ผ่าประเด็นร้อน
หลายคนอาจรู้สึกงงไม่น้อยที่จู่ๆ เมื่อวานนี้ (30 มกราคม) ตำรวจกองปราบปรามบุกเข้ารวบตัว “กำนันเป๊าะ” หรือสมชาย คุณปลื้ม ผู้มีอิทธิพลในภาคตะวันออกได้ในรถยนต์คาด่านทางด่วน ขณะกำลังเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดชลบุรี เพราะเกิดความสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น คำถามก็คือทำไมเพิ่งมาจับกุมเอาในช่วงเวลาแบบนี้ ทั้งที่จากการให้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นหัวหน้าชุดจับกุมยศพันตำรวจเอกนายหนึ่งบอกว่าได้ทราบข้อมูลมานานเป็นปีแล้วว่า กำนันเป๊าะหลบมาอยู่บ้านที่ชลบุรี รวมไปถึงมีการเดินทางไปไหนมาไหนหลายครั้ง
และครั้งที่ถูกจับกุมครั้งนี้ก็บอกว่าได้รับแจ้งจากพลเมืองดีในเรื่องแหล่งกบดานดังกล่าวจึงเฝ้าติดตามมานานกว่าสองเดือน
คำถามก็คือ กำนันเป๊าะ ซึ่งถูกศาลตัดสินคดีถึงที่สุดแล้วจำนวน 2 คดี นั่นคือคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินบ่อบำบัดขยะที่เขาไม้แก้ว และคดีจ้างวานฆ่า “กำนันยูร” ประยูร สิทธิโชติ โดยคดีแรกถูกศาลตัดสินจำคุก 5 ปี 4 เดือน ส่วนคดีหลังถูกศาลจำคุก 25 ปี รวมทั้งสองคดีถูกสั่งจำคุก 30 ปี 4 เดือน และหลบหนีการจับกุมมานานกว่า 6 ปี ก่อนถูกรวบตัวดังกล่าว ท่ามกลางคำถามตามมาว่าหากกำนันเป๊าะมากบดานอยู่ที่ชลบุรีนานนับปีแล้วตำรวจที่นั่นไม่เคยรู้เรื่อง หรือถ้ารู้แล้วทำไมไม่จับกุม
และทำไมต้องมีการจับกุมจากตำรวจกองปราบฯ ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
อย่างไรก็ตาม การจับกุมกำนันเป๊าะทำให้เกิดภาพสะท้อนตามมา อย่างน้อยก็มีผลต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครบางราย อย่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เนื่องจากทำให้หลายคนได้ย้อนกลับไปในอดีตเมื่อครั้งที่เคยฟาดฟันอิทธิพลในพื้นที่ตะวันออก โดยเฉพาะมีการจับกุมทำคดีทุจริตซื้อที่ดินเขาไม้แก้ว และนำไปสู่การตัดสินจำคุกกำนันเป๊าะ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ในยุคนั้น
ขณะเดียวกันยังเป็นคำอธิบายได้ดีว่าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะผู้รักษากฎหมายตั้งใจทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาไม่กลัวและรับใช้ผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองทุจริตแล้ว ก็สามารถลากคอมาดำเนินคดีได้ทุกราย
สำหรับการจับกุมในครั้งนี้แม้ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้เต็มร้อย แต่ก็สามารถชี้ให้เห็นถึงสถานะของคนที่หลบหนีหมายจับ หนีคำพิพากษาของศาลที่สั่งจำคุกคดีถึงที่สุดแล้ว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้เกิดคำถามตามมาเป็นลุกโซ่ว่าแล้วทำไมคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ที่มีฐานะไม่ได้ต่างกัน เป็นอาชญากรไม่ต่างจากกำนันเป๊าะ แต่ ทำไมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่ติดตามจับกุมมาดำเนินคดีให้ได้ จะอ้างว่า คนอย่างทักษิณ ไม่ได้รับความเป็นธรรม แถมยังสร้างตรรกะมั่วๆ เข้าข้างตัวเองว่าเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตย หรือสารพัดข้ออ้าง ก็ฟังไม่ขึ้น
ทั้งที่เวลานี้ฐานะของ “ทักษิณ” ไม่ต่างจากโจร เป็นอาชญากร เป็นนักโทษที่หลบหนีหมายจับของศาลยุติธรรม ที่คนไทยทุกคนต้องยอมรับ และต้องอยู่ภายใต้กฎหมายโดยเสมอหน้ากัน แต่เท่าเห็นพฤติกรรมออกมากลับตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่แทบทุกคน กลับปฏิบัติต่อโจรคนนี้ไม่ต่างจาก “เทวดา” ให้การเคารพเทิดทูนจนเป็นที่น่าอัปยศอดสู ที่ผ่านมาเราไม่เคยเห็นท่าทีของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เคยคิดที่จะติดตามจับกุม หรือคิดขอความร่วมมือจากต่างประเทศเพื่อร้องขอเป็นผู้ร้ายข้ามแดน หรือ รองนายกฯที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็ไม่เคยมีท่าที แถมยังประกาศตัวว่าเป็น “ข้าข้า” โจรคนนี้อีกต่างหาก ขณะเดียวกันยังพยายามหาทางช่วยเหลือให้กลับประเทศโดยที่ไม่ต้องรับโทษเหมือนคนอื่น คิดแต่เอาเปรียบอยู่ร่ำไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยกล่าวหาโจมตีว่าพวกอำมาตย์เอาเปรียบอยู่เหนือกฎหมาย แต่เวลานี้ตัวเองนั่นแหละเลวร้ายยิ่งกว่า
ขณะที่ตำรวจก็หวังพึ่งพาไม่ได้ ไม่เคยสร้างศรัทธา สร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนได้เลยว่าจะทำหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริงกับทุกฝ่าย เพราะเวลานี้ได้เห็นพฤติกรรมไม่ต่างจากตำรวจการเมือง คอยไล่จับแต่ฝ่ายตรงข้ามที่คอยวิจารณ์นักการเมืองที่ตัวเองคอยรับใช้เพื่อแลกกับตำแหน่งแห่งที่
ถามว่าภาพที่ ทักษิณ ชินวัตร ประดับยศบนบ่าของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ขณะที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมข้อความ “มีวันนี้เพราะพี่ให้” มันทำให้ชาวบ้านทั่วไปเขามีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ชาวบ้านจะนะ จังหวัดสงขลาที่เคยถูกไล่ทุบตีระหว่างชุมนุมประท้วงการก่อสร้างโรงแยกแก๊สเมื่อหลายปีก่อนจะรู้สึกอย่างไรบ้าง
หรือดีๆ ชั่วๆ สำหรับกำนันเป๊าะ ก็ยังถือว่าสร้างความเสียหายอยู่ในวงจำกัด เป็นแค่ผู้มีอิทธิพลตามบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่มีพลังต่อรองอะไรแล้ว และที่สำคัญเขาก็ไม่เคยให้สัมภาษณ์ทำร้ายกระบวนการยุติธรรมของประเทศแม่ตัวเอง แม้ว่าในใจก็อาจระบุว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมด้วยก็ได้
การที่หลายฝ่ายยังสงสัยอยู่ว่าทำไมกำนันเป๊าะถึงได้ปิดฉากได้อย่างน่าอนาจถึงเพียงนี้ ก็ต้องติดตามกันต่อไป แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราได้มองเห็นภาพอีกด้านหนึ่งว่า หากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษากฎหมายเอาจริงก็ทำได้ และกรณีของ ทักษิณ ชินวัตร ที่แม้ว่าเวลานี้สื่อต่างประเทศจะเพิ่งยืนยันอีกแรงหนึ่งว่าเขาเป็นนายกฯตัวจริง ทำการประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยตัวเอง แต่มีสถานะไม่ต่างจากโจร อาชญากรหนีคดี ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ต้องหาทางจับกุมมาลงโทษให้ได้ ไม่ใช่หาทางหลบเลี่ยงเย้ยกฎหมาย รวมไปถึงหาทางเอาเปรียบด้วยการคิดแต่นิรโทษลบล้างความผิดอยู่ร่ำไป
และที่สำคัญถ้าวันใด ตำรวจที่มีอำนาจสลัดภาพลักษณ์ที่ติดลบทิ้งไป เลิกรับใช้นักการเมืองชั่ว บางทีเราก็อาจได้เห็นการรวบตัว ทักษิณ ชินวัตร ขณะแอบเข้ามาทางภาคเหนือ หรือแม้กระทั่งในกรุงเทพฯ ในสภาพที่อิดโรย ขี้เยี่ยวราดก็เป็นได้!!