นายกฯ ชี้ต้องลงพื้นที่เพิ่ม หลังโพลระบุเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ยังแพ้ประชาธิปัตย์ ชูยุทธศาสตร์ตอบโจทย์รายเขต แย้มนโยบายค่อยๆ โผล่ อ้างเหตุน้ำท่วมผู้บริหารคนละพรรคทำงานไม่สัมพันธ์กัน อ้างแก้จราจรได้ ยันใช้นอกเวลาราชการช่วยหาเสียง - ขอถกหน่วยงานความมั่นคงก่อนประชุม ครม.สัญจรชายแดนใต้จุดไหน ทำไขสือ “อำมาตย์เต้น” ชง พ.ร.ก.นิรโทษฯ ก่อนกรรเชียงชิ่งสื่อตามเคย
วันนี้ (17 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 11.45 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยทำผลสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. พบพรรคเพื่อไทยแพ้พรรคประชาธิปัตย์ใน 4 เขตพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯว่า ถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น ซึ่งพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้รับการไว้วางใจจากคนกรุงเทพฯ ในการลงผู้ว่าฯ ก็ต้องใช้เวลาในการลงพื้นที่ให้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคเพื่อไทย ก็ยืนยันว่าจะลงพื้นที่ร่วมกับตัวแทนของพรรค และต้องติดตามดูผลต่อไป และจะทำอย่างเต็มที่โดยจะใช้เวลาในช่วงการหาเสียงให้พี่น้องประชาชนได้พบกับผู้สมัคร และจะนำเสนอนโยบายให้มากที่สุด
เมื่อถามถึงยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยในการหาเสียง น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า หลักเราจะเน้นทำความเข้าใจในพื้นที่มากกว่า ว่าพื้นที่ กทม.มีปัญหาหรือมีความต้องการที่เร่งด่วนอะไร และตัวยุทธศาสตร์ในเชิงนโยบายจะเน้นการตอบโจทย์รายเขตมากกว่า เพราะ กทม.มีจำนวนประชากรมาก ดังนั้นการมองยุทธศาสตร์ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรก คือ ภาพรวมของ กทม.ที่ต้องทำงานควบคู่กับทางส่วนกลาง และส่วนที่สองจะต้องทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ เพราะหลายพื้นที่มีความต้องการไม่เหมือนกัน และมีปัญหาต่างกัน ฉะนั้นตรงนี้จะเน้นหลักการนำเสนอนโยบายรายพื้นที่ ซึ่งทางพรรคเตรียมที่จะออกนโยบายเร็วๆ นี้ โดยจะค่อยๆ ทยอยออก เบื้องต้นคงจะให้เวลาผู้สมัครก่อน ให้ผู้สมัครลงทำงานในพื้นที่ก่อนเพื่อให้แน่ใจว่านโยบายต่างๆ ตรงใจกับพี่น้องประชาชน
เมื่อถามว่าเคยมองหรือไม่ว่าสิ่งที่ชูหาเสียงในเรื่องการทำงานแบบไร้รอยต่อกับรัฐบาล ขณะที่ในอดีตที่ผ่านมาคน กทม.มักจะเลือกผู้สมัครจากพรรคที่มาคานอำนาจรัฐบาลมาบริหาร กทม. น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เป็นข้อที่เราได้รับฟังมาเหมือนกัน แต่ในส่วนของ กทม.มีข้อกฎหมายต่างๆ มีการกระจายอำนาจ ที่มีความเป็นอิสระอยู่แล้ว และมีสภา กทม.เป็นกลไกในการตรวจสอบ แต่การทำงานนี้เราพูดถึงลักษณะการทำงานที่ประสานกันมากกว่า ไม่ใช่เป็นลักษณะของการมาดุลอำนาจอะไรกัน ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาถ้าในส่วนของพื้นที่ทำงานคนละทางกับรัฐบาลจะเห็นหลายๆ ครั้งที่ประชาชนได้รับฟังคือการพูดกันต้องใช้เวลากว่าจะลงตัวก็จะเห็นชัด อย่างเรื่องการบริหารจัดการน้ำ หากพื้นที่ปลายน้ำทำงานไม่สัมพันธ์กับพื้นที่ต้นน้ำกลางน้ำ น้ำก็จะไปไม่ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นชัด ซึ่งยังไม่พูดถึงเนื้องานอื่นๆ ถ้ายุทธศาสตร์จังหวัดไปคนละยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยที่จังหวัดเดินในส่วนของจังหวัด แต่การทำงานร่วมกับประเทศที่เป็นส่วนกลางอาจจะทำคนละทาง แม้จะเดินไปได้แต่จะเกิดการผนึกกำลังหรือมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นในการพัฒนาควบคู่กัน อาจจะไม่เต็มที่และกลายเป็นว่างบประมาณจะไม่ตรงกับภาพรวม อันนี้เป็นสิ่งที่เรามอง และเห็นว่าเมืองใหญ่เป็นพื้นที่สำคัญ เป็นต้นทางที่จะเกิดยุทธศาสตร์หรือความเจริญต่างๆในการที่จะสร้างความมั่นใจให้กับประเทศ ถ้าเราทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด อันนี้คือคำว่าการร่วมกันทำงานอย่างไร้รอยต่อ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะให้กลไกของ กทม.ลดทอนไป ยังคงมีความเป็นอิสระ และมีกลไกในการตรวจสอบเหมือนเดิม
เมื่อถามว่า สิ่งสำคัญที่ กทม.ต้องการไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากรัฐบาลไหนมาเป็นผู้ว่าฯ กทม. คือการให้แก้ปัญหาการจราจร พรรคเพื่อไทยจะชูประเด็นอะไรตรงนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า มีแน่นอน เพราะปัญหาการจราจรถือเป็นปัญหาหนึ่ง ถ้าเราจะแก้ปัญหาจราจรแต่เฉพาะพื้นที่ กทม. ขณะที่รถไม่ได้มาจาก กทม.อย่างเดียว แต่มาจากปริมณฑลด้วย ทั้ง จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี ซึ่งตรงนี้ต้องการทำงานร่วมกัน ถ้ารัฐบาลทำงานจะมองได้แต่รอบนอก ไม่สามารถที่จะประสานงานในส่วนของ กทม. แต่ถ้าเราคุยพร้อมกันมองทั้งภาพรวมแล้วตัดสินใจร่วมกัน อันนี้จะทำให้การลื่นไหลของจราจรดีขึ้น นี่คือตัวอย่างของแนวทางที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอ คือการทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ
เมื่อถามว่า การลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียง ระมัดระวังเรื่องข้อกฎหมายที่หมิ่นเหม่ ที่อาจจะถูกฟ้องร้องตามมาในภายหลังหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เรื่องการลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงจะใช้เวลานอกราชการอยู่แล้ว และเน้นหาเสียงเรื่องนโยบายที่รัฐบาลดำเนินการ ซึ่งระมัดระวังอยู่แล้วเรื่องข้อกฎหมาย แต่ตนเองคงไม่สามารถลงพื้นที่ได้ทุกวัน เรามีงานต้องทำในส่วนของรัฐบาล ดังนั้นการหาเสียงจะเป็นหน้าที่ของผู้สมัครมากกว่า
นายกรัฐมนตรียังให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ภาคใต้ที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายมีการก่อเหตุอย่างต่อเนื่องว่า สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเป็นสถานการณ์ที่เราต้องเข้าไปทำงานในพื้นที่ และมาตรการต่างๆ ที่นำลงไปเน้นมาตรการการพัฒนา ซึ่งแน่นอนต้องใช้เวลาในการสร้างความเข้าใจอันดีร่วมกันด้วย ไม่ได้หมายความว่าเราจะแก้ปัญหาแล้วจะไม่มีเหตุการณ์ต่างๆ ขณะนี้ในพื้นที่ได้เริ่มเข้าไปทำงานแล้วในการบูรณาการกำลังพลต่างๆ และจะให้เจ้าหน้าที่นำเรื่องต่างๆ เหล่านี้มาวิเคราะห์ให้ลึกขึ้น และติดตามความคืบหน้า
เมื่อถามว่า มีรายงานแจ้งว่ารัฐบาลมีแผนที่จะประชุม ครม.สัญจรใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกฯ กล่าวว่า ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่เราต้องเข้าไปทำงาน แต่จะไปจังหวัดไหนอะไรอย่างไร เมื่อไหร่ คงต้องหารือกับฝ่ายความมั่นคงก่อน เมื่อถามว่า ใช้การเมืองนำการทหารในการแก้ไขปัญหายังใช้ได้อยู่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ขอใช้คำว่าใช้การพัฒนาและใช้ใจในการทำงานร่วมกันดีกว่า
เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ เตรียมเสนอร่าง พ.ร.ก.นิรโทษกรรมให้กับแนวร่วมที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกสี ยกเว้นแกนนำ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินผ่าวงสื่อมวลชนทำหน้างง พร้อมกับส่ายหน้าและบอกว่าไม่รู้เรื่องเลย ยังไม่เคยคุย ไม่รู้ว่า พ.ร.ก.อะไร