“ยิ่งลักษณ์” หารือนายกฯ สวีเดน สร้างความสัมพันธ์ในทุกระดับ พร้อมลงนามแผนปฏิบัติการร่วมไทย-สวีเดน ฉบับที่ 2 ชี้การพัฒนาเมียนมาร์เป็นปัจจัยการพัฒนาภูมิภาคอาเซียน จัดตั้งคณะทำงานร่วม 4 กลุ่ม หนุนภาคเอกชนขยายธุรกิจกับกลุ่มประเทศนอร์ดิก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 4 มี.ค. นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เผยผลการหารือระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายเฟรดริก ไรน์เฟลด์ท นายกรัฐมนตรีสวีเดน ว่า จะมีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสวีเดนในทุกระดับ การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทั้งด้านการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ทั้งได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายในการต่อต้านอาชญากรรมที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร การลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทและสารตั้งต้น การค้ามนุษย์ การก่อการร้าย และอาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ (Law Enforcement Cooperation Agreement) และแผนปฏิบัติการร่วมไทย-สวีเดน ฉบับที่ 2 (Joint Plan Action)
สำหรับประเด็นภูมิภาค นายกรัฐมนตรี ได้ใช้โอกาสนี้กล่าวถึงพัฒนาการของอาเซียนที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2015 นี้ รวมทั้งพัฒนาการของเมียนมาร์ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาภูมิภาค โดยไทยส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือกับเมียนมาร์ทั้งการสร้างเสริมศักยภาพ การพัฒนาสาธารณูปโภค การเชื่อมโยง และพัฒนาชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในเมียนมาร์ และภูมิภาคโดยรวม
นายสุรนันท์ กล่าวด้วยว่า การประชุมหารือกับทีมประเทศไทยในกลุ่มประเทศนอร์ดิกและภาคเอกชนและนักธุรกิจไทยในสาขาอาหาร สาขาพลังงาน/เศรษฐกิจสีเขียว สาขาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สาขาสินค้าดีไซน์/เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และสาขาการธนาคาร ณ โรงแรม Sheraton Stockholm นั้น ตลาดนอร์ดิกถึงแม้จะมีประชากรจำนวนน้อยเพียง 25 ล้านคน แต่มีความร่ำรวย และมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอร์ดิกเริ่มสนใจเอเชีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไทยถือเป็น Hub ของภูมิภาค เป็นประตูสู่เอเชีย และเป็นศูนย์กลางของอาเซียนที่กำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2015 และมีจุดแข็งสำคัญหลายด้าน ที่สำคัญที่สุด ไทยเป็นมิตรที่เก่าแก่ มีการสถาปนาทางการทูตมากว่าร้อยปี คนนอร์ดิกมีความชื่นชอบในอัทธยาศัยไมตรีของคนไทย มีนักท่องเที่ยวนับ 750,000 คน เดินทางมาไทยเป็นประจำ รวมทั้งมีชุมชนชาวไทยกว่า 40,000 คน ซึ่งสามารถใช้ศักยภาพของชุมชนไทยในการเชื่อมเข้ากับทีมประเทศไทยเพื่อร่วมกันเสริมความร่วมมือ และประโยชน์กับภาคเอกชนไทย
โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการทำงานของสถาบันวิจัยไทยกับสถาบันของประเทศนอร์ดิก รวมทั้งความร่วมมือด้านสาธารณสุข ที่จะช่วยดูแลนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยด้วย ซึ่งภาคเอกชนแสดงความสนใจในขยาย และเปิดการดำเนินธุรกิจกับกลุ่มประเทศนอร์ดิก โดยนายกรัฐมนตรี ได้สนับสนุนโดยให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วม 4 กลุ่ม คือ พลังงาน พืชเกษตร การท่องเที่ยว และการแพทย์ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้เกิดผล และลดอุปสรรคปัญหาต่างๆ