“อภิสิทธิ์” เตือน “ธาริต” กับพวกเจออีกหลายคดีถ้าไม่เลิกพฤติกรรมกลั่นแกล้งแจ้งข้อหาตามใบสั่งการเมือง แฉส่งแฟกซ์เชิญไปให้ปากคำทุกสัปดาห์ เชื่อจงใจคุกคามการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ เล่นเกมการเมืองเตะตัดขาตนและ “สุขุมพันธุ์” จี้นายกฯ ต้องตอบคำถามทำไมต้องทำเป็นคดีพิเศษ ทั้งที่ไม่ใช่อำนาจดีเอสไอ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การฟ้องดำเนินคดีต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ รวม 4 คน กรณีที่มีการตั้งข้อกล่าวหาตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลต่อศาลโดยตรงในสัปดาห์หน้า เนื่องจากเห็นว่ามีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขัดต่อกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตรา 200 โดยได้พิจารณาคำฟ้องเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่เรื่องทางธุรการเท่านั้น เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดเจนว่ามีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งทางนายธาริตและพนักงานสอบสวนทราบดีจากการทำสำนวนในคดีอื่นว่าเป็นอย่างไร แต่กลับบรรยายในสำนวนเป็นคนละเรื่องกัน และนายธาริตซึ่งเป็นหนึ่งใน ศอฉ.ทราบดีถึงสถานการณ์และโครงสร้างความรับผิดชอบทางกฎหมายของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่กลับไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ อีกทั้งยังจงใจที่จะหลีกเลี่ยงการแจ้งข้อกล่าวหาตนในฐานะเจ้าพนักงาน เพื่อดึงอำนาจการสอบสวนไว้ที่ดีเอสไอ ทั้งที่เรื่องนี้ต้องไปที่ ป.ป.ช
ส่วนการจะยื่นฟ้องดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ซึ่งหากดีเอสไอยังยืนยันที่จะดำเนินการอย่างนี้ก็จะเจออีกหลายคดี เพราะพนักงานที่ทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็จะถูกดำเนินคดีอีกหลายคดี จึงอยากเตือนว่าถ้ามีธงทางการเมือง หรือมีการสั่งการแล้วไม่ยึดหลักกฎหมาย สุดท้ายคนสั่งการไม่รับผิดชอบด้วย แต่คนทำจะโดนหมด
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เท่าที่ที่ดูท่าทีของดีเอสไอที่มีการเลื่อนการแจ้งข้อกล่าวหา ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ กรณีบริจาคเงิน 2 หมื่นเข้าพรรคโดยไม่จ่ายเป็นเช็คขีดคร่อมในนามส่วนตัวจากเดิมที่กำหนดในวันที่ 18 ม.ค.นี้ ให้เป็นช่วงหลังการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.แทนก็เห็นว่าเป็นท่าทีที่สอดคล้องกับความเป็นจริงและสิ่งที่ควรจะทำมากขึ้น แต่ตนยังติดใจเรื่องการเชิญไปให้ถ้อยคำแบบพร่ำเพรื่อ เร่งรีบไม่ตรงกับที่เคยคุยกับตนในวันที่ไปให้ปากคำเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 55
“ผมได้ทำหนังสือทักท้วงไปอีกครั้งภายในวันพรุ่งนี้ (18 ม.ค. 56) เพราะมีความสงสัยเกี่ยวกับมาตรฐานการทำงานของดีเอสไอ เนื่องจากคดีนี้มีข้อเท็จจริงไม่แตกต่างจากที่ดีเอสไอได้แจ้งข้อกล่าวหาผมไปแล้ว จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องมีการแยกคดีพิจารณาและเชิญ ส.ส.44 คนของพรรคไปให้ปากคำ ขณะที่บางคนกลับถูกแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความจงใจที่จะสร้างประเด็นทางการเมืองที่เกี่ยวกับตนและผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ก่อน ซึ่งดีเอสไอ เหมือนจงใจที่จะเล่นงานฝ่ายตรงกันข้ามตลอดเวลา และการดำเนินการด้วยการใช้วิธีส่งแฟกซ์มาเชิญไปให้ปากคำทุกวันพฤหัสบดีให้ไปให้การวันจันทร์ หรืออังคาร ซึ่งเป็นช่วงสมัยประชุม จึงถือเป็นการคุกคามการทำงานของ ส.ส. และจะเป็นอุปสรรคในการทำหน้าที่ ส.ส.ด้วย
ผมได้คุยกับอธิบดีดีเอสไอ และหัวหน้าคณะสอบสวนไว้แล้วว่า พวกผมให้ความร่วมมือทุกอย่างแม้เห็นว่าเป็นเรื่องไม่มีมูล กลั่นแกล้งกัน แต่เราก็ให้ความร่วมมือ ขอให้ทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ทำหนังสือมายังไม่รู้ว่าจะสอบถามอะไร จากนั้นผ่านไปไม่เกิน 2 อาทิตย์ก็เรียกให้ไปชี้แจงอีก รวมทั้งมีการขอเอกสารอย่างไม่สมเหตุสมผล ทั้งที่ดีเอสไอมีอยู่แล้วหรือสามารถค้นหาได้อยู่แล้ว จึงอยากให้นายธาริตทบทวนการทำหน้าที่และวิธีการเชิญบุคคลไปให้ถ้อยคำไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ 44 ส.ส.ของพรรคเตรียมที่จะทำหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษเพื่อให้ถอนเรื่องดังกล่าวออกจากการเป็นคดีพิเศษว่า นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งใจที่จะดำเนินการเรื่องดังกล่าว แต่ในกรณีของตนมีการแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว จึงพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการตามปกติ
อย่างไรก็ตาม ตนไม่แน่ใจว่านายกรัฐมนตรีจะทบทวนเรื่องนี้ในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษตามกฎหมายหรือไม่ แต่เป็นการถามนายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นประธานกรรมการชุดนี้ เพราะหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเป็นคดีพิเศษกำหนดไว้ โดยพรรคเคยสอบถามไปว่าเหตุใดจึงทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นคดีพิเศษ แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ และเห็นว่าในหลายกรณีไม่เข้าข่ายอำนาจ ดีเอสไอ เป็นอำนาจขององค์กรอิสระ เช่น คดีตนและนายสุเทพเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ส่วนกรณีบริจาคเงินก็เป็นเรื่องของ กกต.ที่จะเป็นผู้พิจารณาตามกฎหมายซึ่งมีการสอบเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ดีเอสไอก็ยังเดินหน้าทำคดีต่อ