หน.ปชป.นำทีมลุยสวนลุมฯ ช่วย “คุณชาย” หาเสียง ชูจุดยืนเพื่อ กทม.ปัดทะเลาะตอบ เผยติดภารกิจวันรับสมัครจึงงดร่วม ยกแก้จราจร ป้องน้ำท่วมมัดใจคน กทม. พร้อมดูการศึกษา สธ. ยาเสพติดตาม มั่นแข่งขันสูงแต่ไร้ปัญหา หากมีน้ำใจแข่งแบบสร้างสรรค์ แย้มปราศรัย 25 ม.ค. ย้ำ กทม.อิสระ ไม่จำเป็นต้องยึดแต่ รบ. เย้ยไม่งั้นจะเลือกตั้งเพื่ออะไร ไร้กังวลนโยบาย พท. ย้อนอดีตเครื่องพิสูจน์ ตอก “แม้ว” บ้าอำนาจ จี้ กกต.ลงมาดูเอง หวั่นรัฐเล่นไม่ซื่อ ชี้ทีมบริหารต้องเคลียร์คดี ป.ป.ช. “มือปราบหูดำ” อาจนั่งที่ปรึกษา
วันนี้ (20 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลงพื้นที่ช่วย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคประชาธิปัตย์ หาเสียงบริเวณสวนลุมพินี โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงเกี่ยวกับบรรยากาศการชิงชัยผู้ว่าฯ กทม.ก่อนถึงวันสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 21 ม.ค.ว่า ตนได้สนับสนุนการณรงค์หาเสียงให้กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนที่สวนลุมพินีเช่นเดียวกับที่อื่น ซึ่งในการสมัครรับเลือกตั้งนั้นตนจะไม่ได้เดินทางไปด้วยเพราะติดภารกิจที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นนัดหมายล่วงหน้านานแล้ว จึงไม่มีโอกาสไปให้กำลังใจ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ในวันดังกล่าว จึงขอแจ้งให้ประชาชนทราบจะได้ไม่ตกใจว่าหายไปไหน
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหารือความขัดแย้งกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์แต่อย่างใด และเชื่อว่าการแข่งขันจะเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของนโยบายที่พรรคจะพยายามเปิดนโยบายหลักและลงรายละเอียดในแต่ละเรื่อง ทั้งเรื่องการขนส่งมวลชน การป้องกันภัยพิบัติ การจราจร ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นปัญหาที่พี่น้องชาว กทม.มีความคาดหวังมากที่สุด ขณะเดียวกัน งานด้านสังคม กทม.ภายใต้การทำงานของประชาธิปัตย์ก็เน้นเป็นพิเศษทั้งการศึกษาและสาธารณสุข ความปลอดภัยรวมถึงยาเสพติด โดยจะมีการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องทุกวันเพื่อให้สัมพันธ์กับการเปิดตัวนโยบายด้วย
ส่วนที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประเมินว่าจะมีการแข่งขันกันค่อนข้างเข้มข้นระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การแข่งขันที่เข้มข้นไม่จำเป็นต้องเป็นการแข่งขันที่มีปัญหา เพราะหากผู้สมัครทุกรายแข่งขันกันอย่างมีน้ำใจเป็นนักกีฬาก็ไม่มีปัญหา จึงขอเรียกร้องไปยังผู้สมัครทุกคน ทุกพรรครวมถึงผู้สมัครอิสระให้แข่งขันกันอย่างสร้างสรรค์ ครั้งที่แล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้รับเลือกตั้งไม่มีการร้องเรียนเลย จึงอยากให้การเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนกับคราวที่แล้วซึ่งเป็นการหาเสียงที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แม้ว่าการแข่งขันครั้งนี้จะมีความเข้มข้นแต่ก็ขอให้อยู่ภายใต้กติกา โดยตนยืนยันแทน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์และพรรคได้ว่าเรายึดแนวทางในการนำเสนอนโยบายเป็นหลัก เดินเข้าหาประชาชน และจะมีการปราศรัยในวันศุกร์ที่ 25 ม.ค.นี้
“การสมัครในวันที่ 21 ม.ค.ก็ขอให้ประชาชนไปให้กำลังใจกันมากๆ คิดว่าหากมีการแข่งขันอย่างคึกคักเข้มข้นก็จะทำให้ประชาชนตื่นตัวออกมาใช้สิทธิกันมาก ทั้งนี้ไม่ได้ระบุว่าอยากจะได้เบอร์อะไรเป็นพิเศษ แต่ยึดหลักเอาเบอร์ที่ชนะซึ่งจะทราบว่าเบอร์ไหนชนะได้ในวันพรุ่งนี้” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อธิบายคำขวัญไร้รอยต่อเพื่อเชื่อมการทำงานของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคกับรัฐบาลว่า เป็นสิทธิ์ในการรณรงค์หาเสียง แต่ก็ต้องระมัดระวังอย่าใช้อำนาจรัฐในการหาเสียงเพราะจะผิดกฎหมาย โดย กกต.จะต้องเป็นผู้ดูแล ทั้งนี้ยืนยันว่า กทม.เป็นท้องถิ่นใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และมีการกระจายอำนาจจึงต้องมีความเป็นอิสระซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องมีความขัดแย้ง แต่ความเป็นอิสระจะช่วยเป็นหลักประกันให้กับคนในทุกชุมชนและท้องถิ่นว่า เขาสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้
“การที่พยายามจะบอกว่าท้องถิ่นต้องอยู่พรรคเดียวกับรัฐบาลก็เท่ากับไม่ยอมรับการกระจายอำนาจ เพราะไม่เช่นนั้นจะมีการเลือกตั้งทำไมถ้าวัตถุประสงค์ของท้องถิ่นคือการทำงานให้กับรัฐบาลก็คงให้เป็นการแต่งตั้งไปแล้ว แต่นี่เป็นการเลือกโดยประชาชน” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่า 4 ปีที่ผ่านมา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่มีความขัดแย้งและวิกฤตภัยพิบัติ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ยืนบนความเป็นตัวของตัวเองในส่วน กทม.แต่ไม่ขัดแย้งกับคนที่ทำงานด้วย ไม่ว่าใครจะชวนทะเลาะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็ไม่ได้ไปทะเลาะด้วย แต่อะไรจะกระทบผลประโยชน์ของคนกรุงเทพฯ ก็ต้องยืนยัน เช่น ช่วงน้ำท่วมก็มีจุดยืนรักษาประโยชน์ กทม.เป็นหลัก
“หากวันนั้นไม่มีจุดยืนแต่ทำงานแบบไร้รอยต่อกับรัฐบาล กทม.ก็คงจมน้ำไปแล้ว” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ยังย้ำว่าผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ทุกคนย่อมทราบดีว่าต้องทำงานร่วมกับรัฐบาล แต่เรื่องใดที่เป็นอำนาจหน้าที่ของ กทม.ก็ต้องมีแนวคิดเป็นของตัวเอง ที่สำคัญคือต้องรักษาผลประโยชน์ของคน กทม.ได้ด้วย จึงไม่คิดว่าการนำประเด็นไร้รอยต่อมาเป็นจุดขายของพรรคเพื่อไทยจะทำให้คนกรุงเทพฯ เกิดความหวาดกลัวจนหันไปเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นผู้ว่าฯ กทม.
“ผมคิดว่าคน กทม.ทราบดีว่าเราเป็นท้องถิ่นที่มีการกระจายอำนาจ เลือกตั้งมาเกือบ 30 ปีแล้ว และที่ผ่านมา กทม.หลายยุคหลายสมัยก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องผู้ว่าฯ กทม.เป็นคนละพรรคกับรัฐบาลและไม่แปลกใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะแสดงความมั่นใจว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จะชนะการเลือกตั้ง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณคงมีความมั่นใจในอำนาจรัฐเพราะเป็นคนเชื่อเรื่องอำนาจ แต่ผมเชื่อในเรื่องอำนาจของผู้เลือกตั้งมากกว่าที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ และผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนใน กทม.จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจะไม่ยอมรับการใช้อำนาจที่เป็นการเอารัดเอาเปรียบ หรือไม่ถูกต้อง” นายอภิสิทธิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.จะเป็นอำนาจของ กกต.กทม. แต่เห็นว่า กกต.ใหญ่ก็มีหน้าที่ต้องติดตามด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเป็นเรื่องการแบ่งความรับผิดชอบในแง่การปฏิบัติ โดย กกต.ยังมีหน้าที่ต้องดูแลภาพรวมด้วย
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวขอบคุณประชาชนที่ให้กำลังใจจำนวนมาก ซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็ต้องทำงานหนักขึ้นเพราะทำงานมา 4 ปี ก็ต้องปรับปรุง เร่งรัด ต่อยอดด้วย แต่ในภาพรวมก็ได้รับการตอบรับที่ดี จึงไม่คิดว่าประชาชนจะเบื่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพราะทุกพื้นที่ที่ไปหาเสียงก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนมาโดยตลอด ส่วนทีมรองผู้ว่าฯ กทม.ในขณะนี้ยังไม่ได้มีการหารือกันในรายละเอียด เพราะอยู่ในช่วงที่มีคนสนใจอยากช่วยสนับสนุนการทำงานด้านต่างๆ และคนที่มาพูดคุยทาบทามเพิ่มเติมในการช่วยกันบริหาร ซึ่งทีมบริหารมีตั้งแต่รองผู้ว่าฯ กทม. เลขาฯ ผู้ช่วยเลขาฯ โฆษก และที่ปรึกษา ซึ่งมีจำนวนคนค่อนข้างมาก แต่เมื่อเริ่มรณรงค์ไประยะหนึ่งแล้วจะจัดทีมเป็นกลุ่มงานด้านการศึกษา สาธารณสุข ในขั้นสุดท้ายจึงมาพิจารณาในเรื่องการจัดสรรคนลงตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหลักในการวางตัวผู้บริหารจะยึดตามบรรทัดฐานของพรรคที่ดำเนินการมาแล้ว คือคนที่เคยถูก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดมาแล้วก็ต้องให้คดีจบเสียก่อนจึงจะเข้ามาเป็นผู้บริหารได้
ผุ้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรอง ผบช.น. ซึ่งมาช่วยรณรงค์หาเสียงแต่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดมาก่อนหน้านี้ก็ไม่อยู่ในข่ายที่จะเป็นรองผู้ว่าฯ กทม.ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าตนไม่ทราบสถานะปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร แต่มาตรฐานพรรคต้องเหมือนเดิม ในขณะนี้พล.ต.ต.วิชัยก็มาช่วยสนับสนุนอยู่แต่แนวทางของพรรคชัดเจนว่า ถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลจะไม่อยู่ในตำแหน่งบริหารที่มีอำนาจการตัดสินใจเช่น ผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ เลขาฯ แต่ในส่วนของที่ปรึกษาไม่ถือว่าเป็นตำแหน่งบริหารเพราะที่ผ่านมามีการแบ่งเส้นตรงนี้อยู่ เนื่องจากที่ปรึกษาไม่มีอำนาจที่จะตัดสินใจเป็นเพียงการเสนอความเห็นต่อผู้บริหารเท่านั้น