xs
xsm
sm
md
lg

“เหลิม” ขุดมุก “เคอร์ฟิว” แค่อาการคนกลัวตกงาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
รายงานการเมือง

จู่ๆ “เป็ดเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาจุดประเด็นการประกาศ “เคอร์ฟิว” ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย สร้างความมึนงงให้กับ “หน่วยงานความมั่นคง” เกือบทั้งหมด

ไอเดียพุ่งกระฉูดครั้งนี้ “รองฯ เหลิม” คิดเองทำเอง โดยหลังจากที่ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อในประเด็นดังกล่าว ก็เรียก “เสธ.แมว-พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กับ “บิ๊กอู๋-พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เข้าหารือพร้อมจิบไวน์ที่ห้องทำงานในตึกบัญชาการ 1
 
โดย “เฉลิม” สั่งการให้การบ้านทั้ง “เสธ.แมว-บิ๊กอู๋” กลับไปศึกษาแนวทางการประกาศใช้ “เคอร์ฟิว” ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้สแกนพื้นที่ “สีแดงเข้ม” ซึ่งพอจะใช้กฎหมายที่เข้มงวดมากที่สุดได้

ทว่ายังไม่ทันข้ามคืน แนวคิดสุดบรรเจิดของ “เฉลิม” ก็ถูก “บิ๊กโอ๋-พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดเบรกจนหัวทิ่ม เพราะ “บิ๊กโอ๋” เห็นว่า “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ที่บังคับใช้อยู่ในพื้นที่ก็มีความเข้มข้นมาพอแล้ว

ไม่แปลกที่ “เฉลิม” จะออกอาการโกรธอย่างหนัก ตอกกลับ “บิ๊กโอ๋” ให้ไปของาน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ทำเอง จน “บิ๊กโอ๋” ต้องยอมถอย แม้ในใจที่อยู่ในอารมณ์เดียวกับบรรดา “นายทหารระดับสูง” จะไม่เห็นด้วยกับการประกาศใช้ “เคอร์ฟิว” ก็ตาม
 
ย้อนไปในอดีตในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการประกาศ “เคอร์ฟิว” แค่หนเดียว โดย “พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ” แม่ทัพภาคที่ 4 ขอให้รัฐบาลออกประกาศเร่งด่วนเพื่อควบคุมสถานการณ์ ในพื้นที่ “อ.ยะหา-อ.บันนังสตา” จังหวัดยะลา เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวเกิดการก่อความไม่สงบขั้นรุนแรงหลายครั้ง

ซึ่ง “พล.ท.วิโรจน์” ได้ออกประกาศ 4 ฉบับ ดังนี้ 1. ห้ามการแต่งกาย คล้ายเจ้าหน้าที่และทหาร 2. ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน ในช่วงเวลา 20.00 น.-04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น 3. ให้แจ้งการมีบุคคลนอกภูมิลำเนาเข้ามาพักอาศัยอยู่ด้วย และการพกพาบัตรประจำตัวประชาชน 4. ห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือมีเครื่องวิทยุคมนาคม หรือส่วนแห่งเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต

ซึ่งการประกาศ “เคอร์ฟิว” สามารถช่วยให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้เต็มที่ และสามารถควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นได้เกือบทั้งหมด เมื่อเหตุการณ์เริ่มคลี่คลาย “พล.ท.วิโรจน์” จึงเสนอให้ยกเลิกการประกาศ

หากนำการประกาศ “เคอร์ฟิว” ครั้งนั้นมาเปรียบเทียบกับแนวคิดของ “เฉลิม” ในครั้งนี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่าต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะแนวคิดของ “รองฯ เหลิม” ไร้ซึ่งเหตุผลความจำเป็น อีกทั้งยังอาจจะทำให้การสั่งการจากระดับสูงลงสู่หน่วยปฏิบัติตรึงเครียดมากขึ้น เพราะระกับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการไม่ต้องการให้ประกาศ “เคอร์ฟิว” หากมีการงัดขึ้นมาใฃ้จริง เจ้าหน้าที่จะอยู่ในภาวะกดดันมากกว่า

ซึ่งข่าวที่ออกมีความเป็นไปได้ที่ “เฉลิม” จะเสนอประกาศ “เคอร์ฟิว” ใน“อ.กรงปินัง” และ “อ.ยะหริ่ง” ซึ่งเอาเข้าจริงพื้นที่ “อ.กรงปินัง” ไม่ได้เป็นพื้นที่ “สีแดงเข้ม” อย่างที่ “เฉลิม” อ้างขึ้นมา เพราะในพื้นที่ดังกล่าวมีสถิติการก่อเหตุน้อยมาก และแทบจะไม่มีการก่อเหตุมานานมากแล้ว แต่เหตุการณ์ล่าสุดที่มีการฆ่าโหด 4 ศพ ทำให้เหมารวมว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นเยอะ

เรื่องนี้ “หน่วยงานความมั่นคง” วิเคราะห์ว่าหากประกาศ “เคอร์ฟิว” ใน “อ.กรงปินัง” จะเกิดแรงต้านจากประชาชนอย่างแน่นอน
 
ส่วนพื้นที่ “อ.ยะหริ่ง” เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักในการเดินทาง เนื่องจากถนนสาย 402 เป็นถนนสายหลักที่จะมุ่งหน้าเข้าสู่ “จ.นราธิวาส” หากประกาศ“เคอร์ฟิว” ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งใน “อ.ยะหริ่ง” เพื่อไม่ให้มีการเข้าหรือออก ในพื้นที่ที่ได้ประกาศ “เคอร์ฟิว” เท่ากับถนนสาย 402 ถูกปิดตายไปโดยปริยาย

ดังนั้นหากประกาศ “เคอร์ฟิว” ที่ “อ.ยะหริ่ง” ก็เท่ากับปิด “จ.นราธิวาส” ไปโดยปริยายเช่นกัน แทบไม่ต้องนึกเลยว่า แรงต้านจาก “ประชาชน” จะมีสูงมากเพียงใด

ส่วนรัฐบาลจะบ้าจี้ประกาศ “เคอร์ฟิว” ตามที่ท่านรองนายกฯเสนอหรือไม่นั้น ต้องรอลุ้นในการประชุม “ศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรการนโยบายและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้” (ศปก.กปต.) ที่จะประชุมเต็มคณะครั้งแรกในวันที่ 15 ก.พ.นี้
 
เชื่อว่าในวันนั้น “หน่วยงานความมั่นคง” ทั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกระทรวงมหาดไทย ได้จัดทำข้อเสนอให้ที่ประชุม ศปก.กปต.พิจารณาแล้ว โดยเป็นความเห็นที่เป็นกลางมากที่สุด

เพื่อให้ “รัฐบาล” หรือฝ่ายการเมืองเลือกเองตัดสินใจเอง
 
ขณะที่แอ็กชันแรงๆ ของ “เฉลิม” ที่ทำงานสวนทางกับนโยบายหลัก ที่ต้องการลดการใช้กฎหมายพิเศษให้เบาบางมาที่สุด ก็พอวิเคราะห์ได้ว่า เป็นการเล่นการเมืองข้ามช็อต

เนื่องจากระยะหลังเริ่มมีกระแสข่าวหนาหูว่า “ยิ่งลักษณ์” จะปรับ ครม.ในส่วนของพรรคเพื่อไทย หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และอีก 1-2 เดือนก็จะเข้าเกณฑ์ปรับ ครม.6 เดือนครั้ง

นั่นทำให้ “เฉลิม” ที่ในช่วงหลังไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรมออกมาให้เห็น เต้นแร้งเต้นกามากเป็นพิเศษ เร่งทำผลงานออกมาเพื่อแสดงศักยภาพให้ “ยิ่งลักษณ์” ได้เห็น เพราะลำพังการปราบปรามยาเสพติดเอาเข้มข้นของ “รัฐบาล” ซึ่งอยู่ในช่วงที่ทรงๆ ตัวแล้ว จะมาใช้อ้างให้เห็นการทำงานอีกคงจะยาก “เฉลิม” จึงต้องหามุกใหม่มาต่อรอง
 

ยิ่งมีกระแสข่าวว่า “บิ๊กจิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” เดินทางไปพบ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยคาดเดากันว่าจะให้ “บิ๊กจิ๋ว” เข้ามาดูแลงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ยิ่งทำให้ “เฉลิม” ที่ปกติไม่ค่อยสนใจงานภาคใต้สักเท่าไร ไม่สบายใจอย่างมาก

เมื่อได้รับมอบหมายให้ดูแลงาน “ภาคใต้” อยู่แล้ว จึงต้องออกมาแอ็คชั่นให้เห็นศักยภาพกันหน่อย ว่ายี่ห้อ “เฉลิม” ยังใช้บริการได้ดีอยู่เสมอ
 
แต่จะใช้บริการได้หรือไม่ หรือจะถูกเขี่ยออกจากตำแหน่ง ต้องตามดูกันต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น