xs
xsm
sm
md
lg

วิลเลียม เหลียง เชฟสิงคโปร์หัวใจไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
 
หากเอ่ยถึงเรื่องราวในวงการอาหารระดับ 5 ดาว จากโรงแรมหรูของเมืองไทย เชื่อว่าตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก เชฟเหลียง หรือ Mr.Willment Leong ชาวสิงคโปร์ อดีต Director Culinary โรงแรม Swiss Hotel Le Concorde เพราะนอกจากมีฝีมือเรื่องการทำอาหารแล้ว เขายังมีฐานะเป็นเสมือนพ่อใหญ่ของเชฟรุ่นใหม่ในเมืองไทย ที่ท่าทางเหมือนดุดัน แต่ร่ำรวยน้ำใจ เพราะลงทุนควักเงินในกระเป๋าตัวเอง ส่งเชฟไทยฝีมือดีไปแข่งขันชนะในระดับสากลมาแล้วนับไม่ถ้วน

 
 
ในวันที่ชีวิตกำลังเผชิญความท้าทาย เพราะต้องดูแลเชฟเด็กไทย และยังต้องทำหน้าที่ประสานงานวงการอาหารโลก เชฟเหลียงได้แบ่งเวลามาพูดคุยกับเรา ถึงเรื่องราวชีวิตบนสังเวียนเชฟในไทยนานถึง 13 ปี เขาย้อนชีวิตวัยเด็กที่สิงคโปร์ว่า 
 

“ครอบครัวผมยากจน พ่อ-แม่ก็เป็นแค่คนขายผลไม้ตามข้างทาง โดนตำรวจไล่ที่ประจำครับ ผมเลยต้องทำงานตั้งแต่เด็กๆ พอเริ่มเป็นวัยรุ่นก็ไปเป็นเด็กล้างจานในโรงแรม ไม่มีใครสนใจผมอยู่แล้ว แต่ก็โชคดีมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาช่วยเหลือผม และพ่อผมก็ไปกู้เงินให้ผมไปเรียนเป็นเชฟด้วย”
  

เชฟเหลียงเดินทางมาเมืองไทยเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เขาอาศัยวิชาชีพเชฟเพื่อดำรงชีวิตอยู่ที่เมืองไทย ซึ่งดูเหมือนจะทำให้เชฟเหลียงเริ่มมีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เขาทำเงินเดือนสูงเป็นที่พอใจ มีบ้าน มีทุกอย่างที่ชีวิตวัยเด็กไม่มี เขาบอกว่าคนไทยใจดี อาหารไทยอร่อย จนรักเมืองไทยไม่น้อยไปกว่าประเทศบ้านเกิดเมืองนอน 
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงอยากตอบแทนบุญคุณชาติไทย อยากคืนสิ่งดีๆ ให้ชาติไทย โดยการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในการเป็นเชฟที่มีอยู่ ให้เชฟรุ่นใหม่หรือคนที่สนใจด้านนี้


 

เชฟเหลียงบอกว่า เขาคงมีความสุขไม่น้อย หากประเทศไทยสามารถสร้างมาตรฐานของเชฟ ให้เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกได้ แต่น่าเสียดาย ที่ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองกลับไม่เหลียวแล อาหารไทยก็มีเสน่ห์ในตัวเอง เชฟรุ่นใหม่หลายคนมีคุณภาพ แต่ไม่เคยมีใครมีโอกาสไปโชว์ฝีมือให้คนทั่วโลกเห็น เขาจึงฝันอยากเห็นเชฟไทยและอาหารไทย เป็นที่ยอมรับของต่างชาติ จึงปั้นฝันของตัวเอง ตัดสินตั้งสถาบันฝึกอบรมการทำอาหารในสไตล์ Creative Life ชื่อว่า Thailand Culinary Academy
 
 
เมื่อเปิดแล้วก็ต้องรับผิดชอบเด็กๆ ในโครงการ เขาต้องเดินทางไปมา เพื่อหาเวทีส่งเชฟไทยฝีมือดี นำอาหารไทยอันหลากหลายไปโชว์ชาวโลก ทำให้เขาต้องหยุดงานหลายครั้งหลายครา เงินเดือนถูกหักจนแทบไม่เหลือ สุดท้ายต้องลาออกจากงานอย่างน่าเสียดาย 
 
"ลูกน้องไม่ต่ำกว่า 100 คน แต่ไม่เคยมีโอกาสให้เขาได้แสดงฝีมือในเวทีการแข่งขัน จึงเป็นตัวจุดประกายให้เริ่มมองดูแววของแต่ละคน พอมีเวทีแข่งขันใดเปิดก็จะจับเขาไปแข่ง อย่างปีแรกที่ลองส่ง เลือกไว้ 5 คน ได้ 5 เหรียญเลย ปีต่อมาส่งต่ออีก 10 คน ผลออกมาก็ 10 เหรียญ จากนั้นมาเลยส่งไปเรื่อยๆ ซึ่งภายใน 5 ปี เราได้เหรียญทอง เงิน และทองแดง รวม 58 เหรียญ ถ้วยรางวัลอีก 10 ถ้วย ซึ่งมี 2 ถ้วยสำคัญมากคือ ถ้วยแชมป์ประเทศไทย และแชมป์เอเชีย ตั้งแต่นั้นมา เราก็คิดที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย เลยตั้งทีมชาติเพื่อเข้าไปแข่งกับยุโรปเลย" เชฟเหลียงกล่าว

 
เชฟสิงคโปร์บอกว่า เห็นหลายคนที่ไปแข่งกลับมาแล้วสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้ ก็รู้สึกดีใจ เพราะเด็กพวกนี้เหมือนเป็นตัวสะท้อนชีวิตเขา ที่ก่อนจะมาเป็นเชฟเรียนจบแค่ ม.3 และสิ่งที่ทำให้ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ได้ในปัจจุบันคือ การเข้าแข่งขันทำอาหารในเวทีต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและนานาประเทศ 

เพราะใบประกาศนียบัตร เหรียญรางวัล และประสบการณ์ที่ได้รับเป็นเหมือนใบเบิกทางสู่อาชีพนี้ได้ เมื่อผมมีโอกาสแล้ว ทีนี้ใครที่อยากเป็นเชฟจริงๆ ผมเลยสนับสนุนทุกคน เรื่องเงิน เรื่องบุญคุณอะไรไม่ต้องมาคืนผมหรอก ขอให้ตั้งใจจริงๆ และทำอย่างต่อเนื่องแค่นี้เอง ประเทศไทยจะได้มีเชฟเก่งเยอะๆ"

 
นานกว่า 5 ปี ที่เชฟเหลียงทุ่มเทปั้นฝันให้เป็นจริง ในวงการแข่งขันอาหารบนเวทีโลก ชื่อเสียงเชฟไทยไม่แพ้ชาติอื่น เพราะเด็กไทยกวาดรางวัลระดับโลกมามากมาย ทั้งหมดนี้ประเทศไทยได้หน้าตา แต่เบื้องหลังคือเชฟเหลียงที่ลงทุนควักเงินตัวเองไปจนแทบจะหมดตัว

 
“ตอนแรกผมมีเงินในบัญชีจากสามล้านบาท ตอนนี้เหลือสามร้อยแล้ว (หัวเราะ) แต่ตรงนั้นผมไม่สนใจนะ ที่ทำเพราะสงสารเด็กๆ ตอนนี้ก็ใช้วิธีวิ่งหาสปอนเซอร์ด้วย ก็มีแมคโครช่วยเรื่องวัตถุดิบ ราชภัฏสวนดุสิตช่วยเรื่องสถานที่ฝึกทำอาหารและเก็บตัวเด็กๆ การบินไทยช่วยเรื่องลดค่าตั๋วเครื่องบิน แล้วก็ได้เพื่อนเชฟมาช่วยด้วย ลูกศิษย์ที่ส่งไปก็ไม่ผิดหวัง เราได้รางวัลกลับมาแทบทุกครั้ง เสียดายก็แค่หน่วยงานรัฐไม่สนใจ ผมไม่เข้าใจตรงนี้ อย่างผมไปเมืองจีน เชื่อไหมเขาจ้างผมไปเป็นเชฟที่นั่น เขาให้ค่าจ้างผมคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3 แสนบาท เพื่อไปพัฒนาเด็กของเขา ให้ส่งเด็กจีนไปประกวดบ้าง แต่ผมตัดสินใจไม่ไป เพราะผมรักที่นี่ รักเมืองไทย” เชฟเหลียงกล่าวเสียงสั่น น้ำตาคลอเบ้า

 
เชฟเหลียงในวัย 42 ปี ยอมรับว่า ยังโสดขาดคนรู้ใจมาคอยเติมเต็มให้ชีวิตชุ่มชื่นเหมือนเพื่อนเชฟคนอื่นๆ เพราะด้วยภาระหน้าที่ทำให้ไม่มีเวลาจีบสาว แต่เขาก็รู้สึกสบายใจที่ได้ทำงานที่เขารัก “ทุกวันนี้พ่อแม่ของผมเองท่านก็สบายแล้ว เห็นเขามีความสุขเราก็มีความสุข ส่วนผมไม่เป็นไรสบายๆ สิ่งที่ผมคิดไว้ก็คงต้องทำให้ได้ต่อไป เพราะถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วไม่สำเร็จไม่เลิกแน่ๆ"

 
ก่อนจากกันเชฟเหลียงยังกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า เขาจะทำให้อาหารไทยโด่งดังเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกให้ได้ แม้ในวันนี้จะสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่งทาง หากแต่ครึ่งทางที่เหลือ ก็ยังต้องทำตราบเท่ายังมีแรง พร้อมยืนยันว่าจะอยู่ร่วมสู้กับคนไทย ไม่ว่าต่างชาติจะหยิบยื่นเงินกองโตซื้อตัวเขาก็ตาม

แม้จะเกิดที่สิงคโปร์แต่เขารักคนไทย รักประเทศไทย มากกว่าคนไทยอีกหลายๆ คน
กำลังโหลดความคิดเห็น