xs
xsm
sm
md
lg

คนกรุงเทพฯ ต้องกล้าเปลี่ยน เลิกติดกับดักพรรคการเมือง!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ถามว่าคนกรุงเทพฯ มีตัวเลือกผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอยู่เพียงแค่สองพรรคใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย ที่ส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ใช้สโลแกนทำนองว่าให้เลือก “แบบไร้รอยต่อ”

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์แชมป์เก่า ที่กัดฟันส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ลงชิงชัยอีกรอบ ภายใต้สโลกแกน “มหานครแห่งความสุข มหานครแห่งความปลอดภัย”

ถามว่า ทั้งนโยบายและตัวบุคคลที่แต่ละพรรคนำเสนอเข้ามานั้นมันจริงอย่างที่พูดหรือไม่ หรือว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ จูงใจเกินจริง และที่สำคัญทำไมคนกรุงเทพฯ ต้องมาจมปลัก มารับความกดดันจากผู้สมัครที่เป็นตัวเลือกอยู่เพียงแค่สองคนและจากสองพรรคนี้เท่านั้นหรือ

ทำไมต้องคิดว่า เมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นคนจากพรรคเดียวกันกับพรรครัฐบาลเป็นพวกเดียวกันแล้วจะทำให้ “ไร้รอยต่อ” ทุกอย่างไหลลื่น ไม่ติดขัด ทำไมไม่คิดในมุมกลับบ้างว่า จะ “โกงแบบไร้รอยต่อ” หรือโกงแบบบูรณาการ เพราะที่ผ่านมาขนาดมีรอยต่อ ยังโกงกันแบบหน้าด้านๆ ตัวอย่างที่เห็นจากงบน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โครงการรับจำนำข้าว หรือสารพัดนโยบายประชานิยมที่ล้มเหลว เป็นต้น นี่ว่ากันเฉพาะที่ยังมีรอยต่อ ยังเป็นขนาดนี้ ถ้าไร้รอยต่อจะขนาดไหน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่ถือว่ามีงบประมาณไม่น้อย มีอภิโปรเจ็กต์มากมายที่ฝันหวานเตรียมมือกันอีกไม่นาน

ขณะเดียวกัน หลักการไร้รอยต่อดังกล่าวของ พรรคเพื่อไทยที่นำมาใช้ในคราวนี้จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับการ “กลืนน้ำลาย” ตัวเอง เพราะหากจำกันได้ก่อนหน้านี้ในสมัยที่ “แซม” ยุรนันท์ ภมรมนตรี ลงสมัครผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานครในนามพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นครอกเดียวกัน แต่เป็นฝ่ายค้านยังเคยโจมตีคู่แข่งในช่วงเลือกตั้งว่า “รัฐบาลก็ประชาธิปัตย์ ผู้ว่าฯ ก็ประชาธิปัตย์” ความหมายก็คืออย่าไปเลือกพวกเดียวกัน ต้องเลือกอีกฝ่ายเข้าไปตรวจสอบอะไรประมาณนั้น จำไม่ได้แล้วหรือ

ที่เจ็บปวดไปกว่านั้นก็คือ ยังมีการนำเอาพวก “หัวโจก” ม็อบเผากรุงเทพฯ เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 53 มาช่วยหาเสียงให้เจ็บใจเล่นอีก ลืมแล้วหรือคำพูดที่ว่า “ให้นำน้ำมันใส่ขวดคนละขวดรับรองกรุงเทพฯเป็นทะเลเพลิงแน่” หรือ “เผาไปเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเอง” ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะยังหน้ามืดเลือกคนพวกนี้เข้ามา หรือไม่ อยากรู้จริงๆ!!

ส่วนอีกด้านหนึ่ง หันมาพิจารณาทางฝั่งประชาธิปัตย์ ที่คราวนี้ยังอุตส่าห์ “กัดฟัน” นำเสนอ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เข้ามาอีกรอบ ทั้งที่ผลงานที่ผ่านมาในรอบ 4 ปี ระหว่างทำหน้าเป็นผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร มีอะไรน่าประทับใจบ้าง การทำงานนอกจากเฉื่อยแฉะ ไม่มีอะไรแหลมคมแล้ว มิหนำซ้ำโครงการใหญ่หลายโครงการล้วนแล้วแต่มีเงื่อนงำ ทั้งอุโมงค์ยักษ์ การให้สัมปทานเดินรถไฟฟ้าแบบมีเงื่อนงำ รวมไปถึงการก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ที่เดิมเคยโม้เอาไว้ว่าจะเสร็จภายในกี่เดือน กี่ปี แต่แล้วในความเป็นจริงทุกอย่างก็ล่าช้ามาปัญหาคาราคาซัง มาตลอด

นี่ยังไม่นับปัญหาจากหลายโครงการก่อนหน้านี้ เช่น โครงการบีอาร์ที ป้ายรถเมล์อัจฉริยะ รวมไปถึงเลนจักรยาน เป็นต้นที่กลายเป็นมรดกตกทอดที่ประจานทิ้งเอาไว้ให้เห็นต่างหน้า

ขณะเดียวกัน ถ้าให้พิจารณาจากความเป็นระเบียบเรียบร้อย ปัญหาขยะตกค้าง หรือเรื่องปลีกย่อย เช่นการเก็บขยะในชั่วโมงเร่งด่วนในบางพื้นที่ทำให้การจราจรติดขัดแล้ว ความเป็นระเบียบเรียบร้อยบริเวณทางเท้าในยุคที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ถามว่าโดยรวมแล้วประทับใจหรือเปล่า

หรือไม่ก็ลองตอบมาสักเรื่องสิว่า ผลงานของเขาที่โดดเด่นจับต้องได้มีอะไรบ้าง เน้นเฉพาะที่เป็นรูปธรรม ซึ่งบางครั้งหากจะมองไปถึงอนาคตมันก็ต้องพิจารณาต่อเนื่องมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มันถึงจะได้มองเห็นแนวโน้มข้างหน้า

ถามว่า แล้วอย่างนี้จะเห็นมหานครแห่งความสุข มหานครแห่งความปลอดภัย อย่างนั้นหรือ

นั่นเป็นข้อมูลและความจริงที่เห็นระหว่างผู้สมัครจากสองพรรคการเมืองใหญ่ที่เสนอตัวแบบบังคับให้คนกรุงเทพฯต้องเลือก ไม่ว่าจะให้เลือกแบบไร้รอยต่อ หรือขายฝันมหานครแห่งความสุข รวมไปถึงกระแสบีบรัดอารมณ์ประเภท “ไม่เลือกเราเขามาแน่” บังคับให้ต้องเลือก

สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ ทำไมคนกรุงเทพฯ ต้องถูกขีดเส้นบังคับให้มีทางเลือกอยู่แค่นี้ ในเมื่อมองดูแล้วมันไม่มีความหวังทั้งคู่ ขณะเดียวกัน ทำไมคนกรุงเทพฯ ไม่มีความกล้าหาญ เป็นช่องทางฝ่าออกไปจากข้อจำกัดดังกล่าว ลองมองหาผู้สมัครรายอื่นที่ “เข้าท่า” อีกหลายคน

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้สมัครอิสระ แต่เมื่อพิจารณาจากภูมิหลังและผลงานหลายคนแล้วรับรองว่าสู้ได้ และเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด เท่าที่เห็นในเบื้องต้นก็มี สุหฤท สยามวาลา นักธุรกิจ รวมไปถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ละคนที่ยกมาก็มีแนวคิดและประวัติการทำงานที่น่าสนใจก็น่าจะเป็นทางเลือกได้เหมือนกัน รวมทั้งคนอื่นๆ แทนที่จะจมปลัก อับจนอยู่แต่สองพรรคใหญ่อย่างที่เป็นอยู่ แต่ปัญหาก็คือคนกรุงเทพฯมีความกล้าหาญหรือเปล่าเท่านั้นเอง!!

กำลังโหลดความคิดเห็น