เกาะกระแส
00 เริ่มได้กลิ่นทะแม่งเข้ามาแตะจมูกมากขึ้นเรื่อยๆกับการ “แขวนชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ยังไม่รับรองให้เป็นผู้ว่าฯกทม.อย่างเป็นทางการ อ้างว่าต้องพิจารณาในเรื่องร้องเรียนหลายเรื่อง และยังไม่ครบกำหนด 30 วันตามกม.ซึ่งถือว่ายังทำได้ อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่งก็เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติมาจากฝั่งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยแบบ “ไร้รอยต่อ” ในลักษณะ “ขบวนการปั้นหลักฐาน” ร้องเรียนเพิ่มเติม เพื่อ “สอย” ลงมาให้ได้ ความหมายก็คือยัง “เล่นไม่เลิก” และที่สำคัญยังมีโอกาส “ลุ้นขึ้น” เสียด้วย
00 ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้เริ่มเห็นสัญญาณการเคลื่อนไหวที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆทั้งจากพรรคเพื่อไทยที่เริ่มขนหลักฐานเข้ามาเสริม ขณะที่ “เจ้าจูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ก็ยังไม่กลับมานั่งเก้าอี้รองผบ.ตร.ควบเลขาฯปปส.ก็เพราะเชื่อว่ายังมีโอกาสลุ้นเลือกตั้งใหม่ แม้ว่าถึงจะเลือกใหม่อีกกี่ครั้ง ถ้าบรรยากาศยังเป็นอย่างที่เห็นเลือกอีกกี่ทีก็แพ้วันยังค่ำ และบรรยากาศความกลัว ความเกลียด ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นอยู่แบบนี้ ผลก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงที่คะแนนของ ชายหมู จะทิ้งห่างออกไปอีก
00 แม้จะเข้าใจความรู้สึกของคนแพ้ได้ดีว่าต้องการลุ้นใหม่หรือแก้มืออีกรอบ แต่กรณีเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่ผ่านมามันไม่ใช่เรื่องของการแข่งขันอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของความ “เกลียดกลัว” อย่างที่กล่าวข้างต้น นั่นคือ เกลียด-กลัว ทักษิณ และเกลียด จตุพร พรหมพันธุ์ รวมไปถึงเกลียด ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เคยทำร้ายกรุงเทพฯ เคยเผากรุงเทพฯ จับคนกรุงเทพฯเป็นตัวประกัน และคิดว่าคนกรุงเทพฯโง่และลืมง่าย ดังนั้นขอเตือนไว้ก่อนว่ายิ่งบิดเบือน ยิ่งป่วนมากเท่าใดผลที่สะท้อนกลับมาจะแรงกว่าเดิมหลายเท่าเชื่อสิ
00 เอาแค่เสียงด่ากับความเห็นแก่ตัวของ พงศพัศ ที่มีการล็อกเก้าอี้ทั้งรองผบ.ตร.และเลขาฯปปส.เอาไว้อย่างมั่นคง เพียงแค่นี้เสียงชาวบ้านเขาด่ากันขรม ว่ามันไม่แฟร์ แม้ระเบียบและกม.เปิดช่องเอาไว้ให้ แต่ถามว่าในแง่ของความเหมาะสมนั้นรับรองว่าไม่ควรแน่ โดยเฉพาะการลงมาสังกัดพรรคการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหนและยิ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล เมื่อพ่ายแพ้ก็จะกลับมานั่งในเก้าอี้ตัวเดิม และที่น่าตำหนิก็คือตำแหน่งรองผบ.ตร.ความหมายก็คือ เจ้าจูดี้ กลายเป็นตำรวจของพรรคเพื่อไทย หรือให้ลึกไปกว่านั้นเขาเป็น “ตำรวจเสื้อแดง” ไปแล้วเต็มตัว ซึ่งภาพออกมาแบบนั้นไปแล้ว แล้วทีนี้ชาวบ้านคนอื่นเขาจะมั่นใจได้อย่างไร นี่แหละถึงได้บอกว่ามันน่าเกลียด และที่สำคัญในเมื่อได้เสียงสนับสนุนนับล้านเสียง ก็ทำไมไม่เดินลงเส้นทางการเมืองไปให้เต็มตัว ลงสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย หรือไม่ก็ขอตำแหน่งการเมืองจาก นายกฯคนสวย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เต็มที่ไปเลย มาแบบนี้น่าจะสวยกว่า
00 อีกด้านหนึ่งพอผ่านศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.รอบแรกก็เริ่มเดินเครื่องตามคาดหมายทันทีนั่นคือการผลักดันเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษฯเพื่อล้างผิดให้ ทักษิณ และบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดง และไม่ว่าจะมาไม้ไหนนาทีนี้ชาวบ้านเขารู้ทัน และความคิดตกผลึกร่วมกันแล้วว่าต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น และหากเป็นไปได้ก็ไฟเขียวเฉพาะระดับชาวบ้านที่ทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินและพ.ร.บ.ความมั่นคงเท่านั้น อย่างไรก็ดีหากต้องการให้คนเสื้อแดงที่ทำความผิดลหุโทษหรือยังติดคุกอยู่นั้นทำไมบรรดา ส.ส.เสื้อแดงทั้งหลายไม่ร่วมมือกันใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ประกันตัวออกมาทั้งหมดละ แต่ที่ไม่ทำเพราะ “ไม่รักกันจริง” ไงละ ตาสว่างหรือยังละ !!
00 อย่างไรก็ถ้าพิจารณากันอย่างรู้ทัน การเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษฯนอกจากทำเพื่อตัวเอง และสำเร็จยาก เนื่องจากยังเสี่ยงต่อการถูกยื่นตีความเพราะถูกมองว่า ส.ส.ที่ยื่นกม.ดังกล่าวทำเพื่อลบล้างความผิดตัวเอง “ขัดกันแห่งผลประโยชน์” ขณะเดียวกันในภาพใหญ่เวลานี้รัฐบาลโดยเฉพาะ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ต้องการเสี่ยงต้องยื้อออกไปก่อน เพราะเรื่อง “ด่วนกว่า” ก็คือมหกรรม “กู้” นั่นแหละ เพราะ พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทกำลังจะเข้าสภา ทำมาหากินก่อนดีกว่า จะรีบเสี่ยงทำไมให้โง่ !!
00 เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองในคนเสื้อแดงภาคอีสานที่เริ่มเห็นร่องรอยปริออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งเชื่อมโยงมาถึงขบวนการแดงโดยรวมทั้งหมด เมื่อล่าสุดกลุ่มเสื้อแดงในอีสานได้แยกกลุ่มหารือและมีมติไม่ยอมรับการนำของ “ขวัญชัย ไพรพนา” แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วไม่มีผลอะไรมาก แต่ตราบใดก็ตามยิ่งได้เห็นความไม่ลงรอยกันมากเท่าไหร่ ต่อไปก็จะได้เห็นการตอบโต้ “สาวใส้” จากอีกฝ่าย ซึ่งคนภายนอกได้เห็นอยู่แล้วว่าคนพวกนี้ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไร แต่สำหรับคนเสื้อแดงด้วยนับวันก็จะได้เห็นธาตุแท้ของคนพวกเดียวกันมากขึ้นๆก็แค่นั้นเอง !!