำนาจหน้าที่ของกรรมาธิการ จึงขอลากลับไม่ร่วมการชี้แจงต่อไป และจะทำหนังสือโต้แย้งสิ่งที่กรรมาธิการทำนั้นเกินอำนาจหน้าที่นั้นต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 13 มี.ค.

“ผมเป็นข้าราชการประจำคนหนึ่ง และมักจะถูกฝ่ายการเมืองดำเนินการในทำนองนี้ตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการชี้แจงอะไรก็ตามต่อคณะกรรมาธิการ ข้าราชการประจำไม่ใช่ลูกไล่ของฝ่ายการเมืองที่จะทำอะไรได้ตามอำเภอใจตลอดไป ผมเคารพกฎหมาย และก็คิดว่าทุกคนต้องเคารพกฎหมายบ้านเมืองให้อยู่ในกรอบอย่างเหมาะสม แต่การกระทำของฝ่ายอื่นที่เกินจากกฎหมาย ผมก็จะต้องโต้แย้ง” นายธาริตกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต่อไปจะไม่มาชี้แจงคณะกรรมาธิการอีกแล้วใช่หรือไม่ นายธาริตกล่าวว่า ตนโต้แย้งกรรมาธิการชุดนี้เพียงชุดเดียว แต่ถ้าชุดอื่นเชิญก็ต้องดูก่อนว่าสาระสำคัญเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าหากเป็นเรื่องที่คณะกรรมาธิการไม่มีอำนาจ ตนก็พิจารณาไม่มา หรือถ้ามาก็จะไม่ชี้แจง

ผู้สื่อข่าวถามว่า การไม่ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการจะทำให้สังคมเกิดความสงสัยต่อไปหรือไม่ นายธาริตกล่าวว่า ไม่เป็นไร เพราะทุกอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว ทั้งกระบวนการการสอบสวนต่างๆ ก็ทำตามหน้าที่ และคลิปที่นำมาเปิดก็เป็นสิ่งเปิดเผย สื่อมวลชนก็สามารถไปหาได้ ไม่ได้ห่วงเรื่องเทป เพราะมันเป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ ไม่ใช่เรื่องลับ แต่วิธีการที่เอาข้าราชการประจำมาแล้วทำแบบนี้ มันเกิดอำนาจาหน้าที่กรรมาธิการ



กำลังโหลดความคิดเห็น