ผอ.เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ปชป. โอ่พรรคเต็มร้อยป้องกันแชมป์ผู้ว่าฯ กทม.ระดมสมาชิกกระจายทั่วพื้นที่ ยังไม่ประเมิน “สุขุมพันธุ์” นำหรือไม่ ยันไม่ประมาท แต่งง “พงศพัศ-ทักษิณ” มั่นใจอะไรถึงจะชนะได้ หวั่นรัฐใช้อำนาจนำพาสู้เป้า ด้าน ส.ส.กทม.ซัดแนวคิดนโยบายไร้รอยต่อเลือกข้างชัด ชี้สะท้อนทำงานกับคนละพวกไม่ได้
วันนี้ (20 ม.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงความพร้อมของพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งในวันจันทร์ที่ 21 ม.ค.จะเป็นวันรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่า ขอยืนยันว่าตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์พร้อมเต็มร้อย พร้อมช่วยกันรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โดยจะระดม ส.ส. ส.ก. ส.ข. และผู้ช่วยหาเสียง อาสาสมัครอีกประมาณ 500 คน ซึ่งทั้งหมดนี้จะกระจายลงไปทั่วทุกพื้นที่ กทม. ไปรณรงค์เชิญชวนประชาชนให้ช่วยสนับสนุน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยได้เน้นให้บุคลากรของพรรคทุกระดับยึดแนวทางนำข้อมูลนโยบายกระจายทั่วทั้งพื้นที่ เลือกคนดี คนสุจริต เป็นผู้ว่าฯ กทม. ตนเชื่อว่าหาประชาชนได้รับแนวนโยบายแนวคิด และความตั้งใจของพรรคแล้วจะนำไปสู่การตัดสินใจได้ในวันที่ 3 มีนาคม ว่าจะสนับสนุนคนของพรรคประชาธิปัตย์ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.อีก 1 สมัย
นายองอาจ กล่าวต่อว่า ในขณะนี้มีนักวิเคราะห์ต่างๆ ประเมินว่า ม.ร.ว.สขุมพันธุ์มีคะแนนนำผู้สมัครอื่นๆ อยู่ในขณะนี้ ส่วนตนในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งยืนยันว่ายังไม่สามารถประเมินได้ว่าใครมีคะแนนนำ เพราะการหาเสียงเลือกตั้งเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ประมาทเนื่องจากผลการประเมินอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หนทางเดียวที่เราจะมีโอกาสกลับมาบริหาร กทม.อีกครั้งก็คือการทำงานหนักในของทุกภาคส่วน เพื่อที่จะให้พี่น้องชาว กทม.มีความมั่นใจในตัวผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์
นายองอาจ กล่าวว่า แต่สิ่งที่เรามีความวิตกกังวลเนื่องจากผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ก็คือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ที่ได้กล่าวไว้ในวันแรกที่เปิดตัวว่าจะไม่มีวันแพ้ จะมีแต่ชนะลูกเดียว และขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ออกมาพูดชัดเจนว่าจะสามารถเอาชนะได้ อะไรที่ทำให้สองคนนี้มั่นใจสูง ถึงกล้าประกาศต่อหน้าสาธารณะชนว่าจะสามารถจะชนะได้ ทั้งๆ ที่จะชนะหรือแพ้ตัวตัดสินอยู่ที่ประชาชนเท่านั้น จึงวิตกกังวลว่ารัฐบาลมีอำนาจรัฐอยู่ในมือในการกรุยทางไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในครั้งนี้ อย่างไรก็ดี ตนหวังว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้จะดำเนินไปอย่างสุจริต และเที่ยงธรรมโดยไม่ใช้อำนาจโดยมิชอบแต่อย่างใด โดยในขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าจะมีการซื้อเสียงในการเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยทางพรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย และพร้อมที่จะช่วยกันรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งอย่างยุติธรรมและไม่ผิดกฎหมาย
ส่วนการหาเสียงในวันอังคารที่ 22 ม.ค.เวลา 07.00 น.นั้น นายองอาจกล่าวว่า ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์จะมาร่วมพิธีปล่อยขบวนรถที่จะออกไปประชาสัมพันธ์ให้กับพี่น้องประชาชนใน กทม.หลายจุดได้รับทราบ ถึงนโยบายแนวคิดของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากนั้นในเวลา 14.00น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์จะกลับมาที่พรรคเพื่อประชุมพูดคุยทำความเข้าใจกับ ส.ส.ทั่วประเทศจำนวน 160 คน เพื่อที่จะได้ให้ ส.ส.เหล่านี้นำแนวคิดออกไปเผยแพร่ให้แก่พี่น้องประชาชน กทม.ต่อไป โดยจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆต่อไปหลังจากนี้
ด้านนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบายหาเสียงไร้รอยต่อของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทยว่า เป็นการสะท้อนแนวคิดพรรคเพื่อไทยที่ส่งเสริมให้มีการเลือกข้างอย่างชัดเจน และยังสะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่สามารถทำงานกับใครก็ตามที่มีความเห็นแตกต่างกับพวกตัวเองคิดได้ ซึ่งแนวคิดเรื่องการเลือกข้างของพรรคเพื่อไทยไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะก่อนหน้านี้มีการส่งเสริมพฤติกรรมและความคิดการเรื่องระบบการบริหารราชการรวมถึงระบบการตรวจสอบที่ผิดให้ ส.ส.รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นการทำรายระบบและทัศนะคติที่ดีทางการเมือง เพราะหน้าที่ของ ส.ส.ที่แท้จริงคือการตรวจสอบการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหาร แต่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำมาตลอดครึ่งปีหลังเห็นชัดว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ตรวจสอบรัฐบาล พรรคเพื่อไทยก็จะเข้าไปตรวจสอบส่วนงานที่พรรคประชาธิปัตย์ทำอยู่ นอกจากนั้นยังสะท้อนแนวคิดการบริหารความขัดแย้ง หรือความแตกต่างไม่ได้ เพราะหากวันนี้พรรคเพื่อไทยยังยืนยันว่าหากได้ผู้ว่าฯ กทม.ที่มาจากพรรคอื่นจะเกิดปัญหาการทำงานในอนาคต ก็สะท้อนว่าไม่สามารถบริหารความแตกต่างได้ ทั้งที่การบริหารท้องถิ่น หรือในระดับประเทศสิ่งที่รัฐบาลควรทำอย่างยิ่งคือการบริหารความแตกต่าง
“หากยังมีการเรียกร้องการทำงานแบบไร้รอยต่อ ก็เป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะก้าวไปทำเรื่องที่ใหญ่กว่า อย่างการทำเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองได้ ผมอยากเรียกร้องพรรคเพื่อไทยหากต้องการเริ่มต้นนโยบายบริหารแบบไร้รอยต่อควรไปเริ่มต้นที่พรรคตัวเองก่อน ทั้งเรื่องรอยต่อของกลุ่มกทม.และกลุ่มอื่นภายในพรรค หรือเรื่องการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมให้กับคนเสื้อแดง ที่มีรอยต่อในพรรคเพื่อไทยอยู่ ทั้งเรียบลงในส่วนของคนที่ได้เป็นรัฐมนตรี และจะปริแตกในส่วนของคนที่ผิดหวังในตำแหน่งรัฐมนตรีและแกนนำที่เห็นว่ามวลชนยังติดคุกอยู่ ทั้งนี้ หากยังมีรอยต่อเหล่านี้อยู่ในพรรค ผมคิดว่าเป็นเรื่องอยากที่จะบริหารรอยต่อระหว่างองค์กรท้องถิ่นกับภาครัฐ หรือรอยต่อระหว่างประชาชนกับภาคการเมือง และท้ายที่สุดรอยต่อเหล่านั้นอาจกลายเป็นรอยร้าวหากพรรคเพื่อไทยยังห่วงเรื่องการเมือง มากกว่าการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง” นายณัฏฐ์กล่าว