“สมจิตต์” ถอดดีเอ็นเอความเหมือนพี่น้องตระกูลชินฯ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” พบขาดธรรมาภิบาลไร้ความละอายต่อบาป ทั้งละเมิดสิทธิมนุษยชน อยู่เหนือกฎหมาย ทำลายองค์กรอิสระ เตือนบ้านเมืองดิ่งเหว ถ้าประเทศได้รัฐบาลที่ไม่ศรัทธาในความดี ไม่ละอายต่อการทำชั่ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 17 ม.ค. น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสายการเมือง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวสมจิตต์ นวเครือสุนทร ภายใต้หัวข้อ “พี่น้องพอกัน ขาดธรรมาภิบาลไร้ความละอายต่อบาป” ดังนี้
“ในขณะที่ละคร “เหนือเมฆ” ซึ่งมีเนื้อหาสะท้อนให้ประชาชนศรัทธาและกล้าที่จะทำความดีถูกถอดกลางอากาศอย่างเป็นปริศนาในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนเกิดปรากฏการณ์ทวงคืนเหนือเมฆ 2 ตามมาในหลากหลายรูปแบบ ...เรากลับได้เห็นนักโทษได้ออกทีวีรัฐใช้ข้ออ้างเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาฟอกตัวทางการเมืองให้กับตัวเอง ผ่านรายการชกมวยถ้วยพระราชทานปลอม โดยที่ทุกหน่วยงานช่วยกันการันตีว่าทำได้ ไม่กระทบความมั่นคงใดๆ ทั้งสิ้น แต่ “เหนือเมฆ 2” ที่สอนให้คนเชื่อมั่นว่าความดีจะชนะทุกสิ่ง ถูกถอดออกไม่ให้นำเสนอเพราะมีเนื้อหาเป็นภัยคุกคามต่อการปกครองของประเทศ จนสื่อต่างประเทศอย่าง อัลจาซีร่า ถึงกับวิจารณ์ว่าเป็นการตัดสินใจแบบเผด็จการไม่ใช่นักประชาธิปไตย
จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่คุณงามความดีจะไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยสำหรับรัฐบาลชุดนี้ เพราะตลอดการบริหารปีเศษที่ผ่านมาก็สะท้อนชัดว่า “ขาดธรรมาภิบาลไร้ความละอายต่อบาป” ไม่แตกต่างอะไรจากยุคที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ โดยในที่นี้ขอยกตัวอย่าง 10 เรื่องความเหมือนระหว่างพี่น้องตระกูลชินวัตร เกี่ยวกับพฤติกรรมขาดธรรมาภิบาลไร้ความละอายต่อบาป ดังนี้
1.) ละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่เคารพสิทธิประชาชน
ยุคทักษิณ ปราบปรามประชาชนมือเปล่าด้วยความรุนแรง เช่น กรณีตากใบ และโรงแยกก๊าซจะนะ
ยุคยิ่งลักษณ์ ปราบปรามประชาชนมือเปล่าด้วยความรุนแรง จากกรณีการชุมนุมของกลุ่มเสธ.อ้ายด้วยการยิงแก๊สน้ำตาหมดอายุ และทำร้ายสื่อมวลชนหลายคนอย่างไร้เหตุผล
2.) กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย พรรคพวกมาก่อนหลักการ
ยุคทักษิณ ใช้มวลชนกดดันองค์กรอิสระ เตรียมจัดม็อบหนุนชนม็อบต้านรัฐบาล เล่นพรรคเล่นพวกไม่สนกติกา สร้างความแตกแยก
ยุคยิ่งลักษณ์ ใช้มวลชนกดดันองค์กรอิสระ พร้อมจัดม็อบหนุนชนม็อบต้านรัฐบาล เล่นพรรคเล่นพวกไม่สนกติกา สร้างความแตกแยก
3.) ทำลายองค์กรอิสระ กวาดล้างอำนาจตุลาการ
ยุคทักษิณ แทรกแซงองค์กรอิสระตั้งแต่กระบวนการสรรหาด้วยการบล็อกโหวต โดยสามารถควบคุม กกต.และ ป.ป.ช.ได้ในยุคหนึ่งก่อนที่จะถูกรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย. 49
ยุคยิ่งลักษณ์ เตรียมรื้อ รธน.ยุบองค์กรอิสระ ปรับโครงสร้างตุลาการ รวบอำนาจมาไว้ที่ฝ่ายบริหาร อ้างว่าต้องยึดโยงกับประชาชนผ่านเสียงข้างมากในสภา
4.) เมินแก้ทุจริต คิดนโยบายเพื่อโกง
ยุคทักษิณ เป็นยุคแรกของการคอร์รัปชันเชิงนโยบายที่แพร่ขยายอย่างรวดเร็ว จากการกำหนดนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเอง อาทิ การแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตร
ยุคยิ่งลักษณ์ สานต่อการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ออกแบบนโยบายเปิดช่องทุจริต เช่น โครงการรับจำนำข้าว โดยไม่สนใจความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง
5.) ไม่เคารพสภา ไร้หัวใจประชาธิปไตย
ยุคทักษิณ เห็นประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจ ตลอดการบริหารประเทศเข้าสภาเพียงแค่ 12 ครั้ง ไม่เคยตอบกระทู้ฝ่ายค้าน ไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะรวบรวมเสียงไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยการควบรวมพรรคเล็ก
ยุคยิ่งลักษณ์ ไม่มีความเข้าใจต่อระบอบประชาธิปไตยแต่ชอบอ้างระบบรัฐสภา ทั้งที่ไม่เคยให้ความเคารพต่อกระบวนการตรวจสอบ หนีการตอบกระทู้ในสภา ใช้สภาเป็นกลไกออกกฎหมายมุ่งล้างความผิดให้พี่ชายนักโทษ โดยไม่สนว่าจะขัดหลักนิติรัฐ นิติธรรม
6.) เอาประชาชนเป็นข้ออ้างแต่ทุกอย่างทำเพื่อตัวเอง
ยุคทักษิณ ออกโครงการประชานิยมมากมายที่สร้างภาระให้กับประเทศสร้างหนี้ให้กับประชาชน เพื่อคะแนนนิยมทางการเมือง โดยใช้เงินภาษีประชาชนมาซื้ออำนาจให้กับตัวเอง
ยุคยิ่งลักษณ์ สานต่อโครงการประชานิยมพาชาติล่มสลาย ไม่สนผลกระทบต่อชาติ มุ่งแต่คะแนนนิยมทางการเมือง
7.) สร้างเครือข่ายการเมืองหนุนรัฐตำรวจสยายปีกเครือญาติ
ยุคทักษิณ ตั้งตำรวจเป็นใหญ่ในหลายหน่วยงานเพื่อเป็นมือเป็นไม้ อาทิ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ไปเป็นผู้อำนวยการกองสลากกินแบ่งรัฐบาล ตั้ง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็น ผบ.ทบ.
ยุคยิ่งลักษณ์ ตั้งตำรวจเป็นใหญ่ในหลายหน่วยงานเพื่อเป็นมือเป็นไม้ อาทิ พล.ต.ต.อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร อดีตนายตำรวจติดตาม ทักษิณ เป็น ผอ.กองสลากกินแบ่งรัฐบาล ตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็น ผบ.ตร. เด้ง ขรก.ดีอย่าง ถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาฯ สมช.ไปตบฝุ่น
8.) อุ้มคนทุจริตไม่คิดวางระบบปราบโกง
ยุคทักษิณ ปรับ ครม.หนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ไม่มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีที่ถูกครหาว่ามีปัญหาเรื่องการทุจริต
ยุคยิ่งลักษณ์ อุ้มคนทุจริตร่วมกันโกหกสีขาวเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวทั้งที่ประเทศชาติเสียหาย เกิดการทุจริตทุกขั้นตอน ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ป.ป.ช.เรื่องการเสนอราคากลาง
9.) ไม่รู้จักจริยธรรม สนใจแต่วัตถุนิยม
ยุคทักษิณ ประดิษฐ์วาทกรรม “บกพร่องโดยสุจริต” หลังถูกตรวจพบ “ซุกหุ้น” ก่อนจะวิ่งเต้นจนชนะคดีในศาลรัฐธรรมนูญ กระทั่งหลีกเลี่ยงการเสียภาษีจากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปซึ่งนายสุวรรณ วลัยเสถียร อดีต รมช.พาณิชย์ที่ปรึกษาด้านภาษียอมรับว่า “ได้รับมอบหมายแค่เรื่องกฎหมายไม่ได้ดูเรื่องจริยธรรม”
ยุคยิ่งลักษณ์ ถูกผู้ตรวจการแผ่นดินท้วงติงถึงการแต่งตั้งนางนลินี ทวีสิน และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็น รมต.ว่าไม่ได้คำนึงถึงจริยธรรมอย่างเพียงพอ นอกจากไม่เคารพแล้วยังส่งลิ่วล้อออกมาโจมตีผู้ตรวจการแผ่นดินด้วย
10.) โกหกรายวันใช้สื่อตบตาประชาชน
ยุคทักษิณ พูดจากลับไปกลับมาเชื่อถือไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องการวางมือทางการเมืองที่เคยประกาศเว้นวรรคให้ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการนายกฯ แต่เปลี่ยนใจกลับมาทำหน้าที่เอง ครอบงำสื่อปิดหู ปิดตาประชาชน สร้างภาพเศรษฐกิจเฟื่องฟูซุกหนี้ไว้ใต้พรม
ยุคยิ่งลักษณ์ โกหกรายวันไม่ต่างจากพี่ชาย ปากอ้างเคารพรัฐสภาแต่ไม่เคยเข้าสภา ไร้ความรู้ขาดความสนใจในการบริหารประเทศไม่รู้แม้กระทั่งน้ำมันเบนซินขึ้นราคา อ้างไม่ทำเพื่อพี่ชายแต่ใช้กลไกสภาเดินเครื่องเต็มที่ ลอยตัวหนีปัญหาทำเศรษฐกิจชาติซบ ส่งออกโคม่า หนี้เริ่มวิกฤตทั้งหนี้ประเทศและหนี้ประชาชน
บ้านเมืองดิ่งเหว ถ้าประเทศได้รัฐบาลที่ไม่ศรัทธาในความดี ไม่ละอายต่อการทำชั่ว”