“เรืองไกร” ยังดันทุรังให้ข้อมูล กกต.กทม. ยัน “อภิสิทธิ์-ศิริโชค-เสรี” ใส่ร้าย “พงศพัศ” ทั้งที่ประธาน กกต.กทม.ยันไม่มีสิทธิยื่นคำร้อง แถมเล่นงาน “ทวีศักดิ์” จี้ กกต.กทม.สอบ อ้างวางตัวไม่เป็นกลาง ฐานเบรกไม่ให้ร้องเรียน ด้านนักรบไซเบอร์ กกต.จับตาโค้งสุดท้ายหาเสียงผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กใกล้ชิด
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา เปิดเผยภายหลังเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนของสำนักงาน กกต.กทม.ว่า ทางคณะอนุกรรมการไต่สวนของ กกต.กทม.ได้เชิญมาชี้แจงกรณีที่ได้ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบการกระทำของของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และนายเสรี วงศ์มณฑา นักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 กรณีโพสต์ภาพและปราศรัยให้ร้าย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 9 พรรคเพื่อไทย ซึ่งการมาให้ถ้อยคำเพิ่มเติมครั้งนี้เป็นการยืนยันถ้อยคำในคำร้องที่ยื่นไป
รวมทั้งยังให้ทาง กกต.กทม.บันทึกเพิ่มเติมในท้ายคำร้องว่าขอให้ กกต.กทม.ตรวจสอบพฤติกรรมของ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.กทม. ที่เข้าข่ายมีพฤติกรรมวางตัวไม่เป็นกลาง โดยเฉพาะการที่ออกมาสัมภาษณ์ว่าตนไม่มีสิทธิที่จะยื่นเรื่องร้องเรียนได้ โดยได้นำเอกสารข่าวในเว็บไซต์ขอหนังสือพิมพ์มติชน ที่ประธาน กกต.กทม.ออกมาระบุว่า “นายเรืองไกรไม่มีสิทธิยื่นคำร้อง ถ้าผู้ร้องมาร้องให้ตรวจสอบ ตนก็จะยกคำร้อง” มายื่นเป็นเอกสารประกอบคำร้องเพิ่มเติมด้วย
ด้านนายวีระศาสตร์ นริศ บุญสนอง ผู้เชี่ยวชาญสำนักงาน กกต. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าติดตามการเลือกตั้งทางอิเล็กทรอนิกส์ (นักรบไซเบอร์) กล่าวว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ทางศูนย์นักรบไซเบอร์ได้มีการติดตามความเคลื่อนไหวของผู้สมัคร กลุ่มผู้สนับสนุนผู้สมัครฯ ทางโซเชียลมีเดีย และเคเบิลทีวีอย่างใกล้ชิด เพราะคิดว่าน่าจะใช้ช่องทางทางโซเชียลมีเดียมาช่วยรณรงค์หาเสียงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากการติดตามก็พบว่าทุกอย่างยังคงเป็นปกติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ แม้ทางศูนย์จะพบเบาะแสและประเด็นที่เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง แต่ก็ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ทั้งนี้หากมีประเด็นหรือเรื่องใดเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง ทางศูนย์นักรบไซเบอร์ก็จะเก็บหลักฐานเพื่อนำเสนอให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป