สะเก็ดไฟ
นับถอยหลังเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่งวดเข้ามาเต็มทน อีกไม่กี่วัน คน กทม.จะเป็นผู้ชี้ขาดทิศทางประเทศ เป็นเพราะการลงคะแนนในวันที่ 3 มีนาคมนี้ ไม่เพียงแต่เป็นบทสะท้อนว่า ใครจะมาเป็นพ่อเมือง กทม.เท่านั้น แต่ยังเป็นตัวบ่งชี้ด้วยว่า ประเทศนี้จะยอมอยู่ใต้อุ้งตีนนักโทษชาย “ทักษิณ” แบบไร้รอยต่อ จนถูก “กินรวบ” เขมือบไปทั้งประเทศหรือไม่
การใช้สิทธิครั้งนี้เป็นสิ่งที่คนกรุงเทพฯ ต้องแสดงความกล้าหาญที่จะคัดง้างกับระบอบทักษิณที่กัดกินประเทศชาติยาวนานนับสิบปีว่า คนเมืองหลวงมีภูมิคุ้มกันมากพอที่จะไม่หลงไปกับความเย้ายวนจากนโยบายประชานิยมที่มี “นักโทษทักษิณ” ชักใยอยู่เบื้องหลัง
ในขณะที่การชิงชัยระหว่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ กับ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย ผู้สมัครที่ ทักษิณ เลือกเฟ้นมากับมือ ถึงขั้นเคยประกาศว่า “ส่งเสาไฟฟ้าก็ยังชนะ” ทวีความเข้มข้นมากขึ้นตามลำดับ และดูเหมือนว่าจะมีการกระพือกระแสให้ พล.ต.อ.พงศพัศ หรือจูดี้ ให้แรงแบบม้าตีนต้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นม้าที่แผ่วตีนปลายในช่วงโค้งสุดท้ายไปซะงั้น
โดยเฉพาะมอตโต้ที่ใช้ในการหาเสียงว่า “ไร้รอยต่อ” ซึ่งคิดว่าจะเป็นจุดแข็งให้ได้รับชัยชนะนั้น แท้จริงแล้วกลายเป็น “ดาบสองคม” ที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นการดึงเอา “อำนาจรัฐ” เข้ามามีบทบาทในการเลือกตั้งท้องถิ่น ในเชิงข่มขู่คนกรุงเทพฯว่า “ไม่เลือกคนของรัฐบาล จะถูกตาม ล้างตามผลาญไม่เลิก”
แถมล่าสุดการตอกย้ำบนสติ๊กเกอร์ที่นำไปติดตามป้ายต่างๆ มีข้อความว่า “ขอโอกาสพงศพัศทำงานร่วมกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์” และ “ไร้รอยต่อ = ไร้ความแตกแยก” นั้น ยิ่งตอกย้ำถึงการกดหัวคนกรุงเทพว่าหากไม่เลือกคนของพรรคเพื่อไทย แต่ไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์ หรือผู้สมัครอิสระให้มาเป็นผู้ว่า กทม.จะไม่ได้รับความร่วมมือใดๆ จากรัฐบาลเลย
ต้องเรียกว่าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ต่างจากวิธีคิดเดิมของนักโทษชายทักษิณ ในยุคเรืองอำนาจที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2548 ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่ จ.นครสวรรค์ ว่า
“นครสวรรค์ได้มอบความไว้วางใจให้กับรัฐบาล ด้วยการเลือก ส.ส.รัฐบาลทั้งจังหวัด แน่นอนครับอันนี้ก็ตรงไปตรงมา ก็ต้องได้รับสิทธิในการที่จะต้องดูแล เป็นพิเศษก่อน นะครับอันนี้ ผมตรงไปตรงมา ผมไม่อ้อมค้อม นะครับ จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เราต้องดูแลเป็นพิเศษ นะครับ แต่เราก็ต้องดูแลคนทั้งประเทศ แต่จังหวัดไหน เวลามันจำกัด ก็ต้องเอาเวลาไปจังหวัดที่ไว้วางใจเราเป็นพิเศษก่อน จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อยก็ไปทีหลัง ไม่ใช่ไม่ไป แต่ไปทีหลัง ก็เรียงคิว ต้องเรียงกัน”
จึงมีคำถามถึงคนกรุงเทพฯ ว่า จะสยบยอมต่อคำข่มขู่ของพรรคเพื่อไทยตามสไตล์ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” หรือไม่!?
นอกจากนี้ดูเหมือนว่า อำนาจที่อยู่ในมือของนักโทษโดยมีรัฐบาลน้องสาวเป็นหุ่นเชิดนั้น จะไม่สามารถควบคุมได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ เพราะความเหิมเกริมลุแก่อำนาจจนขาดความระมัดระวังก็กำลังทำให้งานเข้า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากการไปช่วย จูดี้ หาเสียง เนื่องจากเกิดคำถามตามมาว่า
ยิ่งลักษณ์ไปช่วยหาเสียในฐานะอะไร?
เพราะไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งกรรมการบริหารพรรคด้วยซ้ำไป แถมทุกครั้งที่ไปขึ้นเวทีหาเสียงก็ยังมีถ้อยคำที่หมิ่นเหม่ต่อการใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีไปเอื้อประโยชน์ให้กับผู้สมัครพรรคตัวเองอย่างแจ่มชัด
ประกอบกับ จูดี้ เองก็หาเสียงแบบยืนด้วยขาตัวเองไม่ได้ แต่ต้องใช้ขาของรัฐบาลมาค้ำถ่ออยู่ตลอดเวลา ก็ยิ่งทำให้นโยบายไร้รอยต่อกับรัฐบาลนั้น หมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นอย่างยิ่ง
พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 60 ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่กระทำการใดๆ อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร เว้นแต่เป็นการกระทำ ตามอำนาจหน้าที่
ในกรณีของ ยิ่งลักษณ์ ที่ไปหาเสียงรับลูก จูดี้ ในการนำอำนาจรัฐมารับใช้คำหาเสียงของผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ย่อมมีความสุ่มเสี่ยงที่จะขัดต่อหลักกฎหมายอย่างยิ่ง ดังนั้นการที่กลุ่มกรีนนำโดย สุริยะใส กตะศิลา ไปร้องต่อ กกต.จึงเป็นเรื่องที่มีลุ้น
หากว่ากลไกของชาติยังทำหน้าที่ได้ตามปกติ ก็ย่อมหยุดความอหังการ์ของรัฐบาลน้องสาวนักโทษได้ไม่ต่างจากที่พี่ชายเคยโดนมาแล้ว หลังจากมีพฤติกรรมท้าทายกฎหมายมาโดยตลอด เนื่องจากเชื่อว่าตัวเองมีอำนาจจะทำอะไรก็ได้
แต่ก่อนที่จะไปถึงอำนาจขององค์กรอิสระ คนที่มีสิทธิ์ได้สั่งสอนนักโทษทักษิณก่อนใครคือ คนกรุงเทพฯ ที่จะไปใช้สิทธิในวันที่ 3 มีนาคม 2556 ประกาศให้ทรราชรู้ว่า ประเทศนี้ไม่ใช่ของตระกูลชินวัตร