นับว่า เป็นความอับจนอย่างยิ่ง ของพรรคเพื่อไทย ที่ควานหาทั่วทั้งพรรคแล้ว ไม่สามารถหาผู้ที่มีความเหมาะสมไปลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แข่งกับ ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ บริพัตร ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ ต้องไปคว้าเอาคนนอกพรรค อย่าง พลตำรวจเอกพงศพัศ พงเจริญ มาลงแข่งขันในนาทีสุดท้าย
รู้ทั้งรู้ว่า การชิงชัยตำแหน่ง ผู้ว่า กทม.ครั้งนี้ ใครก็ตามที่ พรรคเพื่อไทยส่งสมัคร มีโอกาสที่จะพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งจากพรรคประชาธิปัตย์ แบบขาดลอยมากกว่า 3 ครั้งที่ผ่านมา เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ มีปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของคนกรุงเทพ มากกว่า เรื่องตัวบุคคล ผลงาน และนโยบาย คือ การแสดงจุดยืนทางการเมืองว่า จะยอมให้พรรคที่สนับสนุนการเผาบ้านเผาเมือง มีอำนาจบริหาร กทม.หรือไม่ แต่พลตำรวจเอก พงศพัศ ก็ยินยอมพร้อมใจที่จะถอดหน้ากาก เป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทย วัดประชามติคนกรุง
เพราะคำนวณแล้วว่า การตัดสินใจครั้งนี้ มีแต่ได้ไม่มีเสีย สมมติว่า พลิกล็อคชนะเลือกตั้งขึ้นมา ก็จะเป็นการแจ้งเกิดทางการเมืองอย่างก้าวกระโดด เป็นบันไดขั้นแรก ที่จะเป็นทางลัดนำไปสู่อำนาจวาสนาอย่างรวดเร็ว หากแพ้ ก็สามารถกลับเข้ารับราชการ กลับไปยึดเก้าอี้เลขาธิกา รป.ป.ส. และ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยอนาคตที่ไปไกลถึงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยไม่ยากเย็น เพราะได้แสดงตนให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ยอม เป็น ขี้ข้าทักษิณ
พลตำรวจเอกพงสพัศ เติบโตในชีวิตราชการมาก็ด้วยพฤติกรรมเข้าหา รับใช้ผู้มีอำนาจ บวกกับความสามารถในการประชาสัมพันธ์ตัวเอง รู้จักจังหวะเวลาที่จะแสดงบทพ่อพระ จนทำให้ มีภาพข่าวขึ้นหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของประเทศ ได้อย่างสม่ำเสมอ
แต่สำหรับผลงานด้านการพิทักษ์สันติราษฎร์ อันแป็นงานในหน้าที่ของตำรวจแล้ว ตลอดระยะเวลา 20 ปีของการรับราชการ มีผลงานที่พลตำรวจเอกพงศพัศ สามารถยกมาอวดอ้างได้ชิ้นเดียวคือ โครงการฝากบ้านกับตำรวจ ซึ่งเป็นโครงการ สร้างภาพ สร้างชื่อให้กับตัวเอง มีแต่ได้ ไม่มีเสีย ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย
ทันทีที่ พรรคเพือ่ไทย เปิดตัว พลตำรวจเอกพงศพัศ ลงชิงชัยตำแหน่งผู้ว่ กทม. อย่างเป็นทางการ เรื่องเก่าในอดีต ที่เขาไม่อยากพูดถึง และไม่ต้องการให้เป็นที่รับรู้ ก็ถูกเผยแพร่ไปทั่ว ในช่องทางการสื่อสารแบบโซเชียลมีเดีย แน่นอนว่า จุดประสงค์ของการเผยแพร่ คือ การดิสเครดิตทางการเมือง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเรื่องจริง ที่แสดงให้เห็นธาตุแท้ของ พลตำรวจเอก พงศพัศ
เรื่อง ขโมยวิทยุ ในร้าน จนถูกจับเข้าคุก ในระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่อเมริกา และเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนชื่อเสียใหม่าจากชื่อเดิม ไพรัช แม้จะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า เรื่องราวเป็นอย่างไร แต่ พลตำรวจเอกพงศพัศก็ไม่กล้าปฏิเสธว่าไม่จริง
อีกเรื่องหนึ่ง เขาไม่ใช่คู่กรณี เป็นเรื่องของ นาย ที่มีความต้องการ และเขาพยายามสนอ งโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เหมะสม คิดแต่ว่า ต้องเอาให้ได้ เพราะนายจะเอา เรื่องนี้ มีข้อเท็จจริง ชัดเจน เพราะเป็นคดีความที่สู้กันถึงศาลฎีกา และปรากฎอยู่ในคำให้การของพยาน ที่บรรยายพฤติกรรมของ พลตำรวจโทพงศพัศ ( ยศในขณะนั้น) อย่างละเอียดลออ
คดี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า คดี บิ๊กขี้หลี สืบเนื่องมาจาก หนังสือพิมพ์หลายฉบับ รวมทั้ง หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน รายงานข่าวว่า พลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีพฤติกรรมลวนลามผู้ประกาศข่าว และนักข่าว สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 นางสาวเกวลิน กังวาน ธนวัฒน์ ระหว่างการประชุม ครม. สัญจร ที่จังหวัดอุบลราชธานี และภูเก็ต เมื่อเดือนพฤษภาคม 2546
พลตำรวจเอกสันต์ แทนที่จะอับอาย และสำนึกผิด ในพฤติกรรมของตน กลับฟ้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และหนังสือพิมพ์อื่นๆ ที่เสนอข่าวนี้ รวมทั้งนักพัฒนาเอกชน และพลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล ซึ่งแสดงความเห็นในเรื่องนี้ รวม 17 ราย เป็นจำเลยในคดีแพ่ง เรียกค่าเสียหายถึง 2,500 ล้าน และยังฟ้อง หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ในคดีอาญาด้วย
ฝ่ายจำเลยอ้าง นางสาวเกวลิน เป็นพยาน ซึ่งให้การกับศาล ตอนหนี่งว่า
ที่จังหวัดอุบลราชธานี ข้าฯ พบพลตำรวจโท พงศพัศ ช่วงที่คณะรัฐมนตรีเดินทางไปถึงโรงแรมลายทอง โดยพลตำรวจโท พงศพัศ เรียกข้าฯไปพบบอกว่า ให้ไปหานาย ซึ่งข้าฯ ก็ทราบว่า นายที่ให้ไปหาก็คือโจทย์ ไม่ได้แจ้งเหตุผล บอกเพียงว่า นายอยากพบ
ขณะที่พลตำรวจโท พงศพัศ บอกข้าฯ ข้าฯ ยืนอยู่บริเวณหน้าห้องผู้สื่อข่าวใกล้ๆ กับห้องรักษาความปลอดภัย ขณะนั้นข้าฯ ใส่สูทแต่งตัวพร้อมออกรายการสด
ข้าฯ ฟังแล้วยังคงยืนเฉยๆ พลตำรวจโทพงศพัศ จึงเข้ามาจับแขนดึงข้าฯไป แต่ข้าฯก็ไม่ยอมไป พลตำรวจโท พงศพัศ ก็มิได้พูดอะไร จังหวะนั้นมีผู้สื่อข่าวอาวุโสคือ นางยุวดี ธัญญศิริ จำเลยที่ 2 ตะโกนขึ้นว่า ทำอะไรน้องเขา ไปยุ่งอะไรเค้า พลตำรวจโท พงศพัศ จึงปล่อยมือจากการจับแขนข้าฯ
ขณะพักอยู่โรงแรมลายทอง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งข้าฯ อยู่ในห้องพัก เวลาประมาณ 22 นาฬิกา มีคนนำจดหมายไปสอดไว้บริเวณช่องว่างใต้ประตู จ่าหน้าซองเขียนชื่อจ้าฯ ว่า เกวลิน ข้าฯ เอาจดหมายฉบับดังกล่าวมาดู ปรากฏว่าไม่ปิดผนึก แกะออกดูภายในจดหมายเขียนข้อความว่า
พรุ่งนี้เวลา 8.30 นาฬิกา ให้ไปขึ้นเครื่องบินตำรวจ ลงชื่อ พลตำรวจตรีสุรสิทธิ สังขพงศ์
ที่จังหวัดภูเก็ต ข้าฯมีเวลาว่างก่อนทำหน้าที่รายงานข่าวประมาณ 2 ชั่วโมง ดังนั้น จึงใช้เวลาดังกล่าวในการไปซื้อของแห้งประเภทน้ำพริกกลับบ้าน ซึ่งบริเวณชั้นล่างของโรงแรมมีร้านอาหารอยู่
ข้าฯ สั่งรายการอาหารที่ต้องการแล้ว ระหว่างรอการจัดอาหาร ข้าฯ ไปนั่งรอที่โต๊ะภายในร้านอาหาร ระหว่างนั้นพลตำรวจโทพงศพัศ มาเรียกข้าฯ โดยพูดขึ้นว่า น้องๆ ขอเชิญไปพบ ผบ.ตร.หน่อย ข้าฯ ถามว่า มีอะไรคะ พลตำรวจโทพงศพัศ บอกว่า ท่านอยากถามอะไรหน่อย
ข้าฯเดินตาม พลตำรวจโทพงศพัศ ไปที่ห้องๆหนึ่ง ซึ่งจัดไว้เป็นสัดส่วน มีนายตำรวจอยู่จำนวนหลายคนรวมทั้งโจทก์ เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว มีตำรวจเชิญให้ข้าฯ ไปนั่ง แต่จำไม่ได้ว่าคนที่เชิญเป็นใคร
ขณะนั้นโจทก์นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะคนเดียว ข้าฯถูกเรียกให้ไปนั่งอยู่ด้านข้าง ฝั่งซ้ายมือของโจทก์ เมื่อข้าฯนั่งแล้ว โจทก์ถามขึ้นว่า มาจากไหน ข้าฯตอบว่า มาจากช่อง 9 โจทก์ถามว่า ทำไมไม่เคยเห็นหน้า ข้าฯ ตอบว่า ตามปกติข้าฯ ไม่ใช่นักข่าวการเมือง แต่วันนี้ข้าฯมารายงานสด โจทก์ถามข้าฯ ต่อว่าชื่ออะไร ข้าฯ ตอบว่า ชื่อเกวลิน กังวานธนวัต จากนั้นโจทก์ถามข้าฯ ว่า จบการศึกษาจากที่ไหน ถามส่วนสูงว่าสูงเท่าไร ถามว่าทำไมตัดผมสั้น ถามต่อว่ามาทำข่าวอย่างไร ตอบว่ามากับคณะท่านนายกรัฐมนตรี โจทก์ถามว่า ตอนกลับจะกลับอย่างไร ข้าฯ ตอบว่า กลับกับคณะนายกรัฐมนตรี โจทก์ถามว่า ไม่สนขึ้นเครื่องบินตำรวจหรือ จังหวะนั้น มีตำรวจคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาว่า แต่มีที่ว่างที่เดียวนะ จากนั้นตำรวจที่อยู่ในห้องก็หัวเราะกัน ข้าฯ ตอบไปว่า ไม่เป็นไรคะ กลับกับทีมข่าว ช่วงนั้นข้าฯ รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ และไม่อยากที่จะคุยต่อไปแล้ว จึงบอกกับโจทก์ว่า เดี๋ยวขอตัวขึ้นไปทำงาน โจทก์ก็แสดงท่าทางยินยอมให้ไป ข้าฯ จึงเดินออกจากห้องไปโดยไม่ได้กลับไปเอาเอาอาหารที่สั่งไว้ ตั้งใจว่าทิ้งระยะเวลาไว้สักครู่ให้คณะของตำรวจไปเสียก่อน จึงค่อยกลับไปเอา
ข้าฯ ออกจากห้องที่ไปพบโจทก์แล้ว ก็ไปอยู่ที่จุดซึ่งต้องรายงานข่าว ประมาณครึ่งชั่วโมง จึงชวนนางสาวปิยะกมล สันทัดการ เพื่อนนักข่าวลงไปเอาของที่สั่งไว้ นางสาวปิยะกมล ถามข้าฯว่า ทำไมจึงต้องชวนลงไปด้วย ไปคนเดียวไม่ได้หรือ ข้าฯบอกว่าไม่กล้าลงไปคนเดียว จากนั้นข้าฯ จึงเล่าเหตุการณ์ตามที่เบิกความมาข้างต้นให้นางสาวปิยะกมลฟัง นางสาวปิยะกมลจึงลงไปเป็นเพื่อนข้าฯ ผ่านห้องที่ข้าฯไปพบโจทก์ก่อนหกน้านั้น เห็นโจทก์ยังอยู่ในห้องดังกล่าว
ข้าฯไปรับอาหารที่สั่งไว้ ขณะจะจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ พลตำรวจโทพงศพัศ ไปหาข้าฯ ชอเบอร์โทรศัพท์ข้าฯ จึงให้เบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน ซึ่งเป็นเบอร์กลางไป ตอนกลับข้าฯ เดินผ่านห้องที่โจทก์นั่งอยู่ โจทก์เรียกข้าจากในห้องว่า อ้าวจะไปไหน ข้าฯบอกว่าจะกลับแล้วระหว่างนั้นโจทก์พูดกับข้าฯ เป็นลักษณะประวิงเวลาที่จะชวนคุยต่อ แต่ข้าฯ จำรายละเอียดไม่ได้ ข้าฯ พูดตัดบทแล้วรีบกลับไป
นีคดีแพ่ง ศาลแพ่ง กรุงเทพใต้พิพากษายกฟ้อง โจทก์ อุทธรณ์ ศาลอุทธรร์พิพากษายืน โจทก์ ฏีกา
วันที่ 22 เมษายน 2553 ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง โดยระบุในคำพิพากษาว่า ข้อความที่จำเลยที่ 3 ,? 4 ( หนังสือพิมพ์ข่าวสด ) และ จำเลยที่ 9 ,10 ( หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ) นำมาลงตีพิมพ์ ซึ่งเป็นที่มาของคดีนี้นั้น โจทก์มีเพียง พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ กับพวก ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ มาเบิกความว่า โจทก์ไม่ได้มีพฤติการณ์ลวนลาม น.ส.เกวลิน กังวานธนวัต ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ตามที่ปรากฏเป็นข่าว
ส่วนจำเลยมี น.ส.เกวลิน ผู้ที่ปรากฏเป็นข่าวว่าถูกโจทก์แสดงพฤติกรรมในทำนองชู้สาวมาเบิกความ ร่วมกับพยานที่อยู่ในเหตุการณ์อีกหลายปากซึ่งล้วนรับรู้เหตุการณ์มาด้วยตัวเอง ทำให้น่าเชื่อว่าเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยขณะเกิดเหตุโจทก์ ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ถือเป็นแหล่งข่าวสำคัญของผู้มีอาชีพนักข่าว หากไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้การปรักปรำโจทก์ ที่โจทก์อ้างว่า เรียก น.ส.เกวลินมาเพื่อตักเตือนเรื่องไม่ติดบัตรประจำตัวนั้น โจทก์สามารถสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตักเตือนได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกมาพบโจทก์โดยตรง กรณีจึงฟังได้ว่าโจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อ น.ส.เกวลิน จริง การที่จำเลยจำเลยที่ 3 , 4 , 9 และ 10 ในฐานะสื่อมวลชนนำเสนอข้อเท็จจริงรายงานสารธารณชน จึงไม่ได้เป็นการกระทำละเมิดโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองศาลพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ส่วนคดีอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ยกฟ้องเช่นกัน โดยอ้างอิงคำเบิกความของ นส. เกวลินในศาลแพ่งด้วย โจทก์คือ พนักงานอัยการ และพลตำรวจเอกสันต์ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ยืน ขณะนี้คดีอยู่ในศาลฏีกา