ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - สมาคมนักธุรกิจไทยจีนเชียงใหม่ จัดงานฉลองก่อตั้งครบ 40 ปี เชิญ “สุรินทร์ พิศสุวรรณ” แสดงปาฐกถา ด้านอดีตเลขาธิการอาเซียนชี้โลกจับตา “จีน-อาเซียน” แนะนักธุรกิจไทยต้องมองหาโอกาสทั้งในตลาดจีน-เพื่อนบ้านอาเซียน กระตุ้นนักธุรกิจไทยต้องมองไกลอย่ากลัวการไปนอกประเทศ พร้อมชี้สังคมต้องเร่งปรับปรุงหลายด้าน ไม่อย่างนั้นตกขบวน
วันนี้ (2 มี.ค.) ที่โรงแรมดิเอ็มเพรส จ.เชียงใหม่ สมาคมนักธุรกิจไทยจีนเชียงใหม่ได้ทำพิธีเปิดงาน “40 ปี ผสานใจนักธุรกิจไทยจีนเชียงใหม่” ขึ้น โดยมี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน นายก่วน มู่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย นายจาง เหว่ย ฉาย กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดเชียงใหม่ นายยง สุขสุดประเสริฐ ประธานหอการค้าไทย-จีน นายทรงวิทย์ อิทธิพัฒนากุล นายกสมาคมนักธุรกิจไทยจีนเชียงใหม่ ร่วมในพิธี และมีนายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน
การจัดงานดังกล่าวในครั้งมีขึ้นเพื่อฉลองการครบรอบ 40 ปี ของสมาคมนักธุรกิจไทยจีนเชียงใหม่ ซึ่งก่อตั้งโดยกลุ่มพ่อค้า และนักธุรกิจเชื้อสายจีนในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2515 โดยมีพ่อค้าและนักธุรกิจทั้งชาวไทยเชื้อสายจีน และนักธุรกิจจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวนมากเข้าร่วมงาน ขณะที่กิจกรรมภายในงานดังกล่าว ประกอบด้วย การปาฐกถาพิเศษของ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน และนายก่วน มู่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย การจัดนำเที่ยวชมเมืองเก่าเชียงใหม่ และการจัดงานเลี้ยงฉลองในช่วงค่ำวันนี้
ทั้งนี้ ในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง “โอกาสความร่วมมือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน+จีน” ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียนได้กล่าวว่า ปัจจุบัน เอเชียถือเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก หลังจากที่เศรษฐกิจของยุโรป และสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาชะงักงัน โดยเฉพาะจีน เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นจุดที่นักลงทุน และนักธุรกิจให้ความสนใจอย่างมาก ขณะเดียวกัน จีนยังถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญของประเทศต่างๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะกับอาเซียนซึ่งกำลังก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ดังนั้น จีนจึงเป็นประเทศที่มีความสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องพิจารณาถึงการสร้างโอกาส และความร่วมมือด้านการค่าการลงทุนระหว่างกัน
ดร.สุรินทร์ กล่าวว่า เชียงใหม่ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สามารถเชื่อมโยงอาเซียนไปสู่จีนได้ เนื่องจากอยู่ในจุดภูมิศาสตร์ที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศจีนได้ เมื่อประกอบกับการที่จีนกำลังเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ด้านตะวันตกของประเทศ การรวมกันของตลาดอาเซียน และนโยบายทั้งของจีน และของไทยที่มีการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อเชื่อมต่อการคมนาคมขนส่งระหว่างกัน จะผลักดันให้เชียงใหม่กลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่ผู้คนจะเดินทางเข้ามา ดังนั้น นักธุรกิจในเชียงใหม่ซึ่งในขณะนี้ถือเป็นหัวหอกของการสร้างความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจะต้องมองให้เห็นถึงโอกาสดังกล่าว และหาทางเชื่อมโยงธุรกิจของตนเข้าสู่วงจรดังกล่าวให้ได้
ทั้งนี้ ดร.สุรินทร์ ระบุว่า สิ่งสำคัญที่คนไทยจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดก็คือ ต้องไม่กลัว และต้องเชื่อมั่นว่าคนไทยมีศักยภาพที่จะแข่งขันในตลาดโลกได้ อย่าคิดว่าทำธุรกิจในประเทศก็เพียงพอ แต่ในอนาคตเมื่อไทยก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ขนาดของตลาดก็จะขยายออกไปเป็นในทุกๆ ประเทศสมาชิกอาเซียน รวมไปถึงจีน และประเทศอื่นๆ ที่จะก้าวเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ดังนั้น นักธุกิจจะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดและหันมามองว่า ทำอย่างไรที่จะนำพาธุรกิจไปสู่ตลาดโลกได้ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นชัดเจนแล้วว่า การที่ธุรกิจจะเติบโตในระยะยาวได้นั้นจะต้องก้าวไปสู่ตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ แทนที่จะอยู่แต่ในประเทศเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ ดร.สุรินทร์ ยังระบุด้วยว่า สังคมไทยเองก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ไทยสามารถร่วมขบวนการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ เพราะในปัจจุบัน ประเทศอื่นๆ ได้ออกตัวเดินหน้าพัฒนาไปมากแล้วโดยจะต้องลดการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดขวางการพัฒนาในหลายๆ ด้าน พัฒนาระบบราชการให้มีคนที่มีคุณภาพเข้ามาทำงาน ปรับปรุงระบบการศึกษาให้เป็นระบบการศึกษาที่สอนให้คนคิดวิเคราะห์ และสามารถแก้ไขปัญหามากกว่าท่องจำ เพิ่มปริมาณของการค้นคว้าวิจัย และสร้างองค์ความรู้ รวมทั้งนำมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ หากยังยึดติดอยู่กับจุดเด่นเดิมๆ อย่างเช่นการผลิตด้วยต้นทุนราคาถูก หรือคิดว่ามีทรัพยากรมากเหมือนในอดีตนั้นก็จะทำให้ไม่สามารถไปแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดโลกได้