เดินเป็นคู่ขนานกันไปเลยทั้งกองกำลังเสื้อแดงผ่านส.ส.เพื่อไทยสายนปช.กับเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฏรคนที่ 1 จากพรรคเพื่อไทย ในการพยายามผลักดันร่างพรบ.นิรโทษกรรม ให้มีผลออกมาบังคับใช้ให้ได้โดยเร็วที่สุด บนสาระสำคัญคือการให้นิรโทษกรรมความผิดในคดีชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่หลัง 19 กันยายน 2549
ก่อนหน้านี้ เพื่อไทยและแกนนำนปช.หยุดพักการขับเคลื่อนเรื่องนี้มาร่วมหนึ่งเดือนกว่าเพื่อรอให้การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเสร็จสิ้นลงก่อนเพราะเกรงหากทำเรื่องนี้ไปจะกระทบต่อคะแนนนิยมและการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.แต่เมื่อเลือกตั้งเสร็จไม่กี่วัน
ก็เริ่มติดเครื่องกันใหม่ทันที
ยิ่งพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงจากคนกรุงเทพฯ ผ่านพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ มาเกินหนึ่งล้านเสียง เลยทำให้พวกกองเชียร์เสื้อแดงและส.ส.เพื่อไทยจำนวนมาก ยิ่งได้ใจ เห็นว่าเพื่อไทยมีเสียงคนกรุงเทพฯเกินล้านหนุนหลัง เป็นเกราะกำบังการเมืองให้ เลยรีบกลับมาติดเครื่องเรื่องนิรโทษกรรมกันอีกครั้งในเวลานี้แล้ว
การเดินคู่ขนานดังกล่าวจึงเกิดขึ้นทันที เห็นได้จากการตั้งโต๊ะแถลงข่าวของส.ส.นปช.เพื่อไทยนำโดยนายวรชัย เหมมะ ส.ส.สมุทรปราการและนพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อเมื่อ 6มี.ค. 56 เพื่อประกาศว่าขณะนี้ส.ส.พรรคเพื่อไทยรวม 21 คนได้ร่วมกันลงชื่อเพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ.... ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้นำเข้าสู่ระเบียบวาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฏรต่อไป
เท่ากับว่าเวลานี้ หากกระบวนการเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมฯดังกล่าวของ21 ส.ส.เพื่อไทยดำเนินไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอน ต่อจากนั้น ทางสภาฯก็จะบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการพิจารณาของสภาฯตามลำดับต่อไป หากเป็นเช่นนี้เท่ากับว่ามีร่างพรบ.นิรโทษกรรมฯ ถูกส่งเข้าไปตั้งแท่นรอไว้แล้วหนึ่งฉบับ ส่วนสภาฯจะมีการพิจารณาเมื่อไหร่ จะเอาให้ผ่านวาระแรกก่อนสภาฯจะปิดในวันที่20 เมษายนนี้หรือไม่ ก็ต้องแล้วแต่พรรคร่วมรัฐบาลและวิปรัฐบาลจะว่าอย่างไร
ส่วนขาที่สอง ที่เดินคู่ไปด้วยกันก็คือ บทบาทของเจริญ จรรย์โกมล ที่เล่นบทมือประสานเป็นตัวกลางนัดตัวแทนกลุ่มการเมืองหลายต่อหลายกลุ่มไปนั่งร่วมโต๊ะเจรจาการเมืองกันเป็นรอบที่สองในวันจันทร์ที่11 มีนาคมนี้ ที่รัฐสภา
โดยมีการส่งเทียบเชิญไปยังกลุ่มการเมืองหลักๆ อาทิพรรคประชาธิปัตย์-เสื้อแดง-พันธมิตรฯ มานั่งโต๊ะร่วมกันเพื่อหารือเรื่องการปรองดองและการออกกฎหมายนิรโทษกรรมฯ หลังก่อนหน้านี้เคยนัดตัวแทนกลุ่มพันธมิตรฯคือ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษก พธม. -ตัวแทนเสื้อแดงคือก่อแก้ว พิกุลทองและวรชัย เหมะ สองส.ส.นปช.เพื่อไทยและดร.วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระไปร่วมนั่งโต๊ะหารือเรื่องการออกกฎหมายนิรโทษกรรมมาแล้วที่ห้องทำงานของเจริญเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาแล้วรอบหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้น ที่ประชุมส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เมื่อ5 มีนาคม มีมติไม่ส่งตัวแทนไปร่วมหารือดังกล่าว หลังจากส.ส.ปชป.ส่วนใหญ่มองว่าหากปชป.ลงไปเล่นเกมนี้ด้วยกับเจริญจะเท่ากับเป็นเดินเข้าไปอยู่ในเกมของทักษิณ ชินวัตรที่วางไว้ผ่านเจริญ ปชป.เชื่อว่าน่าจะรับงานทักษิณและแกนนำพรรคเพื่อไทย
ส่งผลให้ดูเหมือนว่าหากการนัดพบดังกล่าวในวันที่ 11 มี.ค.หากไม่ล้มไปเสียก่อน ความชอบธรรมในการเปิดโต๊ะพูดคุยครั้งนี้ ดูแล้วคงหายไปไม่น้อยเมื่อปชป.ปฏิเสธเทียบเชิญ
“ทีมข่าวการเมือง”ดูการเคลื่อนไหวของส.ส.เสื้อแดง เพื่อไทยที่ร่วมกันผลักดันร่างพรบ.นิรโทษกรรมฯดังกล่าวและความพยายามของเจริญที่ใช้ตำแหน่งรองประธานสภาฯ ที่อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติมาเป็นตัวกลางนัดกลุ่มการเมืองทุกกลุ่มมาหารือกันแล้ว
เห็นได้ชัดว่า มีการรับลูกส่งลูกกันระหว่างฝ่ายรัฐบาล-เพื่อไทย-เสื้อแดง เพื่อหวังจะพยายามดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฯฉบับนี้ออกมาให้ได้เพื่อเป็นการเอาใจคนเสื้อแดงทั่วประเทศที่กำลังรอคอยกฎหมายฉบับนี้อยู่
“ทีมข่าวการเมือง”มองว่าเหตุที่ส.ส.เสื้อแดงที่ร่วมกันเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฯและการเคลื่อนไหวของเจริญ ถูกสังคมจับจ้องแบบมีข้อกังขา
เนื่องจากเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลคงไม่รับเป็นเจ้าภาพในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมฯด้วยการนำร่างกฎหมายเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วส่งต่อไปให้สภาฯพิจารณาแน่นอน ดูได้จากที่รัฐบาลส่งร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ(คอ.นธ.)ที่มีดร.อุกฤษ มงคลนาวินเป็นประธานไปให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ก็ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าและไม่เคยมีสักครั้งที่ตัวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี จะตอบรับการเป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้
คาดไม่ผิดแน่นอน สุดท้ายยิ่งลักษณ์ ก็จะใช้วิธีตีกรรเชียงและซื้อเวลาและถึงขั้นถีบเรื่องการออกกฎหมายนิรโทษกรรมออกไปพ้นตัวเองมากที่สุดแน่นอน แล้วปล่อยให้เจริญเป็นหน้าฉากพยายามเปิดการเจรจากับแต่ละกลุ่มการเมืองเพื่อหวังลดทอนแรงต้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งในและนอกสภาฯ
ขณะเดียวกัน ดูแล้ว แกนนำรัฐบาลและแกนนำพรรคเพื่อไทย น่าจะทำการเปิดไฟเขียวให้ส.ส.เพื่อไทยโดยเฉพาะส.ส.สายนปช. ไปร่วมกันลงชื่อเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมฯเข้าสภาฯ ส่วนจะมีการพิจารณาเมื่อใดจะเอาให้ผ่านสภาฯวาระแรกภายในสมัยประชุมนี้หรือไม่ ทางรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยก็จะรอดูสถานการณ์โดยรวมอีกครั้ง
เพราะที่ทำอยู่คู่ขนานกันตอนนี้ ทั้งการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฯและความพยายามของเจริญก็ทำให้พรรคเพื่อไทยและแกนนำนปช.นำไปโฆษณาชวนเชื่อกับคนเสื้อแดงทั่วประเทศได้แล้วว่า ไม่ได้ทอดทิ้งคนเสื้อแดง ได้ทำเต็มที่มีการเสนอกฎหมายเข้าสภาฯแล้ว อันจะเป็นการลดทอนความไม่พอใจของคนเสื้อแดงต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยได้ไม่มากก็น้อยแน่นอน
ท่ามกลางการประเมินจากหลายฝ่ายว่า ความพยายามเปิดโต๊ะเจรจาการเมืองของเพื่อไทยผ่านเจริญ จรรย์โกมล ถึงที่สุดแล้ว ก็น่าจะไม่เกิดผลอะไรเป็นรูปธรรมทางการเมือง เนื่องจากคนส่วนใหญ่มองว่ามันมีอะไรน่าเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในความพยายามดังกล่าว เว้นแต่เจ้าตัวจะต้องแสดงความจริงใจให้สังคมเห็นมากกว่านี้ว่าที่ทำอยู่มีวัตถุประสงค์อะไรแอบแฝงหรือไม่?
เช่นเดียวกับความพยายามจะเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสภาฯของส.ส.เพื่อไทยที่มีด้วยกันทั้งสิ้น7 มาตรา ก็พบว่า เมื่อไปพิจารณาบางบทบัญญัติของร่างกฎหมายดังกล่าวก็มีปมชวนให้สงสัยว่าต้องการให้การนิรโทษกรรมดังกล่าวมีของเขตแค่ไหนและครอบคลุมไปถึงกลุ่มบุคคลใดบ้างอย่างเช่นในมาตรา 3 ของร่างกฎหมายดังกล่าวที่ระบุว่า
“ให้บรรดาการกระทำใดๆ ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่การกระทำนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง การกระทำใดๆ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง หรือแสดงออกทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.2549 ถึง วันที่ 10 พ.ค.2554ไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้ไม่รวมถึงการกระทำของบรรดาผู้มีอำนาจตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว”
มีการวิจารณ์กันว่าเป็นการร่างออกมาที่เปิดปลายไว้มากเกินไปอย่างการให้นิรโทษกรรมครอบคลุมไปถึง “บุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่การกระทำนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง”
เอาแค่นี้ก็เห็นแล้วว่า อาจจะไปเปิดช่องให้นิรโทษกรรมฯ ได้มากมายนับไม่ถ้วน จนมีคนตั้งข้อสังเกตว่าแล้วจะลากให้ครอบคลุมไปถึงพวกทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยหรือไม่
แม้จริงอยู่มันยังเป็นแค่ตัวร่างกฎหมายเท่านั้น เพราะหากสภาฯเห็นชอบในวาระแรกจริง ก็สามารถไปปรับปรุงเขียนให้รัดกุมชัดเจนในชั้นคณะกรรมาธิการฯได้ แต่เมื่อต้นเรื่องเสนอกันมาแบบนี้ มันก็ทำให้หลายคนมองเจตนาในการจะผลักดันกฎหมายดังกล่าวด้วยความสงสัยไม่น้อย
แน่นอนว่า ความพยายามจะแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองด้วยการให้ทุกฝ่ายมาร่วมพูดคุยหาทางออกที่เจริญ จรรย์โกมล พยามยาทำอยู่ เป็นเรื่องที่ดี
เช่นเดียวกับการจะเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้ร่วมชุมนุมคดีการเมืองที่ถูกดำเนินคดีในความผิดเล็กน้อยเช่น ฝ่าฝืนพรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากไปร่วมชุมนุมการเมือง โดยไม่รวมถึงการนิรโทษกรรมให้กับผู้ทำผิดคดีอาญาหรือคดีที่มีโทษอุจฉกรรจ์เช่นเผาสถานที่ราชการ
หากทุกอย่างทำโดยบนความสุจริตใจ ไม่มีอะไรแอบแฝงหรือหมกเม็ด ทุกฝ่ายย่อมสนับสนุน
สิ่งสำคัญที่จะทำให้เรื่องนี้สำเร็จได้ คือต้องทำให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันและเห็นพ้องต้องกันให้ได้เสียก่อน