xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ-ประทีป” ชำแหละเอกสาร “50 คำถามพระวิหาร” ชี้อัปยศ-บิดเบือน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปานเทพ” ชำแหละเอกสาร “50 ประเด็นถาม-ตอบ ปราสาทพระวิหาร” ชี้ กต.ทำขึ้นเพื่อให้คนไทยเตรียมใจยอมรับหากเสียดินแดน ซัดอัปยศอ้างเฉยยังไม่เคยมีการสำรวจหาสันปันน้ำ ทั้งที่มีการสำรวจเสร็จสิ้นไปแล้วโดยฝรั่งเศส มิหนำซ้ำยังขัดแย้งกันเอง บอกเป็นคดีใหม่ แต่ไปสู้เพราะเป็นคดีเก่า 



 คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “คนเคาะข่าว”  

เมื่อวันที่ 30 ม.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ อดีตผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการลำน้ำโขง ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ถึงประเด็นกระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือ “50 ประเด็นถาม-ตอบ ปราสาทพระวิหาร” เพื่อชี้แจงเรื่องคดีปราสาทพระวิหาร

โดยนายปานเทพกล่าวว่า ในหนังสือ “50 ประเด็นถาม-ตอบ ปราสาทพระวิหาร” มีเป็นสิบข้อที่พยายามอธิบายแก้ตัวให้นายนพดล ปัทมะ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วม ตนเข้าใจว่านายนพดลน่าจะมีส่วนสำคัญในการร่างเอกสารฉบับนี้ขึ้นมาด้วย โดยภาพรวมตนได้ยินมาก่อนหน้าจะมีเอกสารชิ้นนี้แล้วว่ากระทรวงการต่างประเทศมีแผนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเตรียมยอมรับคำพิพากษาศาลโลก ที่อาจเป็นผลร้ายต่อประเทศไทย เพื่อลดความไม่พอใจของประชาชน ยอมรับสภาพที่จะเกิดขึ้น

นายปานเทพกล่าวต่อว่า ตนขอหยิบยกข้อที่สำคัญๆ ขึ้นมา ในเอกสารนี้มีการอธิบายคำว่าสันปันน้ำ โดยเขียนว่า “สันปันน้ำ คือ แนวสันต่อเนื่องในภูมิประเทศ เมื่อฝนตกจะแบ่งน้ำเป็นสองส่วนซึ่งอำจไม่ใช่สันเขำหรือขอบหน้าผาก็ได้ โดยปกติต้องใช้เครื่องมือทำงเทคนิคในการพิสูจน์หาสันปันน้ำ ทั้งนี้ตรงบริเวณปราสาทพระวิหาร จนถึงบัดนี้ยังไม่เคยมีการสำรวจหาสันปันน้ำในภูมิประเทศจริง” อันนี้เป็นการบิดเบือนที่เลวร้ายมาก ถ้าบรรพบุรุษไทยมาอ่านจะเจ็บปวดมาก ตอนที่เราต่อสู้คดีนี้ที่ศาลโลกเมื่อปี 2505 สิ่งที่เรายืนยันในการสำรวจพื้นที่บริเวณนี้คือหลักฐานของฝ่ายฝรั่งเศสเอง และไทยยื่นเอกสารนี้ด้วยว่าคณะกรรมการปักปันได้เดินสำรวจพื้นที่บริเวณนี้แล้ว และเขียนบันทึกด้วยตัวเองว่าบริเวณทิวเขาดงรักเห็นสันปันน้ำอยู่ที่ขอบหน้าผา มองเห็นได้จากตีนเขาดงรัก ดังนั้น การบันทึกของฝรั่งเศสย่อมพิสูจน์ว่าได้มีการเดินสำรวจเสร็จสิ้นแล้ว การที่กระทรวงการต่างประเทศเขียนแบบนี้เป็นการไม่ยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเอง และเป็นการโกหกที่เลวร้ายอัปยศมาก เพื่อให้คนไทยเชื่อว่าไม่มีเส้นเขตแดนบริเวณนี้ อันนี้ตนรับไม่ได้เลย มีเจตนาราวกับว่าต้องการขายชาติ

ต่อมาในเอกสารข้อ 9 ถามว่า “แผนที่ชุด L7017 คืออะไร” คำตอบ “คือ แผนที่ประเทศไทยมาตราส่วน 1 : 50,000 ที่จัดทำขึ้นโดยกรมแผนที่ทหาร ซึ่งมีการพิมพ์หลายครั้ง โดยในแต่ละครั้งได้มีการปรับปรุงรายละเอียดให้ถูกต้องและชัดเจนมากยิ่งขึ้น” และที่สำคัญมีการอธิบายภาพประกอบของข้อ 9 โดยระบุว่า “พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร” โดยเส้นสีฟ้าเป็นเส้นเขตแดนตามความเข้าใจของไทย ตามแผนที่ L7017 เส้นสีเหลืองเป็นขอบเขตบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหารตามมติคณะรัฐมนตรีปี 2505 ส่วนเส้นสีแดงเป็นเส้นเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก 1 มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรัก ตามความเข้าใจของกัมพูชา" ทั้งที่แผนที่ 1 : 50,000 เขายึดถือขอบหน้าผาคือเส้นสันปันน้ำ แต่ฝ่ายไทยกลับอธิบายว่าด้วยเหตุผลนี้จึงเกิดพื้นที่ทับซ้อน อันนี้ก็เลวร้าย อุตส่าห์เอาแผนที่ไทยไปทาบแล้วบอกว่า 4.6 ตร.กม.คือพื้นที่ทับซ้อน แทนที่จะบอกว่าเป็นพื้นที่ของไทย

ทั้งนี้ ถ้าเรายืนยันเส้นเขตแดนตัวเอง เราจะประกาศในองค์การสหประชาชาติได้ว่าพื้นที่เป็นของไทยตามสนธิสัญญา ฉะนั้นสหประชาชาติไม่สามารถได้รับอนุญาตให้ก้าวก่ายอธิปไตยได้ ในกฎบัตรอาเซียนก็ระบุเช่นเดียวกันว่าไม่อนุญาตให้เข้ามาแทรกแซงกิจการประเทศอื่นได้ ถ้าเรายืนยันเขตแดนก็เท่ากับว่าเรายืนยันในการปกป้องอธิปไตย แต่ถ้าไม่ยืนยันแบบนี้เราจะสู้แบบหวาดกลัวนานาชาติ ว่าต้องทำตามศาลโลก

นายปานเทพยังกล่าวด้วยว่า สำหรับข้อ 28 ถามว่า “ทำไมไทยต้องไปต่อสู้คดีการยื่นตีความนี้ในศาลโลก” ตอบ “เพราะการยื่นความขอต่อศาลโลกของกัมพูชาในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการฟ้องคดีใหม่ แต่เป็นการขอให้ศาลตีความคดีเก่า” เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเองกับข้ออื่นในเอกสารที่บอกว่าเป็นคดีใหม่ ตนคิดว่าที่คำตอบกระทรวงการต่างประเทศออกมาแบบนี้ เวลาบอกว่าเป็นคดีใหม่ก็เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าสู้ได้ดีแล้ว แต่พอถามว่าไปสู้ทำไม ก็จะบอกว่าเพราะเป็นคดีเก่า และถามว่าแล้วจะสู้ว่าอะไร ก็ตอบว่าจะสู้ว่าเป็นคดีใหม่ มันแย่มากในการใช้ 2 ตรรกะหลอกคนไทย

ด้าน พล.ร.ท.ประทีปกล่าวถึงเอกสารข้อ 12 มีการถามว่า “การรักษาสิทธิทางด้านเขตแดนตามกฎหมายระหว่งประเทศต้องทำอย่ำงไร” ตอบ “หากประเทศเพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้องดำเนินการใดที่ละเมิดสิทธิของไทย ไทยจะยื่นหนังสือประท้วง” มันบ่งชี้ให้เห็นว่าการรักษาสิทธิทางด้านเขตแดนของไทย รัฐบาลยื่นหนังสือประท้วงอย่างเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยื่นมาหลายครั้งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วยังจะยืนยันยื่นไปเรื่อยๆ

ส่วนข้อ 30 ถามว่า “ข้อต่อสู้ของไทยมีอย่ำงไรบ้าง” ตอบ “ข้อต่อสู้ของไทยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การคัดค้านคำขอให้มีมาตรการชั่วคราว และข้อต่อสู้ในคดีตีความซึ่งเป็นคดีหลัก” จะเห็นว่าไปครั้งนี้จะไปต่อสู้ประเด็นว่าศาลไม่มีอำนาจ แต่ในทางปฏิบัติกลับมีคำสั่งให้ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเองอีกแล้ว



กำลังโหลดความคิดเห็น