เกาะกระแส
00 ในที่สุดผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.คราวนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนกรุงเทพฯมีความ “เกลียด”พรรคเพื่อไทยเข้ากระดูกดำจริงๆ และก็เป็นความถูกต้องที่จะต้องไม่ยอมให้ “พวกเผาเมือง” เข้ามา “ยึดเมืองหลวง” ได้เป็นอันขาด ขณะเดียวกันผลการเลือกตั้งที่ทำให้ “ชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากปชป.เอาชนะ “จูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากเพื่อไทย ไปได้ก็ขอให้ “สำเหนียก” เอาไว้ให้จงหนักด้วยว่าที่ชาวบ้านเขากัดฟันโหวตให้ด้วยความ “เจ็บปวดใจ”
00 ขณะเดียวกันผลการเลือกตั้งคราวนี้ยังเป็นการยืนยันให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “โพลรับจ้าง” ห่วยแตกไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้วโดยเฉพาะโพลรับใช้การเมือง อย่าง “สวนดุสิตโพลล์-เอแบ็กโพลล์” ที่พอเห็นผลคะแนนออกมาเป็นตรงกันข้ามเห็นสีหน้าแต่ละคนที่ทำโพลลอยหน้าอยู่หน้าจอทีวีอย่าง สุขุม เฉลยทรัพย์ หรือนักวิชาการที่หากินกับฝ่ายอำนาจรัฐ เช่น สุขุม นวลสกุล รวมไปถึง “เสี่ยนักเล่าข่าวหญ่าย” สรยุทธ สุทัศนจินดา ทางช่อง 3 ที่มีรายงานคะแนนออกมาพลิกหักมุมก็แทบจะเอา “ปี๊บคลุมหัว” ต้องรีบตัดเข้ารายการปกติทันที
00 อย่างไรก็ดีการเลือกตั้งคราวนี้น่าเห็นใจคนกรุงเทพฯจริงๆ ที่ต้องตกอยู่กับกับดักนักการเมือง ตกอยู่ในความกลัวต่อไป นั่นคือ กลัวว่า “พวกเผาเมืองจะมา” กลัวว่า “แม้วมันจะยึดเมืองหลวง” สำเร็จ อีกด้านหนึ่งต้องยอมรับว่า ปชป.สามารถสร้างวาทะกรรมสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวอย่างที่ว่าได้ชงัดนัก ถ้าผลออกมาอย่างที่เห็นเราก็ได้ผู้ว่าฯหน้าเดิม และผลการทำงานแบบเดิมๆ หรืออาจจะห่วยกว่าเดิม นี่แหละผลพวงแห่งวาทะ “ไม่เลือกเราเขามาแน่” เวรกรรมจริงๆ !!
00 ในที่สุดปาหี่หรือละครการเมืองฉากสำคัญที่ทุ่มทุนสร้างกันแบบอึกทึกครึกโครม ลงทุนขนทีมนักแสดงชุดใหญ่กันไปถึงมาเลเซียเมื่อวันก่อนก็ถูกจับได้ไล่ทัน ว่าการลงนามที่เรียกว่าบันทึกความเข้าใจ หรือการเจรจาตกลงเบื้องต้นในการเจรจาสันติภาพระหว่างโจรก่อการร้ายกลุ่ม “บีอาร์เอ็น” กับ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร โดยมีทีมงาน “ขาใหญ่” อุปถัมป์กันอยู่ข้างหลังกันเต็มพรึด ทั้งนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม่ทัพนายกอง พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ยังอุตส่าห์ไปนั่งเป็นตัวประกอบเข้าฉากกับเขาด้วย โดยมี นายกฯมาเลย์ นาจิบ ราซัค เป็นเจ้าภาพทำตัวเป็น “ขาใหญ่” อำนวยความสะดวกให้
00 งานนี้แน่นอนว่านอกจากเป็นการยกระดับโจรใต้ให้ยกชั้นกลายเป็นคู่เจรจากับตัวแทนฝ่ายรัฐไทยที่อย่างน้อยในเบื้องต้นก็เป็นถึงระดับเลขาฯสมช.ธรรมดาเสียทีไหน จากเดิมที่เป็น “โจรกระจอก” ตามที่ ทักษิณ ชินวัตรเคยกล่าวปรามาสแบบมั่วๆเอาไว้จนทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ยังเป็นการสร้างคุณค่าทางการตลาดให้กับ “โจรกระจอกตัวจริง” อย่าง ทักษิณ นั่นแหละ เพราะในฐานะที่เคยทำลายบ้านเมือง ทำลายชายแดนใต้จนย่อยยับ มาวันนี้กำลังถูก “จัดฉากใหม่” ให้กลายเป็น “นักบุญ” รักสันติภาพไปเสียฉิบ
00 จากเดิมที่เคยบัญชาการ “สั่งฆ่า”อยู่เบื้องหลังทั้งในเหตุการณ์มัสยิด “กรือเซะ” และเบื้องหลังการสลายการชุมนุมที่ “ตากใบ” จนนำไปสู่การตายเป็นเบือ และนั่นก็เป็นเชื้อไฟอย่างแรงอีกอย่างหนึ่งที่เผาชายแดนใต้ นอกเหนือจากการสร้าง “รัฐตำรวจ” มีการอุ้มฆ่ามาจากการ “ทำยอด”เหมาเข่งกรณีการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลแม้วในอดีต ซึ่งมีบรรดานายตำรวจคู่บารมีหลายคนที่กำลังกลับมาได้ดิบได้ดีในเมืองหลวงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา และ “คนดีของพี่” ที่ลืมไม่ได้ก็คือ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นั่นเอง ทีนี้พอนึกภาพออกแล้วหรือยัง
00 พูดง่ายๆก็คือในเมื่อ ทักษิณ เป็นคนทำชายแดนใต้เละเทะ แล้วคิดว่าคนอย่างเขาจะกลายเป็น “พ่อพระ” มาโปรดหรือ และที่สำคัญสาเหตุของปัญหามันต้องใช้ยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา” เท่านั้น แต่ต้องเข้มข้นจริงจังและใช้เวลานานที่สำคัญต้องเข้าใจประวัติศาสตร์และต้อง “เลิกอคติ” กับชาวบ้านเป็นอันขาด จะทำแบบฉาบฉวยใช้ “การตลาด” ไปใช้ที่นั่นไม่ได้เป็นอันขาด ที่สำคัญเวลานี้เรารู้หรือยังว่า “เราสู้กับใคร” อย่าได้แปลกใจที่เกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดหนักข้อขึ้นทุกวัน และจะเกิดขึ้นเป็นรายวันเรื่อยไปหาก ทักษิณ และรัฐบาลชุดนี้ยังบริหารแบบสร้างภาพชุ่ยๆต่อไป โอกาสที่จะเสียดินแดนมีสูงยิ่ง จะว่าไปแล้วอาจเป็นความต้องการแท้จริงของคนพวกนี้ก็เป็นได้ เพราะจะได้เข้าไปทำประโยชน์ในภายหลังได้ง่าย ต่อไปอาจมีภาพของ “นครรัฐปัตตานี” ได้เห็นจนชินตามากขึ้นก็เป็นได้ !!