พิธีกรรายการช่องลูกทักษิณ เ่อ่ยปากขอโทษ “เอ๋-สกล” ช่างภาพเนชั่นแล้ว “ชูวัส” อ้างนึกว่าถึงมือหมอเบาใจแล้ว เลยพูดถึงระบบทางการแพทย์ อยากให้หมอดูแลตรงนั้นก่อนทันที อ้างมีคนตายระหว่างนำส่ง รพ.เยอะ ลั่นถ้าตนมีความดีอยากให้หายป่วย ด้าน “คุณปลื้ม” เผยไม่ได้ซ้ำเติมความรู้สึก ไม่วายเหน็บ “เอเอสทีวีผู้จัดการ” สื่อเสี้ยม
วันนี้ (14 ม.ค.) นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการเว็บไซต์ประชาไท ในฐานะพิธีกรรายการเวคอัพไทยแลนด์ ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมวอยซ์ทีวี ได้กล่าวในรายการ ชี้แจงกรณีนำเสนอประเด็นอาการป่วยของ นายสกล สนธิรัตน์ ช่างภาพศูนย์ภาพเนชั่น ด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยกล่าวว่า ในวันนั้นเบาใจแล้ว หลังจากที่รู้ว่านายสกล ถึงมือหมอแล้ว ถึงโรงพยาบาลแล้ว ก็เลยวางใจเรื่องนี้ไปแล้ว และพูดถึงระบบว่าอย่าไปโทษแพทย์ หรือบุคลากรทางการแพทย์เลย ซึ่งเจตนาก็คือว่า เรื่องแพทย์กับคนไข้มีปัญหามาตลอด ตนได้พูดถึงระบบว่าจะให้หมอตรงนั้นดูแลก่อนเลยทันที เพระการจัดส่งมันอันตราย เหมือนกับจำนวนผู้เสียชีวิตจากการนำส่งผู้ป่วยมีเยอะ และไม่ได้มีงานวิจัยที่ที่ออกมาว่าจริงๆ แล้วการบอบช้ำจากการไม่ได้วินิจฉัยก่อน เป็นปัญหาเหมือนกัน
“อย่างไรก็ตาม ในฐานะของสื่อ ผมต้องขอโทษกับทางญาติของคุณสกล พี่เอ๋ คือ พี่เอ๋รู้จักกับผม เป็นการรู้จักคุ้นเคยกันมา เพราะว่าผมอยู่เนชั่นมาก่อน แล้วเพื่อนฝูงก็อยู่ที่นั่นเยอะ ผมก็รู้สึกว่าเวลาสื่อสารไปแล้วมันผิดพลาด อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่ต้องขอโทษจริงๆ ผมต้องขอโทษญาติผู้ป่วย แล้วก็ผู้ป่วยด้วย แล้วก็รวมทั้งเพื่อนมิตรที่วันนั้นพูดไปแล้วเหมือนกับว่าผมใจดำ” นายชูวัส กล่าวและว่า ตนก็ผิดพลาดว่าวันนั้นก็เบาใจไปหน่อย คือ พอไปถึงมือผู้ป่วยแล้วไม่พูดถึงอาการ หรือตำหนิกระบวนการล่าช้ามากพอ
ด้าน ม.ล.ณัฎฐกรณ์ เทวกุล หนึ่งในพิธีกรรายการ กล่าวว่า ทางรายการได้เสนอประเด็นนี้ และวันนั้นตนต้องขอโทษจริงๆ วันนั้นตนเปิดประเด็นนี้ แล้วหันไปทาง นายชูวัส ก็กะที่จะเสนอข่าวธรรมดา ทั้งนี้ ตนไม่ได้มีเจตนารมณ์ที่จะไปซ้ำเติมความรู้สึกอะไรเลย แล้วก็เข้าใจว่ามันเป็นห้วงเวลาที่ยากในการทำใจอยู่กับบุคคลใกล้ชิดที่มีอาการอย่างนี้ ซึ่งตอนแรกก็กะจะนำเสนอประเด็นนี้ธรรมดา ซึ่งขณะที่จะสรุปว่าตกลงแล้วทำไมเจ้าหน้าที่ทำงานล่าช้าเหลือเกิน พอนายชูวัส ฉีกประเด็นไปนั้น ตนก็งงว่ายังไงกันแน่ ตนก็ขอโทษด้วยว่าเวลาที่เราคุยอะไรกันในรายการนี้ ถ้ามีอะไรที่ฟังดูแล้วมันไม่เข้าท่า ก็ต้องต่อว่ากันนิดนึงว่าเราพูดอะไรแปลกๆ เหมือนคราวที่แล้ว ก็ต้องต่อว่ากันนิดนึงว่า เวลาที่ตนพูดอะไรแปลกๆ อย่างคราวที่แล้ว ต้องต่อว่ากันกลางรายการ
ขณะที่ นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ หนึ่งในพิธีกรรายการ กล่าวว่า รายการนี้เป็นรายการที่ด่าได้ เราก็ด่ากันเองได้ ตนขอให้ข้อมูลว่า หลายคนคงไม่ทราบว่านายสกล เป็นช่างภาพ ซึ่งคนในวงการช่างภาพและวงการนักข่าวเคารพนับถือ ซึ่งนายสกลจะเป็นช่างภาพแถวหน้าเวลามีการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเป็นช่างภาพที่อุทิศกับการทำงานมาก และในระบบการทำงานสื่อสารมวลชนไทย พูดตรงๆ ก็คือ เราไม่ค่อยให้เกียรติช่างภาพ ช่างภาพจะเป็นคนที่อยู่แนวหน้าเวลามีการปะทะ มีความขัดแย้งทุกครั้ง และเขาเป็นคนถ่ายภาพสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ
ทั้งนี้ นายสกล เป็นคนที่ในวงการช่างภาพยอมรับว่า เวลามีความเคลื่อนไหวของชาวบ้าน คนที่ยากจนทั้งหลาย สมัชชาคนจน เขื่อนปากมูล หรือคนที่ได้รับผลกระทบเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย นายสกลจะให้ความสนใจ ให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายสกล ถือว่าเป็นเหตุการณ์ซึ่งไม่ควรจะเกิด ไม่ว่ากับช่างภาพคนไหนก็ตาม โดยเฉพาะกรณีนายสกล ซึ่งเป็นช่างภาพที่เป็นคนที่มีจิตใจเรื่องประชาธิปไตยสูง สนใจเรื่องความทุกข์ยากของชาวบ้าน เรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสูง ตนอยากให้กรณีนี้เป็นกรณีสุดท้าย ไม่ควรมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใครเลย
นายชูวัส กล่าวเสริมว่า ตอนที่ตนเป็นนักข่าว อยู่ในสนามเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็เห็นนายสกลตลอด และแอบนับถืออยู่ คุ้นเคยเห็นหน้าเห็นตากันอยู่ นายสกลก็เคยเห็นหน้าตนอยู่แล้ว รู้จักกันดีอยู่แล้ว ถ้าความดีที่ตนมี ถ้ามี ตนวิงวอนให้นายสกลหายป่วย
นายศิโรตม์ กล่าวต่อว่า อยากจะชวนคนดูช่วยอวยพรให้นายสกลด้วย เพราะตนทราบมาว่าตอนสมัยเหตุการณ์พฤษภา ปี 2535 ตอนนั้นนายสกลยังเป็นนักศึกษารามคำแหงอยู่ ตนก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่ นายสกล เป็นการ์ดในที่ชุมนุมของนักศึกษารามคำแหง ในวันที่มีการสลายการชุมนุมที่ถนนราชดำเนินแล้ว และนักศึกษารามคำแหง ก็ไปชุมนุมกันที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตอนนั้นโอกาสที่จะถูกทหารปราบสูงมาก และนายสกลเป็นการ์ดให้คนที่ชุมนุมในเวลานั้น เพราะฉะนั้นเป็นคนที่เสียสละตนเองมาก ตั้งแต่เขาเป็นนักศึกษาแล้ว ช่วยอวยพรให้เขาหายเร็วๆ ด้วย
นอกจากนี้ ในเบรกที่สอง ม.ล.ณัฎฐกรณ์ ยังกล่าวโจมตีเว็บไซต์เอเอสทีวีผู้จัดการ ว่า เป็นสื่อเสี้ยม โดยได้เตือนนายศิโรตม์ ว่า ตนเคยเจอมาแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยอ้างว่า มีผู้สื่อข่าวที่กำลังนั่งดูรายการแล้วจดไปรายงานนาย แต่เขาไม่ได้ทำด้วยอุดมการณ์ ถูกมอบหมายมาว่านี่คือหน้าที่ เช่น นายศิโรตม์ กำลังพูดอะไร แล้ววันหนึ่งในจังหวะเวลาที่ไม่ได้ตั้งตัว จะมีข่าวพาดหัวโจมตีจัดการนายศิโรตม์ บางทีปากพาไป วิเคราะห์ร้อยเรื่องจะโดนเรื่อง-สองเรื่อง
นายชูวัส กล่าวเสริมว่า ตนคิดว่าการจัดรายการแบบวิพากษ์วิจารณ์แล้วก็จะสร้างวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์ มันต้องมีราคาที่ต้องจ่ายอย่างนี้ ตนคิดว่าสังคมไทยต้องเปิดใจกว้างสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ ด้าน นายศิโรตม์ กล่าวว่า ตนคิดว่า การวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งอีกหน่อยเอเอสทีวีผู้จัดการ อาจจะทำอย่างที่ตนพูด ซึ่งตนไม่ชอบ แต่ก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้ แต่ตนขออย่างเดียวว่า เวลาวิจารณ์อย่าตัดตอนเรื่อง พูดให้ครบ บางทีเวลาคนวิจารณ์ต่อ ทุกวันนี้มีโซเชียลมีเดีย มีเฟซบุ๊ก มีทวิตเตอร์ บางทีแชร์จากเรื่องที่เอเอสทีวีผู้จัดการ หรือใครก็ตามเขียนโดยไม่รู้ว่าคนต้นเรื่องเขาพูดอะไร อันนี้เป็นปัญหา และตนคิดว่าเป็นปัญหามากในสังคมปัจจุบัน เวลาจะวิพากษ์วิจารณ์ใครลองเช็กนิดนึงว่าต้นเรื่องคืออะไร