หน.ปชป.ยกความต่าง รบ.เป็นจุดขาย ชูโครงการผู้ว่าฯ กทม.ที่ผ่านมา ปชช.ให้สานต่อหรือไม่ ปัดใส่ร้าย “จูดี้” นั่ง ปธ.ทีโออาร์สร้างโรงพัก ยันดูข้อเท็จจริง ชี้ปัญหาอยู่ที่บริหารสัญญา ดีเอสไอกลับจ้องฟันช่วงทำสัญญา บี้ตรงไปตรงมาให้ความเป็นธรรม เรียกสอบแบบเดียวกับ ปชป. อัด “ธาริต” มั่วกล่าวหาฮั้วประมูล ลั่นตั้งข้อหาแกล้ง มีฟ้องกลับ ยันทำแค่อนุมัติงบ งงเวลายื่นค้านรวมสัญญา 2 วันจะลงนามยังไง ย้อนรู้ล่วงหน้าบริษัททิ้งงาน ต้องสอบ “ครม.ปู” ยกคณะ ตอก รบ.เรื่องตั้งแต่ซักฟอกยังนิ่ง
วันนี้ (10 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผลสำรวจเกี่ยวกับการลงคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ระบุว่าประชาชนจะใช้สิทธิเลือกผู้ว่าฯ กทม.ที่ตัวบุคคลมากกว่านโยบาย และบางส่วนไม่อยากใช้สิทธิเลือกตั้งว่า เหลือเวลาอีกประมาณ2 อาทิตย์ประเด็นความแตกต่างในเชิงนโยบายจะมีความชัดเจนขึ้น เช่น แนวทางการแก้ปัญหาจราจร ในกรณีของพรรคเสนอการขยายเครือข่ายขนส่งมวลชน 5 สาย ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ไม่สนับสนุนโครงการเหล่านี้ เป็นความแตกต่างชัดเจนที่ประชาชนต้องตัดสินใจว่าจะสนับสนุนโครงการเหล่านี้หรือไม่, ซีซีทีวี 2 หมื่นกว่าตัวที่จะติดเพื่อความปลอดภัย ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยก็ร้องเรียนตลอดเรื่องการติดตั้งซีซีทีวี รวมถึงอุโมงค์ยักษ์ที่ทำมาแล้วจะมีทั้งฝั่งธนบุรี ดอนเมือง พรรคเพื่อไทยก็อ้างว่าใช้ไม่ได้มาโดยตลอด สิ่งเหล่านี้เป็นความแตกต่าง ดังนั้น เมื่อถึงวันเลือกตั้งคิดว่าประเด็นเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจราจร ความปลอดภัย การป้องกันภัยจากน้ำท่วมจนถึงเรื่องพื้นที่สีเขียวซึ่งจะเพิ่มอีก 5 ไร่ และจะเริ่มใช้วิธีการเชื่อมโยงพื้นที่สีเขียวเข้าหากัน และเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ในพื้นที่สำคัญๆ เช่น ย่านธุรกิจ ตลาดพลู และพื้นที่อื่นๆ นั้นจึงเป็นความแตกต่างที่ประชาชนจะตัดสินใจได้
“สุดท้ายประชาชนต้องตัดสินว่าต้องการจะเห็นกรุงเทพฯ เป็นอย่างไร ต้องการการบริหารเมือง และการทำงานการเมืองแบบไหน ซึ่งเป็นจุดที่จะเกี่ยวพันกับอนาคตผู้เลือกตั้งที่ต้องคิดถึง โดยผมขอไม่วิเคราะห์หรือชี้นำว่าประชาชนควรจะตัดสินใจอย่างไร เพราะหน้าที่ของผมคือเสนอทางเลือกให้กับประชาชน และอยู่บนพื้นฐานของการทำงานที่มีผลงานต่อยอดได้ เช่น เรื่องการศึกษา โครงการโตไปไม่โกง ก็เป็นโครงการของ กทม. ประชาชนต้องตัดสินว่าสนับสนุนโครงการเหล่านี้หรือไม่ ทั้งนี้ในช่วงเกือบเข้าโค้งสุดท้ายพรรคฯ ก็ทำงานเต็มที่ และสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสจัดกิจกรรมที่สะท้อนนโยบายหลายเรื่องที่แตกต่างและจะทำต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนประเมินสถานการณ์อีกครั้งในสัปดาห์สุดท้าย” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาโวยวายว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครของพรรคถูกใส่ร้ายป้ายสีจากกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ออกมาเปิดเผยว่า พล.ต.อ.พงศพัศเป็นประธานร่างทีโออาร์ในการก่อสร้างโรงพักทั่วประเทศ 396 แห่งที่เกิดปัญหาบริษัทรับเหมาทิ้งงานนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า ในการรณรงค์หาเสียงพรรคไม่ได้มีการใส่ร้ายป้ายสีผู้สมัครรายใดทั้งสิ้น เพราะหากใครทำแบบนั้นก็เป็นการทำผิดกฎหมาย แต่ใครเกี่ยวข้องอย่างไรก็เป็นไปตามข้อเท็จจริง สิ่งที่พรรคตั้งคำถาม คือ เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ พยายามที่จะลากตนเข้าไป ทั้งที่ทุกคนก็ทราบดีว่าเวลาที่มีการประมูล การร้องเรียนก็เป็นเรื่องปกติ คนที่ไม่มีหน้าที่ในการจัดซื้อจัดจ้างทำได้ก็คือส่งให้ผู้ที่รับผิดชอบไปพิจารณาและติดตาม ซึ่งปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของการบริหารสัญญา แต่แปลกใจว่าเมื่อขั้นตอนไหนไปเกี่ยวพันกับคนที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาล ดีเอสไอไม่สนใจในการที่จะเรียกไปสอบเลย ทั้งที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นคือการบริหารสัญญาที่มีปัญหา เช่น ผู้ประมูลได้ไม่สามารถทำงานได้ ต้องถามว่าใครไปต่อสัญญาให้ การส่งมอบพื้นที่เป็นอย่างไร ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นในยุครัฐบาลที่แล้วแต่เกิดในรัฐบาลชุดนี้
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ซึ่งหากถือคติแบบที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ บอกว่า นายกรัฐมนตรีผู้บริหารสูงสุดต้องรับผิดชอบ ก็ต้องเชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไปด้วย เพราะสัญญาไม่ได้ผิดตั้งแต่ต้นตามที่นายธาริตกล่าวอ้าง โดยครั้งแรกมีการกล่าวหาว่าฮั้วประมูล แต่เมื่อดูผลการประมูลก็พบว่าไม่มีการฮั้วเพราะเสนอราคาแตกต่างกันเป็นร้อยล้านบาท ถามว่าโครงการที่แตกต่างกันเป็นร้อยล้านบาททำไมดีเอสไอไม่ไปดูว่าฮั้วหรือไม่ จึงไม่อยากให้ดีเอสไอเบี่ยงเบนประเด็น เพราะเมื่อประมูลในราคาต่ำสุดและคุณสมบัติครบ หน่วยงานจะไม่อนุมัติได้อย่างไร หากรัฐบาลไปอนุมัติคนที่ประมูลสูงกว่าก็ต้องโดนดีเอสไอเล่นงาน เพราะฉะนั้นอย่าเบี่ยงเบนประเด็น นายธาริตและ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ต้องพูดความจริงว่าเมื่อเขาประมูลได้แล้วทำไม่ได้จนเกิดปัญหา ก็ต้องดูว่าการบริหารสัญญาผิดพลาดอย่างไร พร้อมกับย้ำว่าคนบริหารสัญญาไม่ใช่รัฐบาลที่แล้ว นายธาริตเอาอะไรมาพูด มีหลักฐานอะไร ไม่มีข้อเท็จจริงที่จะหาเหตุผลมาสนับสนุน
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าบริษัทที่เข้ามาประมูลงานแล้วบอกว่าจะมาทิ้งงาน ใครจะไปรู้ได้ นายธาริตก็คิดเอาเอง อยากให้ไปดูข้อเท็จจริงว่าอะไรเป็นอะไร ผมถามว่าวันนั้นถ้านายธาริตนั่งอยู่ในกรรมการเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างจะตัดสินใจอย่างไร ผมก็ไม่ได้อยู่คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง และมีตำรวจหลายคนที่เกี่ยวข้อง นายธาริตก็ไม่เรียกไป ทำไมจึงไม่เรียกไป ผมไม่ทราบรายละเอียดในขณะเกิดเหตุ แต่เมื่อดูจากข้อมูลที่เป็นข่าวนั้น บริษัทที่ประมูลได้ในราคาต่ำก็เพราะมีบริษัทลูกที่จะผลิตวัสดุได้เองจึงกล้าเสนองานในราคาที่ต่ำกว่า ถามว่าถ้าราชการไม่เอาคนที่เสนอราคาต่ำกว่าแต่เลือกคนที่ประมูลสูงกว่า นายธาริตก็ดำเนินคดีอีกว่าทำราชการเสียหาย ผมคิดว่าดีเอสไอจะตัดตอนเอาเฉพาะแค่ช่วงการทำสัญญาโดยยกเว้นการบริหารสัญญาออกไปไม่ได้ เพราะหากตัดตอน นายธาริตอาจถูกดำเนินคดีอีกคดีหนึ่ง ขอให้ทำตรงไปตรงมา พวกผมไม่ได้ขอสิทธิพิเศษอะไร แค่ให้ทำตรงไปตรงมา แต่อย่าให้สิทธิพิเศษกับคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า จนถึงขณะนี้มีแต่ข่าวที่พาดพิงถึงตนว่าเกี่ยวข้องแต่ดีเอสไอยังไม่เคยติดต่อมาที่ตน ซึ่งหากเชิญมาก็ต้องไปตามกฎหมายทุกอย่าง แต่ขอให้สมเหตุสมผล เพราะที่ผ่านมาเชิญตนไปบ่อยมากเหมือนจงใจให้เกิดภาพทางการเมืองเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเกี่ยวข้องกับตนจริงดีเอสไอก็ต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ถ้าดีเอสไอแจ้งข้อหาตนกับนายสุเทพอีกก็ทำผิดกฎหมาย ตนก็ต้องฟ้องอีกเหมือนกับที่เคยฟ้องไปแล้ว แต่ถ้าไม่ทำผิดกฎหมายก็ไม่ฟ้อง นายธาริตก็ต้องใช้หลักเดียวกับตน คือ ทำผิดกฎหมายฟ้องดำเนินคดี ไม่ได้ทำผิดก็ไม่ฟ้องไม่ดำเนินคดี ทั้งนี้ทราบดีว่ามีความพยายามที่จะยัดข้อหาให้ตนกับนายสุเทพ แต่ไม่เป็นไรเพราะหากทำผิดกฎหมายก็ต้องรับผลทางกฎหมายไป
ส่วนกรณีที่นายธาริตอ้างเอกสารการร้องเรียนของบริษัทก่อสร้างคัดค้านการรวมสัญญาส่งถึงนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เป็นหลักฐานสำคัญว่านายอภิสิทธิ์รับรู้เรื่องนี้นั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า มีหลักฐานว่าเอกสารมาถึงตนหรือไม่ เพราะตนจำไม่ได้ว่ามีเอกสารดังกล่าวและในระหว่างที่เป็นนายกรัฐมนตรีกว่า 2 ปีก็มีเรื่องร้องเรียนถึงตนวันละหลายเรื่อง แต่เท่าที่จำได้ทุกเรื่องที่ร้องเรียนตนจะส่งให้ผู้รับผิดชอบไปดำเนินการเพราะตนไม่มีอำนาจในการแทรกแซงเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ลองนึกภาพว่ามีคนประมูลต่ำกว่าหลายร้อยล้านบาทแล้วมีการร้องเรียนจะให้ตนไปบอกว่าเอาคนที่ประมูลสูงกว่าไม่ยิ่งหนักเข้าไปหรือ สำหรับกรณีที่อ้างว่ามีการคัดค้านการรวมสัญญาก็ต้องดูตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งหากเป็นไปตามที่นายธาริตออกมาระบุว่ามีการร้องคัดค้านในวันที่ 18 พ.ย. 52 ก่อนที่นายสุเทพจะลงนามอนุมัติในวันที่ 20 พ.ย. 52 นั้นก็ต้องถามนายธาริตว่าหนังสือจะมาถึงตนได้อย่างไรเพราะเวลาห่างกันเพียงแค่ 2 วัน ทั้งนี้ เห็นว่านายธาริตไม่ควรพูดลอยๆ เพราะเป็นพนักงานสอบสวนเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ข้อยุติไม่ควรให้สัมภาษณ์ ต้องดำเนินการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้การจัดซื้อจัดจ้างนั้นในระดับนโยบายก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว สิ่งที่ตนทำอย่างเดียวคือ ครม.อนุมัติเงินงบประมาณเท่านั้น และไม่เป็นห่วงว่าจะมีการปั้นเอกสารขึ้นมาใหม่เพื่อเอาผิดตน เพราะเชื่อว่าความจริงไม่มีวันตาย
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า การที่นายธาริตอ้างว่าผิดที่สัญญาโดยไม่พูดถึงการบริหารสัญญานั้น เป็นเหตุผลที่ใช้ไม่ได้ เพราะหากเห็นว่าสัญญาผิดพลาดก็ต้องมีการยกเลิก หรือระงับสัญญา ไม่ใช่ไปอำนวยความสะดวก เพราะนายธาริตยืนยันว่ารู้ล่วงหน้าว่าบริษัทจะทิ้งงาน วันที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาแล้วทำอะไรอยู่ปีกว่า เมื่อรู้ว่าบริษัทจะทิ้งงานแล้วไม่ทำอะไร ก็เท่ากับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถ้านายธาริตยืนยันแนวคิดนี้ก็ต้องเรียกคนในรัฐบาลนี้ทุกคนเลย เพราะบอกว่าทุกคนรู้ได้ว่าจะทิ้งงานแต่กลับไม่ทำอะไร ส่วนที่มีการขยายเวลาการก่อสร้างในรัฐบาลชุดนี้ถึง 3 ครั้งรวมเวลา 9 เดือนนั้น ตนก็ไม่ทราบว่าการตัดสินใจของคนทำงานมีข้อมูลและเหตุผลอย่างไร แต่ตนข้องใจว่าทำไมนายธาริตไม่สงสัย ในเมื่อยืนยันว่ารู้ได้ตั้งแต่ต้นว่าเป็นสัญญาที่มีปัญหา ทำไมคนบริหารสัญญาจึงไปต่อสัญญายืดเวลาให้บริษัท ต้องถามนายธาริตว่าไปอยู่ไหนมา และการที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ออกมาระบุว่ามีการส่งพื้นที่ให้กับบริษัทช้าจนทำให้เกิดปัญหาในการก่อสร้างก็เป็นเรื่องที่นายธาริตควรจะไปพิจารณา เพราะนายชูวิทย์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตน แต่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอภิปราย เพราะฉะนั้นนายธาริตก็น่าจะเชิญนายชูวิทย์ไปให้ข้อมูลด้วย และประเด็นเหล่านี้ก็เป็นเรื่องเดียวกับที่ดีเอสไอกำลังสอบสวนอยู่ต้องรวมเป็นสำนวนเดียวกันด้วย
ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาด้วย ไม่อย่างนั้นนายธาริตจะบอกว่าผิดอีก เพราะไม่ต้องรอการร้องเรียนเนื่องจากขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์มาหลายสัปดาห์แล้ว มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายเดือนแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไรเลย