รายงานการเมือง
นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร เก็บตัวเงียบ ไม่วีดีโอลิงค์-โฟนอินหรือให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศในช่วงสองเดือนกว่าที่ผ่านมา กลับมาอีกครั้ง หลังศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ออกมาสำแดงฤทธิ์เดชกันยกใหญ่ ผ่านการสไกป์จากต่างแดนเข้ามากลางที่ประชุมใหญ่ส.ส.พรรคเพื่อไทยเมื่อ 11 มีนาคมที่ผ่านมา กินเวลาร่วมๆ ครึ่งชั่วโมงกว่า
เหตุที่ทักษิณเก็บตัวเงียบในช่วงที่ผ่านมา ก็เพราะเกรงจะมีผลกระทบต่อการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่ทักษิณเก็บตัวเงียบ ไม่ออกมาเสนอหน้าช่วยพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เพราะแทนที่จะได้คะแนนเสียงเพิ่มกลับจะยิ่งฉุดคะแนนให้น้อยลง
ทักษิณเคยพลาดก่อนหน้านี้ที่ในช่วงก่อนพรรคเพื่อไทยเปิดตัวพล.ต.อ.พงศพัศ โดยโฟนอินไปคุยในวงประชุมฝ่ายเตรียมการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ของเพื่อไทย ดันบอกว่าพรรคเพื่อไทยส่งเสาไฟฟ้าก็ชนะการเลือกตั้ง แล้วมีลูกพรรคอย่าง จิรายุ ห่วงทรัพย์ ปากเสียเอาไปเปิดเผยต่อสื่อมวลชน เลยกลายเป็นเรื่องที่ประชาธิปัตย์เอาไปขยายผลว่าทักษิณดูถูกคนกรุงเทพฯ
ทำให้นับแต่นั้น ทักษิณ ยิ่งเก็บตัวเงียบ ไม่มีข่าวอะไรโผล่ออกมาเลยในช่วงสู้ศึกผู้ว่าฯกทม.จนกระทั่งเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.หนึ่งสัปดาห์ ทักษิณก็ยังเก็บตัวเงียบ ไม่สื่อสารอะไรออกมาถึงความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น
คนปากเร็วพูดมากแบบทักษิณ พอหายไปนานแบบนี้ แม้ช่วงหลังอาจติดต่อพูดคุยกับคนในพรรคเพื่อไทยบ้าง แต่ก็เป็นการคุยแบบตัวต่อตัวกับคนในพรรคที่ต้องการสื่อสารถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ หรือโทรไปสั่งการและให้คำแนะนำอะไรต่างๆ ในวงประชุมเล็กๆ ของพรรคเพื่อไทย เช่นโทรไปในวอร์รูมห้องประชุมศูนย์อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ของเพื่อไทยในช่วงก่อน 3 มีนาคมที่ผ่านมา ที่มีข่าวว่ามีการโทรไปเป็นระยะๆ
ดังนั้น เมื่อมีโอกาสได้คุยกับพวกส.ส.-แกนนำพรรคเพื่อไทยกันพร้อมหน้าพร้อมตาเมื่อ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ก็เลยระบายกันเต็มที่
มีทั้งเรื่องผลพวงจากศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่เพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งให้กับประชาธิปัตย์อีกครั้ง ซึ่งเป็นไปตามคาด ทักษิณมีโวยเล็กน้อยที่หลายเขตเลือกตั้งคะแนนทำไม่ได้ตามเป้า ถึงขั้นขู่หากพื้นที่ไหนภาพรวมไม่ดีขึ้น พวกส.ส.กทม.หรือผู้สมัครส.ส.กทม.เดิมในการเลือกตั้งที่ผ่านมาที่สอบตกแล้วจะขอลงเลือกตั้งอีก ก็มีสิทธิ์โดนเปลี่ยนตัว
ดูแล้วแม้ทักษิณจะพยายามรักษาหน้าเจ๊หน่อย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไม่ได้ตำหนิตรงๆ ที่หลายเขตเลือกตั้งซึ่งเคยเป็นพื้นที่ของเพื่อไทยมาตลอดแต่กลับแพ้ให้กับประชาธิปัตย์ แต่ตามข่าวบางจังหวะก็มีกระทบกระเทียบไปถึงคนในมุ้งเจ๊หน่อยพอหอมปากหอมคอ
เชื่อว่าหลังจากนี้ คงมีการชำระสะสางกันภายในกลุ่มกทม.แน่นอน ระหว่างนี้คงรอความชัดเจนในเรื่องการพิจารณารับรองม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรให้เป็นผู้ว่าฯกทม.ของคณะกรรมการการเลือกตั้งเสียก่อน
ที่น่าสนใจไม่น้อย ก็คือ ท่าทีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทักษิณส่งสัญญาณมาในการสไกป์ดังกล่าว ที่เปลี่ยนอีกแล้ว คือตอนนี้หันมาบอกว่าอาจจำเป็นต้องใช้วิธี แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราไปก่อน
โดยเฉพาะแก้มาตราที่น่าจะทำแล้วมีปัญหาน้อยอย่างเช่นเรื่องมาตรา 237 ที่เป็นเรื่องการยุบพรรคและตัดสิทธิการเมืองห้าปีกรรมการบริหารพรรค -มาตรา 190 เรื่องการลงนามหนังสือสัญญาระหว่างประเทศต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาและ มาตรา 68 เรื่องอำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาคำร้องเรื่องการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เป็นท่าทีที่สอดรับกับกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ว่าพวกส.ว.สายเลือกตั้งจำนวน หนึ่งที่ใกล้ชิดกับขั้วพรรคร่วมรัฐบาลกำลังจะรับไม้จากแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล มาออกหน้าเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา
หลังพบว่าขั้นตอนที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลวางไว้ก่อนหน้านี้ทั้ง เรื่องการให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐมาช่วยศึกษาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและ การทำประชามติ รวมถึงรัฐบาลอาจจัดให้มีการทำประชามติถามความเห็นประชาชนทั่วประเทศในเรื่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ที่หากทำตามขั้นตอนคงใช้เวลาอีกนาน เผลอๆ อาจไม่ทันในช่วงอายุของรัฐบาลที่เหลือไม่ถึงสามปีด้วยซ้ำ
ก็น่ารอดูว่า เมื่อทักษิณส่งสัญญาณให้ระหว่างนี้แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราไปก่อน อาจได้เห็นมีการขยับอะไรกันบ้างหลังจากนี้
แม้แต่เรื่องที่รัฐบาลจะเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบวันที่ 19 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการกู้เงินจำนวนมากเพื่อทำเมกะโปรเจคสารพัดโครงการโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างระบบขนส่งและการคมนาคมจำนวนมาก เช่นรถไฟรางคู่ที่ทำเพิ่มขึ้นอีก 3,000 กว่ากิโลเมตรหรือรถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทางอาทิกรุงเทพฯ-เชียงใหม่, กรุงเทพฯ -โคราชฯ, กรุงเทพฯ-ระยอง, กรุงเทพฯ-หัวหิน และการทำเพิ่มรถไฟฟ้าอีก 10 สายในกรุงเทพฯ ความยาวร่วม400 กว่ากิโลเมตร
ทักษิณก็อดไม่ได้ที่จะสั่งส.ส.ให้ศึกษาหาความรู้ในโครงการต่างๆที่รัฐบาลจะทำออกมาในร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทดังกล่าวเพื่อเอาไปหาเสียงกับประชาชนในพื้นที่ว่าสิ่งที่รัฐบาลจะทำต่อจากนี้คือการพลิกโฉมหน้าประเทศไทยครั้งใหญ่
แล้วก็เป็นเรื่องปกติ ตามนิสัย “นายใหญ่” จะต้องวิจารณ์การทำงานของพวกส.ส.ในพรรคที่การสไกป์ดังกล่าว ก็มีข่าวว่ามีการแสดงความไม่พอใจคนในพรรคทั้งพวกส.ส.-รัฐมนตรี ในเรื่องที่มักตกเป็นรองการเมืองประชาธิปัตย์บ่อยครั้ง หลายครั้งพลาดท่าแก้เกมการเมืองไม่ทันประชาธิปัตย์ ทั้งที่บางสถานการณ์ต้องทำทันทีจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แพ้เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.จึงสั่งว่าต่อไปส.ส.เพื่อไทยจะต้องปรับปรุงจุดนี้
ขณะที่เรื่อง กฎหมายนิรโทษกรรม ก็แสดงท่าทีชัดว่าเอาไงเอากัน แล้วแต่พรรคและส.ส.เห็นด้วยอยู่แล้วในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ในเนื้อหาการสไกป์ดังกล่าวของทักษิณ มีที่น่าสนใจและคงทำให้คนในพรรคเพื่อไทยหลายคนขบคิดกันไม่น้อย เพราะน้ำเสียงที่ทักษิณ สไกป์ออกมา ก็คือการที่ทักษิณบอกว่ากำลังรู้สึกเหมือนตัวเองถูกโดดเดี่ยวจากพวกเดียวกันเองให้อยู่ในสภาพ “ลอยคอ”กลางมหาสมุทร แต่กลับไม่มีคนจริงใจที่จะช่วยเหลือ
"ทุกคนไม่ต้องวิตกว่าผมจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ ผมบางทีก็แปลก ให้ข้อคิด คำแนะนำปรึกษาอะไรกับเขาได้ แต่ตัวเองกลับเหมือนต้องลอยคออยู่กลางมหาสมุทร บางครั้งก็ถามตัวเอง ไปผลักดันคนโน้นไปอยู่ตำแหน่งโน้น ตำแหน่งนี้ แล้วตัวผมเองหละจะกลับบ้านยังไง
คนก็มีหลายประเภท บางคนก็อยากช่วยให้ได้กลับ บางคนก็บอกว่ารักผมนะ แต่อย่าเพิ่งให้ผมรีบกลับมาเลย เพราะเดี๋ยวตัวเองจะไม่สำคัญ ไม่ต้องห่วงผม ยังช่วยเหลือตัวเองได้อยู่ เมื่อไหร่จะรบกวนพวกท่านจะบอก”
บอกอารมณ์กันตรงๆ ว่า รู้นะ คนในพรรคเพื่อไทยกลุ่มไหนได้ประโยชน์ที่ตัวเองยังคงเป็นนักโทษหนีคดีอยู่ต่างประเทศไปเรื่อยๆ แบบนี้ เพราะทำให้คนกลุ่มนี้มีความสำคัญทั้งในรัฐบาลและในพรรคเพื่อไทย ตราบใดที่ยังหากินกับเงาทักษิณที่ไม่มีวันกลับมาเหยียบประเทศไทยได้
ทักษิณ บ่นกันแบบนี้ ไม่รู้ตอนนั้น แกนนำเสื้อแดง-แกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคนที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวสะดุ้งกันกลางที่ประชุมหรือไม่
ทักษิณอาจจะเริ่มเหลืออดกับพวกที่ต่อหน้าทักษิณ-สื่อ-คน เสื้อแดง ทำเป็นแสดงออกบอกอยากให้ทักษิณกลับประเทศ กำลังหาทางช่วยเต็มที่ แต่ในใจรู้ดีว่า หากทักษิณกลับมาได้เมื่อไหร่ หมดทางหากินทันที
เจอจับได้ ไล่ทัน แบบนี้ทำท่าจะหากิน กันแบบนี้ บ่อยๆ ไม่ได้เสียแล้ว