xs
xsm
sm
md
lg

ศาลไฟเขียวอัยการส่งประเด็นไปสืบพยาน คดี “อัลรูไวลี” ในต่างประเทศ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

 โมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจซาอุฯ
ศาลอนุญาตส่งประเด็นไปสืบพยาน คดีฆ่า “อัลรูไวลี” นักธุรกิจซาอุฯ ที่ประเทศยูเออี ด้าน “สมคิด บุญถนอม” ระบุ “พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก” เป็นพยานที่หลบหนีคดีของศาลมีนบุรี และมี จนท.รัฐช่วยไม่ให้ถูกขังตามคำพิพากษา โดยศาลนัดคู่ความเพื่อตามความคืบหน้าอีกครั้ง 20 พ.ค.นี้

ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (4 ก.พ.) ศาลนัดฟังคำสั่งในคดีดำ อ.119/2553 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และจเรตำรวจ พ.ต.อ.สรรักษ์ หรือสมชาย จูสนิท ผกก.สภ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล ผกก.สภ.น้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี และ จ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และเพื่อปกปิดการกระทำความผิดอื่นของตน และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นความผิดอาญา

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 12-13 ก.พ. 2533 จำเลยทั้งห้าร่วมกันลักพาตัว นายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ประกอบธุรกิจจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ประเทศซาอุฯ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ขณะเป็น ผบช.ภ.5 กับพวกเข้าใจว่า ผู้ตายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของนักการทูตซาอุดีอาระเบีย

โดยอัยการโจทก์ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งส่งประเด็นไปสืบ พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก หรือ นายเกียรติกรณ์ แก้วผลึก หรือแก้วเพชรศรี พยานปากสำคัญ ที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) มีหนังสือแจ้งให้ทางการไทยทราบว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ อยู่ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ขณะที่ทนายความจำเลยได้ร้องคัดค้าน เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณา

อีกทั้งทนายความจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2556 ว่า พนักงานอัยการฝ่ายต่างประเทศและพนักงานสอบสวนดีเอสไอ อีก 2 นาย นำพยานปาก พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2555 เวลา 02.30 น.จำเลยจึงขอให้ศาลไต่สวนข้อเท็จจริงในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบดังกล่าว เพื่อจะใช้เป็นข้ออ้างในการส่งประเด็นโจทก์ไปสืบที่ต่างประเทศ

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การส่งประเด็นไปสืบที่ต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบแต่อย่างใด และเมื่อรับฟังได้ว่าพยานปากดังกล่าวอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จริง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลจึงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 228 ให้ส่งประเด็นสืบพยานโจทก์ดังกล่าวได้ตามที่ร้องขอ โดยให้โจทก์มีหนังสือถึงสำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อส่งประเด็นไปสืบโดยเร็ว

ส่วนที่ทนายความจำเลยที่ 4 ขอไต่สวนนั้น ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวจะชอบหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีนี้ เพราะเป็นคนละส่วนกัน จึงงดไต่สวน ยกคำร้อง

โดยศาลนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายเพื่อฟังความคืบหน้าการสืบพยานปากดังกล่าว ในวันที่ 20 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.

พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม กล่าวภายหลังว่า การที่ศาลอนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบต่างประเทศ ทำให้ตน และจำเลยอื่นๆ ไม่มีโอกาสได้ซักค้านพยาน ส่วนที่ตนและทนายความอาจจะเดินทางไปติดตามการสืบพยานที่ยูเออีหรือไม่นั้น ก็ต้องหารือกันก่อน เพราะจะต้องมีการเตรียมการ รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่วนกรณีที่ฝ่ายจำเลย เชื่อว่า ทางอัยการ และพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ร่วมกันพาพยานปากนี้เดินทางออกนอกประเทศ ทั้งที่ครั้งแรกถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ตรวจพบแบล็กลิสต์ จนต้องมีการเปลี่ยนเที่ยวบิน จนในที่สุดก็เดินทางออกนอกประเทศได้ โดยมีการออกค่าตั๋วเครื่องบินจำนวน 115,600 บาทให้นั้น ตนมีพยานหลักฐานเป็นตั๋วเครื่องบินเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ช่วยเหลือพาพยาน ออกนอกราชอาณาจักร เพื่อให้พ้นเขตอำนาจของศาล ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยานปากนี้ยังอยู่ในประเทศไทยตลอด ก็ไม่พาตัวมาเบิกความที่ศาล แต่กลับหาวิธีการส่งประเด็นไปสืบในต่างประเทศ ซึ่งหากมีการนำพยานปากนี้มาสืบในศาลตั้งแต่แรก ตนในฐานะจำเลยจะได้มีโอกาสซักค้านและต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ตามกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งพยานปากนี้เป็นจำเลยที่ศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตลอดชีวิต และออกหมายจับไว้เมื่อปี 2552 ดังนั้น การกระทำดังกล่าว จึงน่าจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และภายใน 2-3 วันนี้ ตนจะร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช, สำนักงานอัยการสูงสุด ฯลฯ โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าข่ายเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ รวม 5 ราย และตั้งข้อสังเกตุว่าทำไมจึงหลบหนีไปที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ซึ่งเป็นประเทศเดียวกับ ที่อดีตนักโทษหนีคดีรายหนึ่ง ไปพำนักอยู่เช่นเดียวกัน

ด้านนายโกวิท ศรีไพโรจน์ อัยการผู้เชี่ยวชาญฝ่ายคดีพิเศษ 1 เจ้าของสำนวนคดี กล่าวยืนยันว่า อัยการไม่เคยทราบเรื่องพาพยานออกนอกประเทศมาก่อน ที่ผ่านมาในการประชุมของคณะกรรมการติดตามคดี ทราบเพียงว่าพยานจะมีการย้ายที่อยู่ตลอดเวลา แต่ไม่อยู่ในประเทศไทย กระทั่งมีหนังสือจากกระทรวงการต่างประเทศมายืนยัน ขณะที่ศาลเคยตัดพยานปากนี้มาแล้ว เนื่องจากไม่สามารถติดตามตัวได้ กระทั่งคดีเริ่มสืบพยานจำเลยบ้างแล้ว แต่เนื่องจากทางการซาอุฯ ต้องการให้มีการดำเนินการพิจารณาในการสืบพยานอย่างเต็มที่ อัยการโจทก์จึงขอโอกาสจากศาล ส่วนที่จำเลยจะมีการร้องเรียน ตนไม่กังวล เพราะยืนยันว่าไม่เคยดำเนินการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการส่งประเด็นไปสืบ หรือหากจะมีคำพิพากษา ก็ล้วนเป็นดุลพินิจของศาล อยากให้ทุกฝ่ายให้ความเคารพ
กำลังโหลดความคิดเห็น