ผ่าประเด็นร้อน
ได้เห็นอาการล่าสุดของรัฐบาลผ่านทางท่าทีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำให้เห็นว่าเธอกำลังสนุกอยู่กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เวลานี้ดำเนินไปเรื่อยๆ เข้าสู่ปีที่สองอย่างมั่นคง ทำให้มั่นใจว่าหากไม่ “แตะของร้อน” สร้างแรงกระเพื่อมโดยไม่จำเป็นแล้ว ความตั้งใจที่จะอยู่ครบเทอม 4 ปีไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ขณะเดียวกัน ยิ่งเวลาทอดนานไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เธอสามารถสร้างเครือข่ายส่วนตัวตามคำแนะนำของ “กุนซือ” ข้างกายในนาม “แก๊งสี่คน” ได้มั่นคงขึ้น อีกทั้งยังเป็นการประสานประโยชน์กับพี่ชายคือ ทักษิณ ชินวัตร ในทางธุรกิจ อย่างน้อยที่เห็นก็คือ การใช้อำนาจรัฐเจรจาเป็นใบเบิกทางในโครงการสำคัญระหว่างประเทศที่กำลังเป็นที่จับตามองสงสัย เช่น โครงการพลังงานในอ่าวไทยกับเขมร และกับพม่า โดยมีบริษัทน้ำมันสหรัฐฯ อย่าง เชฟรอน หรือแม้แต่ ปตท.ของไทยเอง ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังเป็นที่จับตาว่าผู้ถือหุ้นที่เรียกว่า “ฝรั่งหัวดำ” นั้นถือในนามใครกันแน่
หรือแม้แต่โครงการก่อสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของพม่า ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์รับหน้าที่ในด้านการสนับสนุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ประสานงานด้านการลงทุนกับต่างชาติอย่างเต็มกำลัง ขณะที่การลงทุนระหว่างสองประเทศก็มีการแต่งตั้งคนใกล้ชิดลักษณะเหมือน “เด็กในบ้าน” อย่าง นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการประสานงาน นี่ว่ากันเฉพาะโครงการมหายักษ์ข้ามชาติ
แต่ที่น่าจับตาไม่แพ้กันก็คืออีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีร่างพระราชบัญญัติกู้เงินจำนวน 2.2 ล้านบาทให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติก่อนเสนอเข้าสภาเพื่อให้ทันสมัยประชุมนี้ ซึ่งแน่นอนว่านี่คือ “งานใหญ่” งานถนัดสำหรับอภิมหาโปรเจกต์ที่อ้างการพัฒนาโครงการขั้นพื้นฐานบังหน้า เป็นรายการ “ชัก 30-40 เปอร์เซ็นต์” ตามที่มีเสียงนินทากันหนาหูเมื่อเปรียบเทียบกับหลายโครงการขนาดเล็กยิบย่อยก่อนหน้านี้ให้บรรดา “สารพัดเจ๊” ได้ทำมาหากิน หาประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งลองนึกดูก็แล้วกันว่ามันมหาศาลแค่ไหน
เมื่อพิจารณาถึงผลประโยชน์เฉพาะหน้าที่คาดว่าจะได้รับ นี่แหละทำให้เป็นอีกเหตุผลสำคัญทำให้ต้องเรียงลำดับความสำคัญเร่งด่วนกันใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมทางการเมืองที่กดดันเข้ามา
แน่นอนว่า หากพิจารณากันเฉพาะบางแง่มุมก็ต้องบอกว่าร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯก็เป็นเรื่องเร่งด่วนสำคัญสำหรับ ทักษิณ ชินวัตร เพราะในเนื้อหาเดิมตามที่เสนอเข้ามามีแค่ 6 มาตรานั้นมีเจตนาจงใจให้ “คลุมเครือ” เปิดช่องให้ตีความให้เขาพ้นความผิด โดยเฉพาะในเรื่อง “คนสั่งการ” และ “แกนนำ” รวมไปถึงการมีการตั้ง “คณะกรรมการพิสูจน์” ซึ่งเชื่อว่าเอื้อประโยชน์อย่างแน่นอน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรับรู้ว่าเรื่องดังกล่าวมันเป็น “ของร้อน” เกิดแรงกระเพื่อมได้ทันที
และแน่นอนเช่นเดียวกันว่าสำหรับ ทักษิณ และบรรดาแกนนำเสื้อแดงที่โดนคดีเป็นหางว่าวย่อมต้องการได้อานิสงส์จากพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับนี้ และต้องการให้รีบเสนอเข้ามาเช่นเดียวกัน แต่เมื่อหยั่งเชิงดูจากกระแสสังคมก็ต้องถือว่ายัง “ไม่ตกผลึก” ก็ต้องใช้วิธีซื้อเวลาไปก่อนโดยใช้กฤษฎีกาพิจารณาศึกษา ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน และเมื่อเป็นของร้อนทำให้รัฐบาลสั่นสะเทือนโดยไม่จำเป็น อีกทั้ง ทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมาก็กัดฟันรอมาได้พักใหญ่แล้วสู้อดทนรอไปอีกระยะหนึ่งไม่ได้หรือ อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาที่เป็นอยู่เก็บเกี่ยวประโยชน์จากอภิมหาโปรเจกต์ที่กำลังเข็ญเข้าสภาในนามพระราชบัญญัติกู้เงิน 2.2 ล้านบาทดีกว่า มีแต่ได้เต็มๆ
ดังนั้น ถ้าบอกว่าทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และบรรดาแกนนำเสื้อแดงอยากดันให้พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมออกมาล้างผิดเร็วที่สุด แต่เมื่อมันยังเป็นความเสี่ยงต่อสถานะของรัฐบาล ก็สมควรซื้อเวลาไปอีกระยะหนึ่งก่อน เพราะเท่าที่เห็นยังมีเรื่องเร่งด่วนกว่านั่นคือ ร่างพระราชบัญญัติกู้เงินดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าผ่านฉลุย ไม่มีความเสี่ยง มีแต่ได้ลูกเดียว ขณะที่คนเสื้อแดงระดับรากหญ้าก็ต้องอดทนรอในคุก เป็น “ตัวประกัน” ไปก่อน เพราะไม่ใช่เป้าหมายตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
เพราะปัญหาบ้านเมืองวุ่นวาย ลุกเป็นไฟทั้งในอดีตต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันก็เพียงเพื่อต้องการต่อรองให้ ทักษิณ ชินวัตร พ้นผิดเท่านั้น ข้ออ้างเรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตยอะไรนั่นเป็นเพียงแค่นิยายหลอกคนโง่เท่านั้น!!